ตอนที่ 306 ไปกับข้าเถิด ข้าเก่งจะตายไป
จวนตระกูลเถิงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ในเมืองหลี แต่อยู่ที่เมืองหลวง จวนตระกูลเถิงแห่งนี้ เป็นจวนที่เถิงเทียนฮั่นอาศัยอยู่ตอนที่เป็นผู้ว่าการเมืองฝู่ กล่าวได้ว่าเถิงเจากำเนิดที่นี่และอาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยจากไป เถิงเทียนฮั่นยุ่งอยู่กับหน้าที่ทางราชการ กลัวว่าบุตรชายจะไม่มีใครดูแล จึงได้ส่งกลับไปยังจวนตระกูลเถิงในเมืองหลวง ให้ท่านย่าช่วยดูแล แต่หลังจากกลับเมืองหลวง เถิงเจาก็ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ร้องไห้จนหมดสติไป ทำให้ร่างกายที่เดิมทีก็ป่วยออดๆ แอดๆ อยู่แล้วยิ่งอ่อนแอกว่าเดิม ท่าทางราวกับว่าอยากตามมารดาที่เสียชีวิตไปแล้วตลอดเวลา ทำเอาคนในตระกูลตกใจกลัวไม่น้อย
นี่คือบุตรชายคนเดียวของเถิงเทียนฮั่น หากเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็จะเป็นการสูญเสียทั้งภรรยาและบุตรชาย จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้เถิงเจาก็มีนิสัยที่ไม่พึงใจ มีแปดอักษรเวลาตกฟากที่อ่อนแอ แม้ว่าจะเป็นท่านย่าแท้ๆ ก็ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูเท่าไหร่นัก ในใจมักจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จึงได้ปรึกษากับเถิงเทียนฮั่นว่าให้ส่งเถิงเจากลับไปอยู่ข้างกายเขา ก็คือให้ส่งกลับไปอยู่จวนที่เมืองฝู่ในหนิงโจว
ที่แปลกก็คือ เมื่อกลับมาบ้านเกิด เขาก็ไม่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ท่าทางสงบนิ่ง แต่ยังคงมีนิสัยสันโดษ
เถิงเจาไม่กลับเมืองหลวง เถิงเทียนฮั่นจึงดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองฝู่สองสมัย จนกระทั่งหมดวาระเมื่อปีที่แล้ว จึงถูกย้ายกลับไปเป็นเส่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ บุตรชายจึงอยู่ในความดูแลของบรรดาบ่าวรับใช้ ตอนนี้เขาจึงถือโอกาสที่มาทำธุระนอกสถานที่กลับมาเยี่ยม
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ถามว่า “ใต้เท้ามักจะพูดถึงนิสัยของเขาอยู่เสมอ บุตรชายของท่านนิสัยเป็นอย่างไรกันแน่ จึงทำให้ท่านปวดหัวเช่นนี้”
แววตาของเถิงเทียนฮั่นแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า เอ่ย “เขามักจะไม่สนใจใคร ราวกับว่าจมอยู่ในโลกของตัวเอง ท่านเห็นก็จะรู้เอง”
เมื่อฉินหลิวซีได้ยินดังนั้น ก็คิดว่า ‘หรือจะเป็นการปิดกั้นตัวเอง’
เมื่อมาถึงลานที่เรือนของเถิงเจาพร้อมกับเถิงเทียนฮั่น ฉินหลิวซียังไม่ทันได้เข้าไปก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มองดูต้นไม้ที่โผล่ออกมาจากกำแพงบ้าน ชี้พลางเอ่ยว่า “มีคำถามที่ข้าอยากจะถามมานานแล้ว บ่าวรับใช้ในจวนนี้ได้รับการฝึกฝนอย่างไร ข้าเห็นว่าทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แล้วยังมีสิ่งนี้ ต้นไม้ก็มีฝาแฝดด้วยหรือ ตัดแต่งกิ่งได้เหมือนกันเกินไปแล้ว”
เถิงเทียนฮั่นหันไปมอง เห็นว่าปลายแหลมของต้นจินกุ้ยทั้งสองต้นเหมือนกันทุกประการ อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ กล่าวว่า “เป็นความต้องการของเจาเอ๋อร์”
ฉินหลิวซีชะงักไปครู่หนึ่ง มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว คงไม่ใช่หรอกกระมัง
