“เจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการระรานหรือ” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยเยือกเย็นมาก แต่คำถามถัดมาของนางกลับตรงประเด็น ”เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่ท่านพ่อของเจ้าเสียสติก่อนที่จะหายตัวไปว่าอย่างไร”
ลำคอของหนีหู่ตีบตันในทันที สีหน้าของเขาพลันแข็งเกร็ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถอธิบายการกระทำของผู้เป็นบิดาในตอนนั้นได้
ปลายนิ้วของหนีเปียวเปลี่ยนเป็นสีดำ แต่เขายังพยายามสุดชีวิตที่จะห้ามไม่ให้มันลุกลาม!
เขาจะให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนที่เขาจะได้พระสรีระมาไม่ได้ เขาต้องรักษาภาพลักษณ์ในฐานะปรมาจารย์ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายผู้น่าชื่นชมที่สุดแห่งยุคของเขาต่อไปให้จงได้!
ทุกคนมองไปทางพ่อลูกตระกูลหนี ใบหน้าของพวกเขาเผยความสงสัยออกมา
ตอนนั้นเอง หนีเฟิ่งที่ซ่อนใบหน้าของตัวเองอยู่หลังผ้าคลุมสีขาวจึงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางยังคงนุ่มนวลเหมือนอย่างเคย แต่ครั้งนี้มันกลับเจือไปด้วยความเป็นศัตรู ”คุณชายเว่ย ท่านเอาแต่พูดถึงเรื่องของท่านพ่อข้า แต่สิ่งที่ท่านควรทำคือการอธิบายว่าสหายของท่านไล่แมลงกินซากศพและต่อยผนังจนเป็นรูเช่นนั้นได้อย่างไรมิใช่หรือ การกระทำของเขานั้นยากที่จะเชื่อได้ว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”
“ใช่แล้ว! ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาในสุสานแห่งนี้จนกระทั่งถึงตอนนี้ คุณชายเจวี๋ยก็ทำตัวไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาเอาเสียเลย!”
“การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังรวดเร็วเหนือมนุษย์ เพียงพริบตาเดียวเขาก็กระโดดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้!”
ความสงสัยถาโถมเข้าใส่พวกเขาราวกับระลอกคลื่น
จูเก่ออวิ๋นรีบอธิบายว่า ”มีอะไรแปลกหรือ พี่เจวี๋ยแข็งแกร่งเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ลำพังแค่พลังปราณของเขาก็เพียงพอที่จะต้านทานพลังวิญญาณของพวกเราได้แล้วมิใช่หรือ”
“น้องอวิ๋น แม้เจ้าจะกล่าวเช่นนั้น แต่เจ้าก็ไม่อาจมั่นใจได้” หนีเฟิ่งยิ้มพร้อมกับเสริมว่า ”ข้าได้ยินมาว่าตอนที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ตรงไปที่จวนจูเก่อทันทีโดยที่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบตัวตนใดๆ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหรือไม่นั้นก็ยังไม่ได้รับการยืนยันด้วยซ้ำ ถูกต้องหรือเปล่า”
หนีเฟิ่งฉลาดมากจริงๆ
สถานะผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนั้นแตกต่างจากสถานะอื่น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถได้รับกันมาง่ายๆ
ในระหว่างทางมาที่นี่ องค์ชายยื่นบัตรประจำตัวผู้ขับไล่วิญญาณร้ายให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยสองใบก็จริง แต่พวกมันก็เป็นของที่ขโมยมาจากคนอื่นอีกที!
ถึงองค์ชายจะชอบใช้คำที่สละสลวยกว่าอย่างคำว่า ’ขอยืม’ ก็ตาม
แต่นางก็ได้เห็นตอนที่องค์ชายอัดพวกเขาเองกับตา ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายสองคนนั้นสะอึกสะอื้นแล้วเอ่ยอย่างจริงจังว่าพวกเขาจะไม่มีวันก้าวเข้ามาในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยสลัดความคิดที่อยู่ในใจทิ้ง แล้วเดินเข้าไปหาหนีเฟิ่ง ”คุณหนูหนีคิดว่าการยืนยันบัตรประจำตัวผู้ขับไล่วิญญาณร้ายของพวกข้าสำคัญกว่าการตัดสินว่าท่านพ่อของท่านกินแก่นชีวิตเข้าไปหรือไม่หรือ”
แน่นอนว่าสองสิ่งนี้ย่อมไม่สามารถนำมาเทียบกันได้!
