คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกับการทิ้งระเบิดใส่พวกเขาอย่างกะทันหัน
ทุกคนรู้สึกราวกับว่าเลือดของพวกเขาถูกแช่แข็ง
สมองของพวกเขารู้สึกมึนงง และไม่กล้ามองไปที่ตระกูลหนีอีก
ตรงกันข้ามกับหนีหู่ สมองของเขากลับปลอดโปร่งยิ่งกว่าครั้งใด
”เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรออกมา?! ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่!” หนีหู่ขยับขาไม่ได้ แต่เขาก็ยังแยกเขี้ยวคำรามใส่เฮ่อเหลียนเวยเวย เขามีความหวาดกลัวอันรุนแรงอยู่ลึกลงไปภายในใจ ซึ่งความกลัวนั้นทำให้เขาไม่อยากยอมรับความเป็นจริง แม้ว่าความจริงนี้จะชัดเจนสำหรับเขาก็ตาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส ”นายน้อยหนี เจ้ารู้ถึงสิ่งที่ตระกูลหนีต้องเผชิญในปีนั้นดียิ่งกว่าผู้ใด เจ้าไปร้องไห้ที่ตระกูลจูเก่อเพื่อระบายความขมขื่นของตัวเองให้สหายของตัวเองฟัง และบอกว่าพี่สาวของเจ้ากำลังจะตาย พวกเขาถึงกับเตรียมโลงศพเอาไว้ให้นางแล้วด้วยมิใช่หรือ แต่หนีเฟิ่งกลับอาการดีขึ้นมาโดยไร้สาเหตุในวันถัดมา และไม่มีใครอธิบายได้ว่านางดีขึ้นได้อย่างไร ความจริงก็คือนางไม่ได้อาการดีขึ้น แต่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และต่ออายุขัยของตัวเองออกไปได้เพราะว่ามีปราณของศพมากพอต่างหาก”
”เว่ยเวย!” หนีหู่ยื่นมือออกไปชี้หน้านางพร้อมกับกัดฟันด้วยความโกรธ ”พูดจาไร้สาระ! ข้าจะสอนบทเรียนให้เจ้าเดี๋ยวนี้ แล้วเจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของตระกูลหนี!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยว่า ”นายน้อยหนีมีปฏิกิริยารุนแรงทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ ข้าขอเดาว่าเหตุผลจริงๆ ที่เจ้าร้องไห้ในตอนนั้นไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวของเจ้ากำลังจะตาย แต่เป็นเพราะเจ้าเห็นว่านางตายแล้วใช่หรือไม่”
หนีหู่ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสกัดจุด เขานึกถึงความทรงจำเมื่อสมัยเด็กขึ้นมาได้ และนั่นทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือด สีเลือดที่อยู่บนใบหน้าเลือนหายไปจากสองข้างแก้มของเขาจนหมด
ทันใดนั้นหนีเฟิ่งก็ถอนหายใจยาวออกมา ”คุณชายเว่ย ทุกสิ่งที่เจ้าพูดออกมาล้วนแต่เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้าเท่านั้น เจ้าทำให้น้องชายของข้าเข้าใจผิดไปทีละน้อยเพื่อทำให้คนอื่นๆ คิดว่าข้าไม่ใช่พระชายาที่กลับชาติมาเกิดหรือ สมัยนั้นข้าอ่อนแอมากก็จริง แต่คุณชายเว่ยใช้เพียงแค่ความทรงจำสมัยน้องอวิ๋นยังเล่นซ่อนหาตอนเป็นเด็กมาเป็นหลักฐานว่าท่านพ่อของข้าเก็บสะสมซากศพเอาไว้เพื่อเลี้ยงผีดิบ ความจริงแล้วในเวลานั้นมีผีดิบออกอาละวาดอยู่ ท่านพ่อของข้าจึงจับพวกมันกลับมาที่จวนและรอที่จะจุดเผาไฟพวกมันในครั้งเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น ข้าอยู่ใกล้กับพวกมันเพราะท่านพ่อต้องการให้ข้าดูแลสวนหลังบ้าน และกันไม่ให้คนอื่นเข้ามา ข้านึกไม่ถึงเลยว่าน้องอวิ๋นจะเข้าใจผิดได้ ส่วนเหตุผลที่จู่ๆ ข้าก็อาการดีขึ้นนั้นทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะพลังวิญญาณของข้าเอง คุณชายเว่ยอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่พระชายาที่กลับชาติมาเกิดใหม่นั้นก็ค่อนข้างเหมือนกับหงส์เพลิง เราจำต้องเกิดใหม่ผ่านการนิพพาน และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในเวลานั้น”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหนีเฟิ่ง ในที่สุดหัวใจของหนีหู่จึงสงบลง