นางเดินตามเขาเข้าไปที่ลานบ้าน เมื่อมองดู ปลายนิ้วก็สั่นเล็กน้อย เป็นระเบียบเรียบร้อย พิถีพิถัน แม้แต่กระถางดอกไม้บนพื้นก็ยังเรียบร้อยราวกับวัดระยะความห่างทุกกระเบียดนิ้ว ลานบ้านไม่เห็นถึงความรกแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสกปรก ใบไม้ร่วงแม้แต่ใบเดียวก็ไม่มี
มีสาวใช้เห็นเถิงเทียนฮั่น จึงเข้ามาคำนับ
“คุณชายน้อยกำลังทำอะไรอยู่หรือ”
สาวใช้ตอบว่า “ตอนนี้กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับอาจารย์ฉีเจ้าค่ะ”
เถิงเทียนฮั่นพยักหน้า เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “เดิมทีอาจารย์ฉีเป็นเสนาธิการของข้า และเป็นเขาที่ให้ความรู้แก่บุตรชายของข้า หลายปีที่ผ่านมาก็คอยสั่งสอนเจาเอ๋อร์มาตลอด” เขากล่าวพลางเดินเข้าไปอย่างสบายๆ
ฉินหลิวซีเดินตามเข้าไป เงยหน้าขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนั้นถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน การวางของสิ่งของทุกอย่างสามารถวัดได้ หากมีสองสิ่งที่เหมือนกันก็จะวางไปในทิศทางเดียวกัน
เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ โรครักความสะอาด
ในหัวของฉินหลิวซีมีสองคำนี้ผุดขึ้นมา
เมื่อหันไปมองเถิงเทียนฮั่นอีกครั้ง เขาได้เดินไปที่หน้าต่างทางทิศใต้แล้ว ที่นั่นมีชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นประสานแล้วเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เมื่อมองสบตากับฉินหลิวซีก็ยกมือขึ้นประสานอีกครั้งพลางพยักหน้า
ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบรับ มองไปยังเด็กร่างผอมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหลัวฮั่นซึ่งกำลังถือหมากรุกไว้ในมือข้างหนึ่ง
แม้ว่าจะอยู่ในห้อง แต่เขาก็สวมเสื้อแพรสีเขียวที่รีดโดยไม่มีรอยยับแม้แต่นิดเดียว ผมที่แห้งและเปราะบางถูกเกล้าขึ้น คิ้วของเขาละเอียดอ่อน สีหน้าซีดเล็กน้อย ก้มศีรษะลง แต่ใบหน้ากลับไม่มีการแสดงออกของความรู้สึก มีแค่ความสงบนิ่ง
แม้ว่าท่านพ่อของเขาจะโน้มตัวไปพูดคุยกับเขา แต่เขาก็ไม่ได้ตอบสนองอะไร เพียงแต่จ้องมองไปที่กระดานหมากรุกตรงหน้าแล้ววางหมากรุกต่อ
“เจาเอ๋อร์ ท่านนี้คือท่านอาจารย์ปู้ฉิว เจ้าคารวะสักหน่อยเถิด” เถิงเทียนฮั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เถิงเจาทำราวกับว่าไม่ได้ยิน
เถิงเทียนฮั่นโกรธเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกเอือมระอาเสียมากกว่า มองไปยังฉินหลิวซี กล่าวว่า “เขาก็เป็นเช่นนี้ ทำอะไรก็มักจะไม่มีการตอบสนองมากนัก ไม่ยอมสนใจผู้คน หากไม่มีใครพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนเขา เขาก็สามารถอยู่กับตัวเองได้ทั้งวัน”
โรคปิดกั้นตัวเองอย่างแน่นอน
“ถึงกระนั้นคุณชายน้อยก็เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เขาฉลาดมาก” อาจารย์ฉีกล่าวแทรกขึ้นมา และยังเอ่ยต่อไปอีกว่า “แม้ว่าเขาจะดู…นิ่งๆ แต่มีความสามารถในการเรียนรู้ที่แข็งแกร่ง แม้ว่าข้าจะไม่ได้จงใจสอน แต่เขาก็จะคอยอยู่ข้างๆ เรียนรู้การกระทำและความคิด หมากรุกนี้ เขาก็มองดูข้าเล่นแล้วเรียนรู้ด้วยตัวเอง”
น้ำเสียงของอาจารย์ฉีดูภูมิใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเช่นกัน
