บทที่ 762 ท้องฟ้าพร่างพราวด้วยแสงดาว ใครบางคนยุ่งกับของของข้า!?
ท้องฟ้าสีคราม ก้อนเมฆสีขาว มหาสมุทรเรียบนิ่งไร้คลื่น ไม่นานนัก บรรพจารย์ฝูก็มาอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง
เขารอบคอบมาก มิได้วางมาดเสมือนผู้สูงส่งแต่อย่างใด หากแต่ตั้งใจทำทีนอบน้อม เมื่อเข้าใกล้เกาะแล้วก็รีบลงมาเดินเท้าเพื่อขึ้นเกาะ เป็นการแสดงถึงความเคารพที่มีต่อยอดฝีมือท่านนั้น
“ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นยังอยู่ที่นี่หรือไม่…”
เขาคิดในใจ มิสู้จะมั่นใจเท่าใด แม้ว่าพลังปราณนั้นมีจุดกำเนิดจากที่นี่ ทว่าเจ้าของพลังปราณนั้นอาจผ่านมาที่นี่เพียงครู่เดียวแล้วไปจากก็ได้
“ท่านอาวุโสอยู่หรือไม่ ข้าน้อยฝูไห่เดินทางมาเยี่ยมเยียน!”
เขาเอ่ยเสียงนบนอบ รอคอยเสียงตอบรับจากท่านผู้นั้น
แต่รออยู่นานก็มิได้คำตอบจากท่านผู้นั้น นี่ท่านไปเสียแล้วหรือ
“ท่านอาวุโส ข้าน้อยฝูไห่ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนด้วยความสัตย์จริง!”
เขาไม่อยากยอมแพ้ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าท่านผู้นั้นยังไม่ไปไหน เพียงแต่ไม่อยากพบเขาเท่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด
“ท่านอาวุโส ก่อนนี้ท่านเคยจับสัมผัสแสงลำหนึ่งใช่หรือไม่ ในนั้นยังมีใบหญ้าใบหนึ่งแฝงไว้! ข้าน้อยมาคราวนี้โดยนำหญ้าต้นนั้นมาให้! หวังว่าจะได้พบหน้าท่านอาวุโส!”
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
พริบตาที่หลี่จิ่วเต้าตวัดใบหญ้าออกเป็นกระบี่ พลานุภาพกล้าแกร่งปานนั้น เขาเชื่อว่าท่านผู้นั้นย่อมสัมผัสได้
ตามคาด เขาคิดไม่ผิด ท่านผู้นั้นยังไม่ไปจริง ๆ ยังอยู่ที่นี่และให้การตอบรับเขา
“หืม ก่อนนี้ข้านอนอยู่ ไม่ทันสังเกตว่ามีแขก ฮ่า ๆ อาวุโสอะไรกันเล่า ข้าหาได้แก่ปานนั้นไม่ ในเมื่อมาแล้วย่อมคือแขก เข้ามาเถิดสหาย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นบนเกาะ จากนั้น ประตูแสงบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าบรรพจารย์ฝู ภายในเป็นโลกใบเล็กที่มีสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม
นอนหรือ
หลอกผู้ใดกัน!
บรรพจารย์ฝูบ่นอุบในใจ ตัวตนระดับนี้ต่อให้หลับอยู่จริง ๆ ก็ไม่มีทางไม่รับรู้อันใดหลังเขามาที่นี่
เห็นได้ชัดว่าไม่อยากสนใจเขา
ต่อมาได้ยินว่าเขานำหญ้าต้นนั้นมาด้วย ถึงได้ต้องการพบหน้าเขา
ท่านผู้นั้นก็เคยสัมผัสกระบี่นั้นได้เห็น ๆ รู้ว่าใบหญ้าใบนั้นน่าทึ่งเพียงใด
จากนั้น เขาเดินเข้าไปในประตูแสง เข้าไปถึงโลกใบเล็กด้านใน
ที่นี่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง กฎแห่งโกลาหลไหลเวียนอยู่ทั่วทุกที่ บรรพจารย์ฝูสะท้อนใจ หากเขาได้อยู่ในโลกใบเล็กนี้ ด้วยพลังจากกฎแห่งโกลาหลเหล่านี้ เขาจะบรรลุสู่ขอบเขตโกลาหลได้แน่!
ท่านผู้นั้นเป็นยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลจริง ๆ!