คนอื่นๆ เองก็เริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
”คุณหนูหนีพูดถูก สมัยนั้นเป็นปีที่มีผีดิบออกอาละวาดจริงๆ”
”สรุปแล้วคือเขาไม่ได้ใช้ซากศพพวกนั้นเลี้ยงผีดิบหรือ”
”บางทีนายน้อยอวิ๋นอาจเข้าใจผิดเอง อย่างไรในตอนนั้นเขาก็ยังเด็ก จากที่เขาเล่ามา เขาเข้าไปในสวนหลังบ้านนั้นด้วยความบังเอิญ และแทบจะตั้งสติไม่ได้หลังจากเห็นผีดิบจำนวนมาก เขาอาจจะเข้าใจผิดว่าพวกมันเป็นศพเพราะความหวาดกลัวก็เป็นได้”
จูเก่ออวิ๋นไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลยจริงๆ เขามั่นใจว่ามันเป็นความจริง แต่มันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะคำอธิบายของหนีเฟิ่ง!
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ”ข้าไม่มีทางเข้าใจผิดแน่! พวกมันคงไม่ดูเหมือนคนเป็นถึงเพียงนั้นแน่ถ้าพวกมันเป็นผีดิบ!”
”น้องอวิ๋น มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้าจะพูดอย่างมั่นอกมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้เข้าใจผิด อีกอย่างหนึ่ง เจ้าก็พูดเองว่าตอนนั้นมันดึกมากแล้ว และเจ้าก็กำลังตกใจอยู่ เวลาที่คนเรา เอ่อ โดยเฉพาะเด็กๆ เกิดความกลัว พวกเขามักจะเห็นภาพหลอนได้ง่าย เมื่อกอปรกับจินตนาการของพวกเขาเข้าไปด้วยแล้ว มันจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่พวกเขารับรู้จะแตกต่างจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง” หนีเฟิ่งเอ่ยพร้อมกับกระแอมออกมาเล็กน้อย แม้เสียงของนางจะแผ่วเบา แต่คำพูดของนางก็หักกล้างหลักฐานทั้งหมดที่จูเก่ออวิ๋นมีได้อย่างสมบูรณ์
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหลือบมองตากัน ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง
ปอดของจูเก่ออวิ๋นรู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด ”ท่านบิดเบือนความจริงเช่นนั้นได้อย่างไร!”
”น้องอวิ๋น ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติต่อตระกูลหนีมาโดยตลอด” หนีเฟิ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับหลุบตาลง นางดูอ่อนแอเมื่อมองจากทางด้านหลังเพราะอาการไอเล็กน้อยนั้น ”แต่ภาพหลอนก็คือภาพหลอน เจ้าไม่สามารถใช้มันเป็นหลักฐานได้”
”ท่าน!” จูเก่ออวิ๋นกำลังจะพูดบางอย่าง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เขาหยุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปที่เขา แล้วยิ้มออกมา ”นายน้อยอวิ๋น ข้าจะสอนวิธีรับมือกับนักแสดงฝีมือฉมังเช่นนี้ให้ ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือใช้เวลาคิดใคร่ครวญในสิ่งที่นางพูดให้ละเอียดว่าคำพูดของนางมีความไม่สอดคล้องกันหรือไม่ แล้วจากนั้น…” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับแผ่กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายออกมา ”เจ้าย่อมสามารถจัดการนางได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว!”