เด็กที่ฉลาดเช่นนี้กลับร่างกายอ่อนแอ เท่านั้นไม่พอ ยังรักสันโดษอีก
ฉินหลิวซีเดินเข้าไป ก้มลงมองกระดานหมากรุก อาจารย์ฉีวางหมากสีดำ แต่ตอนนี้เขาลุกออกไปแล้ว หมากสีดำไม่ขยับ เถิงเจาอดทนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบหมากสีดำมาวางเอง ต่อมาก็วางหมากสีขาว
วางหมากรุกเองด้วยมือทั้งสองข้าง
จนแล้วจนเล่าก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาแม้แต่ตาเดียว
“ท่านอาจารย์…”
ฉินหลิวซีมองไปยังกระดานหมากรุกที่วางเป็นระเบียบเรียบร้อย ยื่นมือออกไปกวาดมัน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
นางทำกระดานหมากรุกยุ่งเหยิงไปหมด
เถิงเทียนฮั่นกับอาจารย์ฉีตกตะลึง มองนางด้วยความประหลาดใจ
ฉินหลิวซีไม่กล่าวอะไร เพียงแต่มองดูการตอบสนองของเถิงเจาเท่านั้น ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ก็ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เมื่อมองดูกระดานหมากรุกที่ยุ่งเหยิง คิ้วที่สวยงามก็ย่น เม้มริมฝีปากแน่น
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังผู้กระทำผิด
ฉินหลิวซีมองเห็นใบหน้าทั้งหมดของเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขาก็หัวใจเต้นแรง มีอารมณ์บางอย่างที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นมา ราวกับไม่ได้เห็นมานาน รู้สึกใจหาย หัวใจรู้สึกอ่อนแรง
ทำให้คนรู้สึกอยากลูบศีรษะของเขา
เถิงเจามีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่งซึ่งมีความชัดเจนและสดใส สะท้อนภาพร่างของฉินหลิวซี
อาจารย์ฉีบอกว่าเขาฉลาดมาก เป็นเช่นนั้นไม่ผิด กระดานหมากรุกยุ่งเหยิงแล้ว แต่เขายังคงสามารถทำให้มันกลับคืนเช่นเดิม ไม่ผิดไปแม้แต่ตัวเดียว
ฉินหลิวซีเข้ามาแทนที่อาจารย์ฉี หยิบหมากสีดำขึ้นมาวางลงตามต้องการ เถิงเจาเห็นดังนั้นก็หยิบหมากสีขาวมาขวางไว้ พึ่งจะวางลง อีกฝ่ายก็ลงหมากอีกตัวทันที
อาจารย์ฉีกับเถิงเทียนฮั่นมองหน้ากัน เถิงเทียนฮั่นส่ายหน้า ยืนดูอยู่ข้างๆ
ฉินหลิวซีลงหมากรุกอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ต้องพิจารณา ดูท่าทางสบายๆ แต่กลับรวดเร็ว ส่วนเถิงเจายังคงวางหมากอย่างช้าๆ ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แต่ไปๆ มาๆ หน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อออก
อาจารย์ฉีกับเถิงเทียนฮั่นที่กำลังดูอยู่ต่างก็รู้วิธีเล่นหมากรุก เมื่อมองดูการวางหมากนี้ ก็รู้ว่าหมากขาวถูกบังคับให้จนมุม
จังหวะของเถิงเจาถูกทำให้ยุ่งเหยิง
ถือหมากในมือไว้อย่างลังเลไม่รู้ว่าจะวางตรงไหน เม็ดเหงื่อบนหน้าผากก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเล็กของเขาย่นเล็กน้อย ในที่สุดก็แสดงสีหน้าอื่นที่นอกเหนือจากความสงบนิ่ง
ฉินหลิวซีเอื้อมมือไปจับมือของเถิงเจา
“อย่า…”
อาจารย์ฉีเอ่ยขึ้น เถิงเจาไม่ชอบให้ใครมาถูกตัว โดยเฉพาะคนแปลกหน้า เขาจะโมโห
แต่เกินความคาดหมายของพวกเขา เถิงเจาไม่ได้โมโหแต่อย่างใด
ฉินหลิวซีราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของอาจารย์ฉี จับมือเขาแล้วพาไปที่มุมกระดานหมากรุกแล้ววางหมาก
หมากสีขาวมีความหวังขึ้นมาริบหรี่
หมากไปต่อได้แล้ว
เถิงเจาครุ่นคิด เงยหน้าขึ้นมองฉินหลิวซีด้วยสายตาลึกซึ้ง
“ไปกับข้าเถิด ข้าเก่งจะตายไป” ฉินหลิวซียิ้มให้เขา