มิฉะนั้น ที่นี่คงไม่มีกฎแห่งโกลาหลที่เข้มข้นอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้
แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสกับกฎแห่งโกลาหลมาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ว่ากฎระเบียบนี้เหนือกว่ากฎวิถีเซียนของเขามาก
เหนือกฎวิถีเซียนขึ้นไปคือสิ่งใด ย่อมต้องเป็นกฎแห่งโกลาหล
“มาแล้วหรือสหาย? ฮ่า ๆ มาสนทนากันด้านนี้”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้น ภาพเหตุการณ์สับเปลี่ยนไปมาในสายตาบรรพจารย์ฝู เขามาถึงศาลาแห่งหนึ่ง
บรรพจารย์ฝูได้พบกับท่านผู้นั้น!
อย่างที่คิด ท่านผู้นั้นดูอายุไม่มากนัก ราว ๆ วัยกลางคน สวมอาภรณ์นักพรต มือถือพัดพับ ท่าทางสง่าสุภาพเป็นที่สุด
“ท่านอาวุโส!”
บรรพจารย์ฝูรีบคำนับท่านผู้นั้น
“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมาแล้วย่อมคือแขก เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรง เรียกขานกันเป็นสหายก็พอ”
ท่านผู้นั้นคลี่ยิ้ม มิได้วางมาดอันใด เป็นกันเองเหลือแสน
บรรพจารย์ฝูคิดไม่ถึงจริง ๆ นึกในใจว่าผู้ที่มาจากแดนบรรพโกลาหลนั้นระดับจิตใจสูงยิ่งนัก ก่อนนี้เขาคิดว่าท่านผู้นั้นจะเข้าถึงยาก ไม่เห็นตัวละครเล็กเยี่ยงเขาอยู่ในสายตา ทว่าแท้จริงแล้วมิใช่เลย ท่านผู้นั้นปฏิบัติต่อเขาดีมาก
“ข้าไฉนเลยจะกล้าเรียกขานท่านเป็นสหาย! หากท่านไม่รังเกียจ ข้าขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่!”
บรรพจารย์ฝูกล่าว กล้าเรียกสหายจริง ๆ ที่ไหน เขามิได้โง่เง่าเช่นนั้น
“ได้…พี่ใหญ่ก็ได้”
ชายวัยกลางคนหัวเราะ “เชิญนั่งเถิด ลิ้มรสชาเสียหน่อย นี่คือน้ำค้างหยกปรานี เป็นใบชาที่หาได้ยากยิ่ง ข้าเองก็เหนื่อยแทบแย่กว่าจะได้มาจำนวนหนึ่ง ใช้รับรองแขกอันทรงเกียรติเท่านั้น”
มารยาทงามปานนี้เลยหรือ!?
บรรพจารย์ฝูอึ้งกับไมตรีจิตนี้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ!
เขานั่งลงจิบชาอึกหนึ่ง แล้วต้องตะลึงอยู่ตรงนั้น สสารที่เจืออยู่ในชานี้ล้ำเลิศเกินไป หลังเข้าปากไปแล้วคำหนึ่ง เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไปทั้งร่าง ได้รับประโยชน์เป็นคูณทวีในทุก ๆ ด้าน!
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ต้อนรับเป็นอย่างดี!”
บรรพจารย์ฝูกล่าวขอบคุณเสียงรัว เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นเกียรติถึงเพียงนี้ และก็เข้าใจขึ้นมาในเวลาเดียวกันว่า หญ้าต้นนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ มิฉะนั้น ชายวัยกลางคนผู้นี้ไฉนเลยจะรับรองเขาดีเช่นนี้
เป็นไปไม่ได้เลย
‘เจ้าล่อบ้องตื้น เจ้าตัวมีตาหามีแววไม่ เจ้าทำให้เจ้านายของเจ้าพลาดวาสนาครั้งใหญ่เพียงใดไปรู้บ้างหรือไม่!’
เขานึกดูแคลนในใจ เจ้าล่อบ้องตื้นนั่นช่างไร้สมองจริง ๆ ถึงกับคิดว่าหญ้าที่เขานำมาด้วยเป็นของปลอม เขาอยากหัวร่อนัก
แต่ทว่า เขาต้องขอบคุณความโง่เขลาของล่อตัวนี้ หากมิใช่ว่าล่อตัวนี้โง่พอ เขาไฉนเลยจะมีโอกาสได้ข้องแวะกับท่านผู้นี้ แล้วยังได้นั่งดื่มชากับท่านผู้นี้ ซ้ำยังเป็นชาอันล้ำค่า!
