ตอนที่ 301 เจ้าคนต่ำช้ากำลังซ่อนไม้เด็ดอยู่จริงๆ ด้วย
อาจารย์สืออวิ๋นเปิดเผยที่มาของฉินหลิวซีทันทีที่เอ่ยปาก และน้ำเสียงก็ไม่ได้ปกปิดถึงความคุ้นเคยที่มีต่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหนิงแห่งวัดอู๋เซียง
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์กับอาจารย์ฮุ่ยเหนิงจะเป็นสหายสนิทกัน” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์สืออวิ๋น “ศาสนาพุทธในใต้หล้านี้เป็นครอบครัวเดียวกัน เนื่องจากเราทุกคนเป็นศาสนิกชนเช่นกัน ย่อมรู้จักกัน”
“นั่นเป็นเพราะชาวพุทธอย่างพวกท่านไม่มีความปรารถนาใดๆ หากเป็นลัทธิเต๋าของพวกเราจะต้องต่อสู้แก่งแย่งชิงดีกันอย่างแน่นอน” ฉินหลิวซีเกาจมูก
คำพูดของเจ้าเด็กคนนี้ทำเอาอาจารย์สืออวิ๋นยิ้ม มองนางด้วยความเมตตาเอ็นดูพลางเอ่ย “เจ้าเก่งมาก อารามชิงผิงมีเจ้า ในภายภาคหน้าจะต้องกลายเป็นที่หนึ่งของลัทธิเต๋าอย่างแน่นอน ตราบใดที่เจ้ามีจิตใจที่แน่วแน่ ปราบสิ่งชั่วร้ายยึดมั่นในความถูกต้อง เจ้าจะต้องเป็นผู้นำลัทธิเต๋าในใต้หล้าอย่างแน่นอน”
เดิมทีฉินหลิวซีก็ค่อนข้างทะนงตนอยู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินวาจาเช่นนี้ก็รีบแสดงสีหน้าสงบนิ่ง “ท่านอย่าได้ยกยอข้าเป็นอันขาด ข้าไม่ได้เก่งเพียงนั้น”
อาจารย์สืออวิ๋นไม่ได้เอ่ยอะไร ยังคงยิ้มเล็กน้อยราวกับกำลังมองดูรุ่นน้องที่กำลังปากแข็ง
ฉินหลิวซีกระแอมหนึ่งที เอ่ย “ในเมื่อท่านทำนายไว้ว่าข้าจะมา เช่นนั้นรู้หรือไม่ว่าข้ามาเพราะเหตุใด”
“พุทธะมิได้ตรัสไว้”
ฉินหลิวซี “!”
พุทธะของท่านคงไม่ได้อยู่เรือนหรอกกระมัง
ฉินหลิวซีถามเกี่ยวกับเรื่องมารเอ้อฝูเป็นลำดับแรก “อาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้เล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับผีร้ายที่หนีออกจากนรกหรือไม่ คือมารเอ้อฝูนามว่าซื่อหลัวผู้นั้น”
อาจารย์สืออวิ๋นพยักหน้า “เคยได้ยินมาบ้าง”
“หาเจอหรือไม่”
อาจารย์สืออวิ๋นส่ายหน้า “มารเอ้อฝูคือพุทธะสายดำ แต่ก็เป็นพุทธะที่ฝึกฝนบำเพ็ญ ตอนนั้นซื่อหลัวนำหายนะมาสู่ราษฎรเป็นความอัปยศแก่พุทธศาสนาของเรา ในตอนนั้นพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าได้ร่วมมือรวมพลังกันจึงสามารถปราบมันลงได้แล้วขังไว้ที่มหาอเวจีนรก ตอนนี้มันหนีออกมาได้ เห็นได้ว่าพลังของมันค่อยๆ ฟื้นคืนมา หากมันซ่อนตัวจำศีลอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่พลังอย่างพวกเราจะสามารถหาเจอได้ในเร็วๆ นี้”
ซื่อหลัวเป็นมารเอ้อฝูเมื่อหลายพันปีก่อน การกระทำชั่วของเขาในปีนั้นทำให้ทั้งสามโลกหวาดผวา แม้ว่าจะถูกขังอยู่ในมหาอเวจีนรก และถูกทำให้อ่อนแอลง แต่ก็มีคำกล่าวไว้ว่า ‘เรือที่ผุพังยังคงเหลือตะปูสามดอก’ สิ่งใดที่ถูกทำลายไปแล้วก็ใช่ว่าจะฟื้นกลับคืนมาไม่ได้ เขาสามารถหนีออกมาได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา
หลายพันปีผ่านไป ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าจะยังคงอยู่เสมอมา แต่เนื่องจากพลังทางจิตวิญญาณไม่เพียงพอ ผู้ที่บำเพ็ญจนถึงขั้นสูงสุดก็ไปเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ ผู้ที่อยู่บนโลกมนุษย์นั้นกลับมีไม่มากนัก
แต่ตอนนี้มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