แม้การที่คนพวกนี้ไม่มีบัตรประจำตัวผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะเป็นถือเป็นความผิด แต่พวกเขาก็ยังสามารถเข้ามาในสุสานหลวงได้อย่างสบายๆ
แต่การที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกินแก่นชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ผิดต่อหลักการของสวรรค์!
ดวงตาที่อยู่ใต้ผ้าคลุมของหนีเฟิ่งหรี่ลง
แต่หนีเปียวกลับหัวเราะออกมา ”ในเมื่อเราทั้งสองต่างก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นนี้ ทำไมพวกเราไม่มาพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันเล่า”
“โอ้? เราควรพิสูจน์มันอย่างไรหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว และกระตุกยิ้ม
หนีเปียวไม่รู้สึกหวั่นกลัวเพราะเขากินแก่นชีวิตลงไป เขายังคงรักษารอยยิ้มอันอ่อนโยนติดจะเจ้าเล่ห์เอาไว้ แล้วเอ่ยว่า ”เจ้าสงสัยว่าข้ากินแก่นชีวิตลงไปหรือไม่ แต่สหายของเจ้ากลับน่าสงสัยยิ่งกว่า ทำไมพวกเราไม่ลองสู้กันดูล่ะว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และเผยร่างที่แท้จริงของตัวเองออกมา”
“ย่อมได้”
ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะให้คำตอบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างหลังของนางก็ค่อยๆ เดินออกมา อาจเป็นเพราะอยู่ในที่สลัว จึงทำให้นัยน์ตาดำขลับราวน้ำหมึกของเขาคล้ายกับมีแสงสีทองหมุนวนอยู่ภายใน
ในเวลานี้ รอยยิ้มของเขาดูสว่างไสวยิ่งกว่าครั้งใด และดวงตาของเขาที่มีแสงส่องประกายระยิบระยับคู่นั้นก็ยิ่งขับให้ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น
อาจไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ยินดีรับคำท้าถึงเพียงนี้
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าในที่สุดองค์ชายก็มีข้ออ้างที่เหมาะสมในการต่อสู้เสียที เขาไม่จำเป็นต้องฝืนสะกดพลังของตัวเองเอาไว้อีกต่อไป และสามารถที่จะต่อยตีใครสักคนได้ตามปรารถนาแล้วนั่นเอง ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเขาจะมีความสุขเพียงใด
นางถึงกับเริ่มสงสัยว่าองค์ชายยกเรื่องที่หนีเปียวกินแก่นชีวิตเข้าไปเพื่อการดวลครั้งนี้ด้วยซ้ำ
ที่ผ่านมา องค์ชายจะบอกเรื่องเช่นนี้กับนางก็ต่อเมื่อมีข้อแลกเปลี่ยนเท่านั้น
ข้อแลกเปลี่ยนพวกนั้นมักจะเป็นอะไรแปลกๆ อย่างเช่นขอให้นางเป็นคนจูบเขาก่อน
การที่เขาประกาศเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนจึงต้องมีจุดประสงค์บางอย่างซ่อนอยู่อย่างแน่นอน…
แต่หนีเปียวกลับมีท่าทางสบายใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจขณะที่มองไปยังคู่ต่อสู้
เขาเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินนี้ เขามีทั้งอำนาจอันยิ่งใหญ่ และยังมีพลังวิญญาณเหนือกว่าคนธรรมดา
บนแผ่นดินนี้มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขามีแก่นชีวิตอยู่ในร่าง ระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาจะต้องทะลุขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้วเป็นแน่!
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมหมายความว่า นอกจากพลังที่เขามีอยู่แล้ว เขายังได้รับพลังจากแมงมุมอายุนับพันปีเสริมเข้ามาอีกด้วย
ต่อให้ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!