เขาไม่รู้สึกว่าการยกหญ้าต้นนี้ให้ท่านผู้นั้นเป็นเรื่องใหญ่อันใด เพราะปล่อยวางได้นานแล้ว ถึงเก็บหญ้าต้นนี้ไว้ในมือก็เปล่าประโยชน์ หากมิได้บรรลุขอบเขตโกลาหล เขาไม่มีทางรู้เท่าถึงการณ์ในปรมัตถ์ของหญ้าต้นนี้
และลำพังตัวเขาเอง เขาแทบไม่มีทางบรรลุขอบเขตโกลาหลได้เลย
แน่นอนว่า เรื่องจะเป็นเช่นนั้นได้คือแดนบรรพโกลาหลยังไม่ปรากฏออกมา
หากแดนบรรพโกลาหลปรากฏออกมาแล้ว และเขาได้เข้าไปในแดนบรรพโกลาหล ก็ย่อมมีโอกาสบรรลุขอบเขตโกลาหลขึ้นมาก
ทว่าสถานการณ์ในแดนบรรพโกลาหลนั้นยังไม่ชัดเจน เขามีหญ้าวิเศษสูงส่งปานนี้ไปก็มิใช่เรื่องดี เป็นไปได้ว่าอาจถูกยอดฝีมือในแดนบรรพโกลาหลจับได้ ถึงคราวนั้น ไม่แน่ว่าเขาจะยังรอดอยู่ได้หรือไม่
มนุษย์นั้นไม่ผิด ผิดที่ครอบครองสมบัติ เขาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี
อนาคตนั้นไม่แน่นอน ซ้ำยังเต็มไปด้วยอันตราย มิสู้ให้เขานำหญ้าต้นนี้ออกมาเสียตอนนี้เพื่อได้สานสัมพันธ์กับท่านผู้นี้ เช่นนี้จึงจะได้ประโยชน์มากกว่า
รอจนแดนบรรพโกลาหลปรากฏแล้ว เขายังสามารถใช้สายสัมพันธ์นี้หาที่พึ่งพิงในแดนบรรพโกลาหล เช่นนี้จะมีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น
และเท่าที่เห็นในตอนนี้ เขาตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว ท่านผู้นี้ดีมาก เป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว
“ไม่ต้องเกรงใจ”
บรรพจารย์ฝูมีท่าทีถ่อมตนกับคำขอบคุณของอีกฝ่าย
“ข้านำหญ้าต้นนี้มาก็เพื่อมอบให้พี่ใหญ่ และหวังว่าจะได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านและเป็นกำลังให้ท่าน!”
บรรพจารย์ฝูยิ้มแป้นพะเน้าพะนอ นำหญ้าต้นนั้นออกมา ก้มศีรษะยื่นให้ชายวัยกลางคนด้วยความนอบน้อม
ที่จริง เหตุผลหลักที่เขายอมยกหญ้าต้นนี้ให้เพราะเขาถูกกิเลนไฟเล่นงานจนอเนจอนาถ ไม่อาจกล้ำกลืนความคับแค้นนี้ได้ และอยากแก้แค้นโดยเร็ว
ร่องรอยของแดนบรรพโกลาหลที่กำลังจะปรากฏออกมานั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง กระนั้นท้ายที่สุดก็ยังไม่แน่นอน หากแดนบรรพโกลาหลไม่ปรากฏออกมา หรืออาจปรากฏออกมาหลังผ่านไปแล้วอีกนานแสนนานเล่า
ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“หญ้าอะไรเล่า กล่าวเช่นนี้เหมือนว่าข้ายอมพบน้องชายเพราะหญ้าต้นนี้! ข้าขอบอกน้องชายให้ชัดเจน มิใช่เพราะสาเหตุนั้นเลย ข้ารู้สึกว่าข้ากับน้องชายถูกชะตากัน ถึงได้ยอมพบน้องชาย! เมื่อได้พบแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ถูกคอกันเป็นที่สุด!”
ชายวัยกลางคนโบกมือรัว
ทว่าดวงตาทั้งสองของเขาจับจ้องอยู่บนหญ้าในมือบรรพจารย์ฝู
สิ้นประโยค หน้าตาของเขาพลันอึมครึมลงในบัดดล
“ข้ารู้แน่นอนว่าพี่ใหญ่มิได้พบข้าเพียงเพราะหญ้าต้นนี้ แต่เพราะวาสนาระหว่างเราสองพี่น้อง! เรื่องนั้นน้องเข้าใจดี!”
