ตอนที่ 330 อนุวั่น ‘รู้สึกขมขื่นแต่ไม่กล้าเอ่ย’
สะใภ้หวังคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะให้ความสนใจกับบ่าวรับใช้แปลกหน้าคนหนึ่ง ซ้ำยังถามเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“ไม่ใช่ผู้ติดตามท่านอาหญิงเล็กของเจ้าหรอก ตอนนั้นที่ท่านอาหญิงเล็กของเจ้าแต่งงาน ท่านย่าของเจ้าได้เตรียมผู้ติดตามไว้ให้สองคน ล้วนเป็นบ่าวที่เกิดในจวนตระกูลนี้ บ่าวผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ของตระกูลแม่สามีของท่านอาหญิงเล็กเจ้า และเป็นผู้ดูแลเรือนของนาง” สะใภ้หวังเอ่ย “ท่านอาหญิงเล็กของเจ้าเขียนจดหมายมาบอกว่านางตั้งครรภ์แล้ว พึ่งได้สามเดือน เมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นในตระกูลก็ตกใจจนตกเลือด เกือบจะรักษาครรภ์ไว้ไม่ได้ ตอนนี้กำลังบำรุงรักษาอยู่ จึงได้ส่งบ่าวรับใช้ผู้นี้ให้นำเงินและสิ่งของมามอบให้”
ทันทีที่จิตใจนางผ่อนคลาย ความฉลาดของนางก็กลับมา รู้สึกว่าฉินหลิวซีไม่ได้ให้ความสนใจกับนิสัยของคนแปลกหน้า แต่กลับถามถึงหญิงชราผู้นั้นอย่างกะทันหัน เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามว่า “ทำไมหรือ บ่าวรับใช้ผู้นี้มีปัญหาอะไรหรือ”
นางเห็นว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้ฉลาด รู้จักพูดจา มักจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายให้ทำสิ่งสำคัญ
“เป็นคนปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ หากท่านเตือนได้ก็เตือนท่านอาหญิงเล็กสักหน่อยเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมา
สะใภ้หวังใจเต้นรัว พยักหน้า “กลับไปเมื่อข้าเตรียมของขวัญส่งกลับไป จะเตือนนางสักหน่อย”
ส่วนจะเตือนอย่างไรนั้น ในใจนางรู้ดี
ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจมากนัก อย่างไรเสียก็เห็นแก่ความเป็นเครือญาติกัน จึงเตือนนางสักหน่อย จะฟังหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว
สะใภ้หวังก็รู้นิสัยของนางดีจึงไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อนี้ต่อ แต่กลับพูดถึงอาการบาดเจ็บที่ขา ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ขาของเจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ หากปวดหนักมากก็หาหมอที่เชี่ยวชาญด้านกระดูกดูสักหน่อยเถิด อย่าให้บาดเจ็บถึงกระดูกจะดีกว่า”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่ต้องโทษห้าโทษสามวิบัติ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดีขึ้น”
สะใภ้หวังตกตะลึง “ห้าโทษสามวิบัติหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “นักพรตเสวียนเหมิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเมตตาหรือใช้วิชาเต๋าหาผลประโยชน์ ก็มักจะเปิดเผยความลับแห่งสวรรค์ ต้องรับผลที่ตามมา นั่นก็คือห้าโทษสามวิบัติ ซึ่งต้องแบกรับด้วยตัวเอง”
สะใภ้หวังสีหน้าซีดเล็กน้อย “หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือ”
“สวรรค์ยุติธรรมเสมอ”
สะใภ้หวังเม้มริมฝีปาก เอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ควรใช้วิชาเต๋าให้น้อยลง จะได้ไม่ต้องรับกรรมมากขึ้น”
“เจ้าค่ะ ลงโทษความชั่วส่งเสริมความดี นี่คือคำสอนของลัทธิเต๋า ข้ารู้ขอบเขต แม้ว่าจะได้ผลประโยชน์ แต่ก็จะจัดสรรเงินบางส่วนเป็นค่าน้ำมันตะเกียงใช้ทำความดีเพื่อชดเชยผลกรรมบางส่วน ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป” ฉินหลิวซีหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “รายได้จากร้านโลงศพนั้นก็เช่นเดียวกัน ข้าจะจัดสรรส่วนหนึ่งถวายอารามเต๋าเพื่อการกุศล”
“มีมากมายหลายอาชีพที่สามารถทำได้ เหตุใดเจ้าจึงเลือกทำอาชีพที่ต้องรับผลที่ตามมาเช่นนี้” สะใภ้หวังยังคงไม่วางใจ เอ่ยว่า “หรือว่าพวกเราจะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หรือไม่ก็ไม่ต้องทำ ปล่อยเช่าก็ได้ เช่นนี้เจ้าก็จะได้ไม่ต้องรับผลกรรมนี้”