ในไม่ช้าเขาจะได้จัดการอีกฝ่ายเสียที ต่อให้เขาจะเป็นมนุษย์ธรรมดาจริง แต่หนีเปียวก็มีอุบายซ่อนไว้ ตอนนี้เมื่อเขามีแก่นชีวิตนี้อยู่ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำก็คือการฉีดใยแมงมุมเข้าไปในศีรษะของอีกฝ่าย แล้วจากนั้นชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็จะกลายเป็นแมงมุม
แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นมนุษย์ธรรมดา
ตั้งแต่ตอนที่เห็นเขาต่อยผนัง หนีเปียวก็เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเขาเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในร่างมนุษย์
ต่อให้เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่มีทางเอาชนะหนีเปียวได้ เพราะตอนนี้หนีเปียวเป็นปีศาจเต็มตัว แต่พลังของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เขามีสามารถที่จะปิดบังตัวตนของเขาได้ ดังนั้นย่อมไม่มีใครมองเห็นพลังปีศาจของเขา
จากนั้น ไม่ใช่แค่เขาจะสามารถลบความสงสัยทั้งหมดให้หายไปจากตัวได้ แต่เขายังสามารถกำจัดอุปสรรคชิ้นโตชิ้นนี้ได้อีกด้วย
ยิ่งหนีเปียวคิด แผนการของเขาก็ยิ่งดูสมบูรณ์แบบ มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
หากเป็นเมื่อก่อน จูเก่ออวิ๋นคงไม่เข้าใจว่าทำไมหนีเปียวจึงคิดจะทำเช่นนี้ แต่หลังจากได้ฟังการวิเคราะห์ของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็มองเจตนาของหนีเปียวออกอย่างทะลุปรุโปร่งโดยทันที เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลึกล้ำแต่หนักแน่นว่า ”หนีเปียว ท่านขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่ตอนนี้ท่านกลับคิดที่จะสู้กับคนที่บำเพ็ญเพียรมาน้อยกว่าตนหรือ ท่านไม่กลัวว่าท่านจะต้องอับอายไปทั่วเมืองหรือ”
“เจ้าพูดถูก พลังของอาจารย์หนีย่อมแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน”
“ใช่ มันไม่ได้เพียงแค่แข็งแกร่งกว่า เจ้าคงไม่เคยเห็นอาจารย์หนีจับสัตว์อสูรมาก่อน ระหว่างทางมาที่นี่พวกเราต้องเดินทะลุป่ากันมา แต่เขาก็จัดการล้มปีศาจงูยาวหลายสิบฉื่อได้ พลังของเขานับว่าเหนือกว่าคนธรรมดาจริงๆ!”
“เช่นนั้นการดวลกันครั้งนี้คงไม่ค่อยยุติธรรมเท่าใดนักกระมัง”
หนีเปียวไม่อยากให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไป ก่อนที่หนีเฟิ่งจะออกคำสั่งกับเขา หนีเปียวก็หัวเราะขึ้น แล้วเอ่ยกับจูเก่ออวิ๋นว่า ”หลานชาย เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าพวกเราไม่ทำเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ผิด เจ้ารู้อะไรมาหรือ จึงไม่อยากให้คุณชายเจวี๋ยยอมรับคำท้าของข้า”
“ข้า…” จูเก่ออวิ๋นเม้มริมฝีปากบางของตัวเอง แล้วมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาสงสัยว่าทำไมพี่เว่ยถึงไม่พูดอะไรสักคำเพื่อขัดขวางการดวลในครั้งนี้ เขาต้องการให้พี่เจวี๋ยเสี่ยงอันตรายหรือ
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังมองมาที่นาง นางก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย
จูเก่ออวิ๋นพยายามสื่อความกังวลและความเป็นห่วงของเขาให้เห็นผ่านทางสายตาอย่างไม่ลดละ!
อีกด้านหนึ่ง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอดถุงมือเรียบร้อยแล้ว รอยยิ้มของเขาดูมีความหมายแฝงอย่างประหลาด จากนั้นน้ำเสียงทุ้มลึกของเขาจึงเอ่ยขึ้นเพียงสามคำสั้นๆ ว่า ”เริ่มกันเถอะ”