บรรพจารย์ฝูก้มหน้าไว้ตลอดเพื่อแสดงความเคารพต่อชายวัยกลางคน ไม่ทันได้เห็นว่าสีหน้าของชายวัยกลางคนมืดครึ้มจนฝนใกล้ตกลงมาแล้ว
“พี่ใหญ่หรือ คนกักขฬะเช่นเจ้ามีสิทธิ์เรียกที่ไหนกัน!?”
ชายวัยกลางคนด่ากราดด้วยความโกรธเกรี้ยว โมโหจนอกแทบระเบิด
เจ้าบรรพจารย์ฝูนี่เลวทรามนัก นำหญ้าเส็งเคร็งต้นหนึ่งมาต้มตุ๋นเขาหรือ!?
อะ…อะไรกัน!?
บรรพจารย์ฝูหน้าตามึนงง เกิดอันใดขึ้น ท่านเป็นคนบอกให้เรียกพี่ใหญ่มิใช่หรือ
เขานึกชอกช้ำ เหตุใดชายวัยกลางคนผู้นี้ถึงอารมณ์รุนแรงปานนี้ เปลี่ยนอารมณ์ไวเสียยิ่งกว่าสตรี! ก่อนนี้เขาเรียกว่าท่านอาวุโส ชายวัยกลางคนกลับไม่ยอม
บัดนี้เขายอมเรียกพี่ใหญ่แล้วกลับทำท่าทีเช่นนี้ใส่อีก!
“ถ้าอย่างนั้น…เรียกท่านอาวุโสดีหรือไม่”
เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง ลอบชำเลืองชายวัยกลางคน
ไม่มองไม่เท่าไหร่ พอได้มอง ก็เห็นฝ่ามือข้างหนึ่งหวดมาใส่เขา!
เสียงดังตึง ร่างถูกหวดกระเด็น กระดูกหน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ฟันหลุดร่วงจากปากตามสายโลหิต!
เขาล้มอยู่ที่พื้น ทรมานใจนักหนา พี่ใหญ่ไม่ได้ ท่านอาวุโสก็ไม่ได้ แล้วต้องเรียกว่าอะไรเล่า!
“ท่านให้ข้าเรียกด้วยคำใดข้าจะเรียกด้วยคำนั้น ขอเพียงท่านไม่ขุ่นเคือง!”
เขาเอ่ยเสียงร่ำไห้
“เรียกกับย่าแกสิ!”
ชายวัยกลางคนใบหน้าเย็นเยียบ ประชิดตัวและหิ้วคอบรรพจารย์ฝูขึ้นมาอัดเสียน่วม ตบหน้าไม่หยุด
ตัวบ้าอะไร ยังมีหน้ามาแสดงละครต่อหน้าเขาอีก
ใช่สาเหตุจากสรรพนามเรียกขานที่ไหน!?
“อย่า…อย่าตีอีกเลย ข้าเรียกก็ได้ กับย่าแกสิ…”
บรรพจารย์ฝูถูกอัดจนสติแตก ถึงกับเรียกขานออกไปว่า ‘กับย่าแกสิ’
“ไอ้%#&…!”
ชายวัยกลางคนบันดาลโทสะ ด่ากราดออกไป อัดแรงยิ่งขึ้น ไอ้บ้านี่ บังอาจด่าเขาเช่นนี้เลยหรือ
สุดท้าย เขาอัดบรรพจารย์ฝูจนชีวิตเกือบหาไม่ แล้วโยนออกไป
เขาเอ่ยเสียงไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป!”
บรรพจารย์ฝูถูกทำร้ายจนเนื้อตัวดูไม่ได้เลยสักที่ คนทั้งคนอยู่ในสภาวะบอบช้ำ เอ่ยเสียงกระซิก “ท่าน…อย่าขุ่นเคืองนักเลย ข้าจะไสหัวไป…จะไสหัวไปเดี๋ยวนี้! แต่ก่อนข้าไป ขอข้านำหญ้าวิเศษสูงส่งต้นนั้นไปด้วยได้หรือไม่”
เมื่อครู่ยามชายวัยกลางคนอัดเขา หญ้าต้นนั้นกระเด็นตกออกไปที่ด้านหนึ่ง
“หญ้าวิเศษสูงส่งหรือ!?”
