หนีเฟิ่งผงะถอยหลังด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้
หนีหู่เงยหน้าขึ้นเช่นกัน ดวงตาของเขาสั่นไหว ”เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังบอกว่าพลังที่ออกมาจากร่างของพี่สาวข้าไม่ใช่พลังวิญญาณหรือ”
”คุณชายหนี บางครั้งเจ้าก็ค่อนข้างฉลาดทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพลางหยิบเทียนเล่มหนึ่งมาจากจูเก่ออวิ๋น
หนีหู่สามารถบอกได้ว่าคำพูดของนางแฝงไปด้วยการเสียดสี เขาเยาะขึ้นเสียงดังว่า ”เจ้าพยายามยิ่งนักที่จะปรักปรำพี่สาวข้า เจ้าถึงขั้นแต่งเรื่องขึ้นมาว่านางไม่มีพลังวิญญาณเชียวหรือ มีใครที่นี่สัมผัสถึงพลังวิญญาณของท่านพี่ของข้าไม่ได้บ้างหรือ พี่เว่ย อย่าพูดเหมือนกับว่ามันไม่มีจริงเพียงเพราะเจ้าไม่มีพรสวรรค์ที่จะสัมผัสมันได้เลย”
”คุณหนูหนีมีพลังอยู่จริง” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองหนีหู่ ”แต่มันไม่ใช่พลังวิญญาณ แต่เป็นพลังปราณของซากศพ! ในเมื่อผู้เฒ่าหลี่กล่าวว่าคุณหนูหนีสุขภาพไม่ดี จึงไม่สามารถเสี่ยงให้นางสวดบทสวดพระพุทธคุณขับไล่ปีศาจร้ายได้ เช่นนั้นเราก็มาทดสอบนางด้วยวิธีการง่ายๆ แทนก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งยิ้มให้กับผู้เฒ่าหลี่ขณะที่เอ่ยว่า ”วิธีการนี้เป็นวิธีที่ผู้เฒ่าหลี่น่จะคุ้นเคยที่สุด ก่อนเปิดฝาโลงศพ โจรปล้นสุสานมืออาชีพจะจุดเทียน แล้วนำมันไปวางไว้ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะเริ่มปล้นสุสานแห่งนั้น ถ้าเทียนดับ พวกเขาจะต้องนำทุกสิ่งกลับไปคืนในที่ของมัน แล้วคำนับพื้นเพื่อแสดงความเคารพเป็นจำนวนสามครั้ง แล้วรีบไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ถืออะไรติดมือไปด้วย นี่คือที่มาของคำกล่าวที่บอกให้เลิกปล้นสุสานทันทีที่ได้ยินเสียงอีการ้อง หรือทันทีที่แสงเทียนดับลง ส่วนสาเหตุที่ทำให้เทียนดับนั้นเป็นเพราะปราณซากศพจำนวนมากที่ศพแผ่ออกมา มันเป็นอันตรายอย่างมากหากพวกเขายังเดินหน้าปล้นสุสานต่อ ถ้าปราณนั้นเป็นพลังวิญญาณหรือพลังของสิ่งมีชีวิต มันย่อมไม่มีผลต่อเทียน การติดยันต์ไว้บนเทียนเพื่อทดสอบพลังของคุณหนูหนีย่อมมีผลเช่นเดียวกัน…”
ทันทีที่พูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบยันต์มาจากหนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้าย พันมันเข้ากับตัวเทียน ก่อนจะจุดมัน นางส่งมันให้กับหนีเฟิ่งขณะยิ้มมุมปากเล็กน้อย ”ว่าอย่างไรล่ะคุณหนูหนี มาพนันกันดีกว่าว่าแสงเทียนจะดับหรือจะยังลุกอยู่ตอนที่ท่านรับเทียนเล่มนี้ไป”
หนีเฟิ่งไม่ได้ยื่นมือออกมารับเทียน นางกลับมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาที่เศร้าหมอง สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อย แม้กระทั่งลมหายใจของนางก็ยังเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เพราะมันฟังดูเหมือนเสียงที่เกิดขึ้นตอนศพนอนอยู่ในโลงไม่มีผิด เสียงนั้นสะท้อนก้องดัง และทิ้งน้ำหนักลงในหัวใจของพวกเขา
”ท่าน จริงๆ แล้วท่านเป็น…” ผู้เฒ่าหลี่ที่อยู่ใกล้หนีเฟิ่งที่สุดตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น ริมฝีปากของเขาซีดอย่างที่สุด เขาเอ่ยคำสองคำนี้ออกมาด้วยความยากลำบากว่า ”ผีดิบหรือ?”