อาจารย์สืออวิ๋นมองฉินหลิวซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเมตตามากขึ้น
ฉินหลิวซีถูกมองจนรู้สึกสั่นๆ หนาวๆ แล้วจึงเอ่ย “อาจารย์อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าไม่เข้าพุทธศาสนา”
“ตราบใดที่เจ้าใส่ใจราษฎร ไม่ว่าจะเข้าลัทธิไหนก็เป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นเรา เป็นบุญของราษฎร” สืออวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีแทบจะกลอกตา บ่นพึมพำ
“อาจารย์รู้หรือไม่ว่าตอนที่ซื่อหลัวถูกจับในปีนั้น ร่างของเขาอยู่ที่ไหน”
อาจารย์สืออวิ๋นตกตะลึง “เหตุใดจึงถามเช่นนี้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ความจริงแล้วข้ามาที่นี่เพราะอยากจะถามอาจารย์ว่ารู้หรือไม่ว่าพระภิกษุผู้รู้แจ้งแห่งพุทธศาสนาท่านไหนหรือพุทธะองค์ใดมีอัฐิหลงเหลืออยู่ข้างนอกบ้าง”
เมื่ออาจารย์สืออวิ๋นได้ยินเช่นนี้ บวกกับคำถามของอีกฝ่ายเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าตามข้ามา”
เขาลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องเซน มีฉินหลิวซีตามไปด้วย
อาจารย์สืออวิ๋นมาที่หอเก็บพระคัมภีร์ของวัดอวิ๋นหลิง ที่นั่นมีพระภิกษุเฒ่ารูปหนึ่งเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นเขามาก็ประนมมือไว้ในแบบของศาสนาพุทธ มองไปยังฉินหลิวซีที่อยู่ข้างหลังเขา
ฉินหลิวซีพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นการทักทาย
หลังจากที่พระภิกษุเฒ่าเหลือบมองนางก็ไปทำธุระของตัวเองต่อ คือการนำพระคัมภีร์มาผึ่งแดด
อาจารย์สืออวิ๋นเดินนำฉินหลิวซีขึ้นไปยังชั้นสองของหอพระคัมภีร์ มีชั้นวางเรียงราย เต็มไปด้วยม้วนพระคัมภีร์มากมาย
เขาเดินไปจนสุดทางก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วสั่งให้ฉินหลิวซีย้ายบันไดที่อยู่ด้านข้างมาตรงนี้ กล่าวว่า “ ลิ้นชักที่หกของช่องที่สามแถวที่สอง ท่านดึงออกมา”
ฉินหลิวซีหยิบม้วนพระคัมภีร์ออกมาจากลิ้นชักตามคำบอกของเขา ม้วนพระคัมภีร์มีสีเหลือง แต่ก็ไม่ได้เปราะบาง ไม่รู้ว่าใช้ยาน้ำชนิดใดในการแช่เพื่อป้องกันแมลงแทะรวมถึงการผุกร่อน
เมื่อเดินไปยังที่ที่สว่าง ฉินหลิวซีก็กางม้วนพระคัมภีร์ออก ในม้วนพระคัมภีร์มีบทนำหนึ่งบท ไม่นับว่าละเอียดมาก แต่กลับไขข้อสงสัยของฉินหลิวซีได้
มี ‘บันทึกซื่อหลัว’ บันทึกไว้ว่า ‘พุทธศาสนาและลัทธิเต๋า ทั้งสองได้วางค่ายกลสวรรค์เพื่อทำลายมารเอ้อฝูซื่อหลัว ซื่อหลัวคลุ้มคลั่งพยายามหลบหนี ดวงวิญญาณถูกจับกุมขังไว้ที่มหาอเวจีนรก กระดูกพุทธะถูกแบ่งเป็นเก้าส่วน ซ่อนอยู่ในวัดพุทธใหญ่ทั้งเก้าแห่ง’
รูม่านตาฉินหลิวซีหดลง มองไปยังอาจารย์สืออวิ๋น “วัดพุทธใหญ่ทั้งเก้าแห่งในตอนนั้น ตอนนี้ยังอยู่หรือไม่”
อาจารย์สืออวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่น “ผ่านไปหลายพันปี มีเพียงสามวัดในโลกนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นวัดอายุพันปีอย่างแท้จริง แห่งแรกอยู่ที่ภูเขาเทียน แห่งที่สองอยู่ในเมืองหลวง แห่งที่สามอยู่ที่ดินแดนสวรรค์จำลองที่ต่างแดน ที่เหลือได้สาปสูญไปตามความผันผวนของเวลา”
“เช่นนั้นกระดูกพุทธะของซื่อหลัวล่ะ”
อาจารย์สืออวิ๋นพยักหน้า “หากซ่อนอยู่ในวัดพุทธใหญ่ทั้งเก้าแห่ง เช่นนั้นก็สาปสูญไปพร้อมกันแล้ว” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“หากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ”