โทสะของชายวัยกลางคนเพิ่งผ่อนลง ก็พุ่งพรวดอีกครั้งหลังได้ยินคำกล่าวของบรรพจารย์ฝู
“วิเศษกับย่าแกสิ!”
เขาปรี่เขาไปอีกครั้ง ขึ้นคร่อมบรรพจารย์ฝูออกแรงตีอย่างบ้าคลั่ง ตบหน้าหลายฉาดจนดาวเต็มหัวบรรพจารย์ฝู สติเริ่มพร่าเลือน
ใบหน้าของบรรพจารย์ฝูโดนหวดจนเละ ไม่อาจทนมองได้ บรรพจารย์ฝูเอ่ยในใจว่าใบหน้าของเขาไปทำอะไรให้ผู้ใดหรือ เหตุใดใคร ๆ ต่างเล็งมาที่ใบหน้าของเขา!?
ก่อนนี้กิเลนไฟถีบหน้าเขาจนเละ บัดนี้ ชายวัยกลางคนก็หวดหน้าเขาจนเละ ใบหน้าของเขาน่าชิงชังปานนั้นเลยหรือ!?
ชายวัยกลางคนหวดจนพอใจแล้ว ถึงลุกออกจากตัวบรรพจารย์ฝู เดินไปอยู่ตรงต้นหญ้าที่หล่นอยู่บนพื้น
เขาย่ำเท้าลงไป ยีหญ้าต้นนั้นจนแหลก!
“หญ้า…ของข้า!”
หลังบรรพจารย์ฝูเห็นชายวัยกลางคนย่ำหญ้าต้นนั้นจนเละ ก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าถูกฆ่าเสียอีก
ต้นหญ้าสูงส่งเช่นนี้ ถูกย่ำยีจนแหลกลาญ สวรรค์ ผลาญเกินไปแล้ว!
เขาปวดหัวใจราวกับมีมดร้อยล้านตัวเข้ามากัดขั้วหัวใจ!
ถึงไม่เห็นในสายตาก็ไม่เห็นต้องทำเช่นนั้นเลย!
ไม่ชอบก็ให้ข้านำกลับไปสิ!
จำเป็นต้องทำลายทิ้งเช่นนี้เลยหรือ!
เขาร้องไห้จนน้ำตาแทบเหือดแห้ง กระนั้นก็มิกล้าเอ่ยคำใด กลัวจะถูกชายวัยกลางคนสังหาร เขาคลานขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก หมายจะไปจากที่นี่
“รอก่อน! บ้วนชาของข้าที่ดื่มไปเมื่อครู่ออกมา!”
ชายวัยกลางคนมาอยู่เบื้องหน้าบรรพจารย์ฝูอีกครั้ง นึกได้ว่าบรรพจารย์ฝูดื่มชาของเขาไปหนึ่งถ้วย
“หา?”
บรรพจารย์ฝูนิ่งอึ้งตะลึงงัน จากนั้น เขาถูกชายวัยกลางคนหิ้วคอขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำเป็นหมัด ต่อยท้องเขาอย่างแรง
เขาสำนึกเสียใจแทบบ้า รู้อย่างนี้เขาไม่น่าดื่มชาถ้วยนั้นเลย!
ชาถ้วยเดียวยังจะคิดเอาคืนจากเขา ยอดฝีมือจากแดนบรรพโกลาหลอะไรกัน จิตใจคับแคบดั่งรูเข็ม!
…
แสงดาวพร่างพราวอยู่บนฟากฟ้า แสงจันทร์ตกกระทบผืนน้ำ สตรีโฉมสะคราญนางหนึ่งนั่งอยู่บนพระจันทร์เสี้ยวด้วยท่าทางเกียจคร้าน เด็ดดาวดวงหนึ่งลงมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเชยชมมันบนฝ่ามือ
ภาพนี้งดงามยิ่งนัก สตรีโฉมสะคราญผู้ไร้มลทิน แม้กระทั่งดวงดาวดารดาษบนท้องฟ้ายังหม่นหมองลงเมื่ออยู่เบื้องหน้านาง
ทันใดนั้น คิ้วเรียวของนางกระตุก
“ใครบางคน…ยุ่งกับของของข้า?”
นางพึมพำกับตัวเอง คล้ายว่าสนอกสนใจเป็นอย่างมาก