”ฮ่าๆๆ ข้านึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะถูกเปิดโปงเช่นนี้!” หนีเฟิ่งก้มหน้าลงแล้วระเบิดหัวเราะขึ้น เสียงหัวเราะของนางแผ่วเบาแต่กลับเต็มไปด้วยความกดดัน และทำให้รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ”แต่ต่อให้ข้าจะถูกจับได้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรทุกอย่างมันก็สายเกินไปเสียแล้ว ฮ่าๆๆ!”
ลูกศิษย์ทุกคนจากตระกูลหนียกมือขึ้นปิดหู พวกเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากร่างของตัวเองด้วยเหตุผลบางประการ!
กลิ่นอายแห่งความมืดแผ่ออกมาจากมุมหนึ่งในดวงตาของพวกเขา ก่อนจะปกคลุมไปทั้งดวงตา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนหนึ่งดูเหมือนรูปร่างหน้าตาจะเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของพวกเขาก็กลวงโบ๋ อีกทั้งใบหน้ากว่าครึ่งหนึ่งก็ยังมีเส้นเลือดกระจายไปทั่ว พวกมันเต้นตุบๆ ราวกับอัดแน่นไปด้วยเลือด
”เกิดอะไรขึ้น?!” จูเก่ออวิ๋นตะโกนขึ้น เขาเป็นคนแรกที่ชักกระบี่ไม้ท้อออกมา
คนที่เหลืออีกหกเจ็ดคนต่างทำเช่นเดียวกัน แล้วหันดาบใส่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่กลายร่างแล้วพวกนั้น!
แต่คนพวกนั้นกลับยากที่จะรับมือ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เพียงแค่ว่องไว แต่ยังมีทักษะในการเคลื่อนไหวอีกด้วย พวกเขาแยกเขี้ยว กางกรงเล็บ พร้อมกับกระโจนเข้าใส่บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เหลืออยู่!
พวกมันไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ทว่ากลับดูเหมือนลิงเสียมากกว่า พวกมันแยกเขี้ยวแล้วฝังมันลงไปบนไหล่ของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ทันที!
หนึ่งในนั้นพยายามจู่โจมเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ก่อนที่มันจะได้เข้ามาใกล้ มันก็ถูกร่างที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเหวี่ยงกลับไปหลายจั้ง[1]
การเคลื่อนไหวขององค์ชายนั้นรวดเร็วราวกับเงาสีดำ เขาใช้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นจุดตั้งต้นขณะเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครจะทันได้เห็นเขาเตะ ’ลิง’ ตัวแรก เขาก็จัดการถีบหน้า ’ลิง’ ตัวที่สามด้วยขายาวๆ ของตัวเอง ร่างของเขายังคงดูสง่างาม คล่องแคล่ว และงดงามเช่นเดิมในขณะนั้น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ไม่ได้กลายร่างยืนอยู่ด้านข้างด้วยความตกตะลึง
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจ ’ลิง’ พวกนั้น แล้วจดจ่ออยู่กับหนีเฟิ่ง ทันใดนั้นนางก็หรี่ดวงตาเรียวยาวของตัวเองลง แล้วยกแขนซ้ายขึ้นทันที เผยให้เห็นปืนพกสีเงินที่มีระยะยิงราวยี่สิบฉื่อ[2]ในมือ นางเล็งตรงไปที่ศีรษะของหนีเฟิ่งโดยไม่คลาดเคลื่อน เกิดเป็นเส้นตรงอันสมบูรณ์แบบระหว่างเป้าหมายและตัวนางเอง!
ปัง!