อาจารย์สืออวิ๋นจ้องมองไปที่นาง
ฉินหลิวซีหยิบกระดูกพุทธะที่ห่อด้วยกระดาษยันต์ออกมาแล้วยื่นให้เขา
แม้ว่าจะถูกห่อด้วยกระดาษยันต์ แต่เมื่ออาจารย์สืออวิ๋นรับมา ช่วงเวลาอันยาวนานก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที เขาขมวดคิ้ว ใบหน้าราวกับแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด เหมือนกำลังเผชิญกับบางสิ่งที่กำลังชักดึง ทำเอาใบหน้าอ่อนโยนเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบคว้ากระดูกพุทธะมาจากมือเขาทันที เห็นว่ากระดูกพุทธะร้อนดั่งเหล็กเผาราวกับต้องการหลุดพ้นไปจากมือ อดสบถด่าไม่ได้ กัดที่ปลายนิ้ว ใช้เลือดวาดยันต์สะกดลงบนยันต์ที่ห่อไว้
กระดูกพุทธะสงบลงแล้ว
อาจารย์สืออวิ๋นลืมตาขึ้น ร่างกายโอนเอนเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาว
ฉินหลิวซีไม่สนใจสิ่งอื่นใด นำกระดูกพุทธะแนบไว้ที่เข็มขัดแล้วรีบประคองเขา “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
อาจารย์สืออวิ๋นส่ายหน้า “อาตมาไม่เป็นอะไร”
“ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่ากระดูกพุทธะนี้จะมีผลกระทบต่อท่านเป็นอย่างมาก” ฉินหลิวซีแตะไปที่ชีพจรของเขาแล้วจึงเอ่ย “ท่านอาจารย์ ชีพจรของท่านยุ่งเหยิงเล็กน้อย กลับไปพักผ่อนที่ห้องเซนก่อนเถิด”
อาจารย์สืออวิ๋นเห็นความรู้สึกผิดเล็กน้อยบนใบหน้าของนาง จึงยิ้มปลอบใจพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ปีนี้อาตมาก็อายุเก้าสิบเอ็ดปีแล้ว แม้ว่าจะมรณภาพ ก็ไม่กลัว”
ฉินหลิวซียิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น “อย่าพูดไร้สาระเลย ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”
นางวางม้วนพระคัมภีร์กลับคืนที่เดิม จากนั้นก็ช่วยประคองอาจารย์สืออวิ๋นออกจากหอเก็บพระคัมภีร์กลับมานั่งที่ห้องเซนอีกครั้ง รินน้ำอุ่นให้เขา จากนั้นก็หยิบพู่กันและกระดาษมาอย่างถือวิสาสะ เขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็ว เดินออกไปที่นอกประตูเรียกสามเณรน้อยรูปหนึ่งมากำชับให้เขาไปหาวัตถุดิบยามาต้ม
อาจารย์สืออวิ๋นปรับลมหายใจพลางมองนางที่กำลังยุ่งจนหัวหมุน อดยิ้มไม่ได้
ฉินหลิวซีนั่งลงอีกครั้ง มองเขาด้วยความกังวล เอ่ย “ให้ข้าฝังเข็มให้ท่านหรือไม่”
อาจารย์สืออวิ๋นส่ายหน้า เหลือบมองไปที่เอวของนาง เอ่ยว่า “เมื่อครู่อาตมาถือกระดูกพุทธะนี้ มีภาพคลุมเครือปรากฏขึ้นในหัว หากดูไม่ผิดคงจะเป็นภาพการต่อสู้ทางคาถา พลังจิตที่ถ่ายทอดภาพนั้นมาทำให้วิญญาณอาตมาสั่นสะท้าน”
“การต่อสู้ทางคาถา?”
สีหน้าของอาจารย์สืออวิ๋นดูเคร่งขรึมเล็กน้อย เอ่ยตอบ “นี่คงจะเป็นกระดูกพุทธะของมารเอ้อฝูซื่อหลัวในตอนนั้น”
ฉินหลิวซีไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
นางแอบคาดเดาไว้อยู่แล้ว มารเอ้อฝูได้หลบหนีไปแล้วกลับมาปรากฏบนโลกอีกครั้ง ตอนนี้มีกระดูกพุทธะที่แฝงไว้ด้วยพลังชั่วร้ายปรากฏขึ้น ใครจะรู้ว่าทั้งสองอย่างมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่
ฉินหลิวซีกล่าวอย่างไม่มั่นใจนัก “ท่านคงไม่ได้อยากจะบอกว่าซื่อหลัวที่ตายยากผู้นั้นหลบซ่อนตัวเพราะต้องการหากระดูกพุทธะทั้งเก้าส่วนกลับมาประกอบร่างคืนเช่นเดิมหรอกกระมัง”
ให้ตายเถอะ เจ้าคนต่ำช้าผู้นั้นกำลังซ่อนไม้เด็ดอยู่จริงๆ ด้วย!