จูเก่ออวิ๋นไม่เข้าใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจึงกล่าวว่า ”เอาล่ะ ข้าจัดการเอง อย่างไรคนต้นแบบที่เจ้าชื่นชมก็คือข้า”
”คนที่ข้าชื่นชมมีเพียงแค่พระชายาตัวจริงเท่านั้นขอรับ” จูเก่ออวิ๋นพึมพำเสียงเบา ”ต่อให้ในเวลานี้ข้าจะอยากให้เป็นท่านมากเพียงใด แต่คนที่ข้าชื่นชมที่สุดก็ยังเป็นพระชายาตัวจริงอยู่ดีขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มทันทีที่ได้ยินคำพูดในประโยคสุดท้ายของเขา แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรกับจูเก่ออวิ๋นไปมากกว่านั้น
ในขณะเดียวกัน ทารกที่ตัวโตกว่าซึ่งอยู่ในท้องของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เชิดคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ น้ำเสียงของเขาเย็นชาและแผ่วเบา ”เจ้าหนุ่มผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนี้ต้องโง่ถึงขนาดไหนกัน ท่านแม่พูดออกมาแล้วแท้ๆ แต่เขากลับยังบอกไม่ได้อีกว่าท่านแม่เป็นพระชายาที่เขาเคารพบูชา มนุษย์ช่างโง่เขลากันเสียจริง”
”ใช่แล้วขอรับ พวกเขาเทียบกับพี่ชายไม่ได้เลย” ทารกที่ตัวเล็กกว่าตอบเบาๆ ด้วยดวงตายิ้มแย้ม
ทารกที่ตัวโตกว่าพอใจกับคำชมของทารกที่ตัวเล็กกว่าอย่างมาก เขาขยับเข้าไปหอมทารกที่ตัวเล็กกว่าพลางเว้นที่ว่างเพื่อให้ทารกที่ตัวเล็กกว่าสัมผัสถึงสถานการณ์ภายนอกได้
ในเวลานี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังมองตรงไปที่หนีเฟิ่งที่กำลังพยายามลบล้างความผิดจากสถานการณ์นั้น แล้วจึงกล่าวว่า ”คุณหนูหนี จากที่ท่านพูดมา ท่านบอกว่าในเวลานั้นท่านป่วยหนักอยู่จริง ดังนั้นข้าขอถามท่านข้อหนึ่งก็แล้วกันว่าคนที่ป่วยหนักจนลุกจากเตียงไม่ไหวจะได้รับมอบหมายให้จับตามองผีดิบพวกนั้นได้อย่างไร หืม”
ใช่แล้ว คนคนนั้นจะสามารถจัดการกับผีดิบได้อย่างไรหากนางไม่สามารถลุกจากเตียงได้ด้วยซ้ำ
เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
คำพูดนั้นทำให้เรื่องที่หนีเฟิ่งเล่าทั้งหมดสั่นคลอน!
เหล่าผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ใช่คนโง่ คนจำนวนหนึ่งตาสว่างแทบจะในทันที ทันใดนั้นหนีเฟิ่งก็พบว่านางกำลังถูกสายตาสงสัยเคลือบแคลงจ้องมองมาจากทุกทิศทุกทาง!
หนีเฟิ่งกำมือแน่นพลางขบกรามกรอดจนนางคิดว่าอาจมีเลือดไหลออกมา นางนึกไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะสามารถจับพิรุธของนางได้จากประโยคเดียวที่นางพูด
ปกติแล้วย่อมไม่มีใครวิเคราะห์คำพูดของนางทีละคำเพื่อหาดูว่าคำพูดของนางมีความขัดแย้งกันหรือไม่เช่นนี้
คนแซ่เว่ยผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นใครมาจากไหนกันแน่?!
แน่นอนว่าหนีเฟิ่งคงนึกภาพไม่ออกว่าคนตรงหน้านางได้รับการฝึกฝนเช่นใดมาในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดจนมีความคิดละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ ใบอนุญาตทนายความของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้มีไว้เสียเปล่า!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง แล้วจึงเอ่ยประโยคที่ร้ายแรงถึงตายออกมา ”ไหนๆ คุณหนูหนีก็พูดถึงพลังวิญญาณในร่างของตัวเองขึ้นมาแล้ว เรามาตรวจสอบกันอย่างละเอียดดีหรือไม่ว่ามันเป็นพลังวิญญาณของแท้หรือเปล่า…”