ถ้าไม่มีร่างในชุดสีขาวเข้ามาบังร่างของหนีเฟิ่งเอาไว้ เฮ่อเหลียนเวยเวยคงสามารถระเบิดศีรษะของนางได้ในนัดเดียว
”คุณชาย!” หนีเฟิ่งเห็นเลือดที่ทะลักออกมา นางจึงร้องขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ร่างนั้นใช้แขนข้างที่บาดเจ็บกอดนางไว้โดยไม่ลังเล พร้อมกับใช้ดวงตาสีเข้มของตัวเองจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่พอใจ เขาใช้ปลายเท้าถีบตัวขึ้นจากพื้นแล้วพาพวกเขาเข้าไปซ่อนตัวในความมืด
จากนั้นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่กลายร่างกลุ่มหนึ่งจึงก้าวเข้ามาขวางปากถ้ำเอาไว้ พวกเขาแยกเขี้ยวแล้วเหวี่ยงกรงเล็บของตัวเองเหมือนผีดิบที่กินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิงกระสุนทั้งหมดห้าหกนัดที่มีอยู่ออกไปโดยไม่ลังเล นอกจากกระสุนนัดแรกแล้ว กระสุนนัดอื่นต่างก็พุ่งเข้าที่ศีรษะของ ’ลิง’ เหล่านั้นอย่างแม่นยำ
ยิงเจาะกะโหลก!
พวกมันร่วงลงไปเป็นแถว
กระสุนนัดสุดท้ายสังหารสามคนไปในนัดเดียว ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอึ้งไปตามๆ กันเมื่อเห็นเลือดที่ทะลักออกมา
จบแล้วหรือ
เจ้าพวกนั้นถูกกวาดล้างไปหมดแล้วหรือ
สิ่งที่พี่เว่ยถืออยู่คืออะไร
ศัตรูถูกกำจัดได้ด้วยเสียงดังปังเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีปฏิกิริยากับสายตาของพวกเขา นางยื่นมือออกไปดึง ’ผีดิบ’ ที่ขวางปากถ้ำออก นางหรี่ตาลงพร้อมกับมองเข้าไปในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดนั้น ”นั่นไม่ใช่ทางไปหาพระสรีระ”
”หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บ ส่วนอีกคนก็เป็นผีดิบ ถ้าไม่มีพลังวิญญาณจากผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แท้จริงคุ้มครองละก็ พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าใกล้สุสานหลักได้ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่สามารถเอาพระสรีระไปได้ถ้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับสุสานหลัก”
ผู้เฒ่าหลี่เช็ดเลือดที่อยู่บนหน้า แล้วถามว่า ”จากทิศทางที่พวกเขาไปเมื่อครู่นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาพยายามจะใช้สิ่งนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา แล้วเก็บปืนสีเงินของตัวเองอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”สิ่งนั้นที่ท่านพูดถึงคืออะไรหรือ ผู้เฒ่าหลี่ ดูเหมือนท่านจะยังมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่อีกมากทีเดียว คงได้เวลาที่ท่านจะบอกให้พวกเรารู้แล้วกระมังว่าท่านเก็บงำความลับอันใดเอาไว้บ้างในการแข่งขันนี้”
”ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังเรื่องนี้” ผู้เฒ่าหลี่ยิ้มอย่างแฝงนัยสำคัญ ”ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลหนีจะกล้ากุเรื่องพระชายาขึ้นมา ข้าเคยเล่าเรื่องสุสานหลวงแห่งนี้ให้ตระกูลหนีฟัง นอกจากพระสรีระแล้ว ภายในสุสานแห่งนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถปลุกชีพคนตายได้ แต่มันแตกต่างไปจากพระสรีระ เพราะทันทีที่มันถูกใช้ มันจะปลุกให้ปีศาจทุกตัวที่อยู่ในสุสานลืมตาตื่นจากการหลับใหล และเมื่อถึงเวลานั้นย่อมมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่พวกเราจะต้องตายอยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้…”
[1] 150 จั้ง เท่ากับ 500 เมตร
[2] ประมาณเกือบ 7 เมตร