ฉินหลิวซีรู้สึกอบอุ่นในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ร้านนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายหรือขายยันต์เท่านั้น การใช้วิชาแพทย์ช่วยชีวิตคนก็เป็นการสะสมบุญอีกด้วย ท่านวางใจได้”
สะใภ้หวังรู้ว่าไม่สามารถโน้มน้าวได้ จึงถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กสาวเดิมทีควรจะอยู่ในเรือน แต่กลับต้องแบกรับความรับผิดชอบที่บุรุษต้องแบกรับ เป็นพวกเราที่เห็นแก่ตัวและไร้ประโยชน์”
ฉินหลิวซีอยากบอกว่าคดีของท่านปู่ ได้ฝากให้คนหาโอกาสพลิกคดีให้แล้ว แต่เมื่อนึกได้ว่าโอกาสนี้ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เกรงว่านางจะคาดหวัง เอาแต่คิดทั้งวันทั้งคืนจนวิตกกังวล จึงกลืนคำพูดกลับลงไป
“ข้าจะทำให้ชีพจรของท่านสงบลง” ฉินหลิวซีให้ฉีหวงไปนำหมอนรอง พู่กัน และหมึกมา
สะใภ้หวังอยากปฏิเสธ แต่เมื่อฉินหลิวซีมองมา นางก็ยอมยื่นมือออกไปอย่างเชื่อฟัง
ฉินหลิวซีวางสองนิ้วที่เย็นเล็กน้อยลงบนข้อมือ เพียงครู่เดียวก็เอ่ยว่า “ไฟตับเพิ่มขึ้น ท่านนอนไม่หลับหรือ”
สะใภ้หวังสีหน้าลำบากใจพลางเอ่ย “หลายวันมานี้มีเรื่องอยู่ในใจ อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้”
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสตรีที่จะทำกิจการข้างนอก ซึ่งทำให้นางตระหนักรู้ถึงความยากลำบากอย่างลึกซึ้ง บวกกับสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลฉิน ความกดดันมหาศาลในทุกๆ ด้านโจมตีนางราวกับสัตว์ร้าย ทำให้นางไม่อาจผ่อนคลายได้ เมื่อมีเรื่องในใจมากเกินไปก็ย่อมนอนไม่หลับ
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “กังวลมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อท่าน เมื่อใจหดหู่ ร่างกายก็จะค่อยๆ ทรุดลง อย่ายืนหยัดในทุกสิ่ง และอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป”
สะใภ้หวังรู้สึกหน่วงๆ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา เอ่ยว่า “เมื่อเป็นผู้ดูแลเรือน ทุกคนในเรือนต่างก็หวังพึ่งพา ไหนเลยจะไม่ให้คิดมากได้”
“ผู้ดูแลเรือนก็เป็นคนเหมือนกัน กระทำสิ่งต่างๆ อย่างมีมโนธรรมก็พอแล้ว มีกฎหมายต้าเฟิงข้อใดที่กำหนดให้ผู้ดูแลเรือนจะต้องทำให้ดีที่สุดในทุกสิ่ง”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ท่านมาจากตระกูลใหญ่ อาจเป็นกฎเกณฑ์ของตระกูลและการเลี้ยงดูที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ แต่ความจริงนั้นไม่จำเป็น พวกเราเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่ใช่ผู้วิเศษ คนธรรมดาก็ควรจะยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง”
สะใภ้หวังหัวเราะในลำคอ “เด็กอย่างเจ้า ไยจึงมีหลักเหตุผลมากมายเช่นนี้”
“ข้าหวังว่าท่านจะคิดถึงตัวเองให้มากขึ้น ในครอบครัวนี้ไม่มีใครควรค่าที่ท่านจะมอบกายถวายชีวิตให้ ยกเว้นฉินหมิงเยี่ยน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง รอเขากลับมา”
สะใภ้หวังปลายนิ้วสั่น น้ำตาไหล
ฉินหลิวซีหยิบพู่กันและหมึกมา ไม่รอช้า เขียนใบสั่งยาแล้วยื่นให้ “ใบสั่งยานี้ท่านให้พ่อบ้านหลี่ไปหาวัตถุดิบยามาต้มรับประทานสองขนาน”
“ได้”
ฉินหลิวซีให้นางรอสักครู่ เดินขากะเผลกเข้าไปในห้องนอน หยิบขวดยาหย่างหรงออกมา ยัดใส่มือนาง “กินวันละหนึ่งเม็ด กินหมดแล้วก็บอกข้า”
สะใภ้หวังก้มลงมอง รู้สึกว่ามือร้อนขึ้นมาในชั่วขณะ เอ่ยว่า “ไม่ต้องๆ ก่อนหน้านี้เจ้าให้ท่านยายของเจ้าไปหนึ่งขวดแล้ว ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
“ให้ท่าน ท่านก็รับไว้เถิด เพียงแค่ยาบำรุงร่างกาย กินแล้วเป็นประโยชน์จึงจะเรียกว่าของดี หากกินแล้วไม่เป็นประโยชน์มันก็เป็นเพียงของไร้สาระ” ฉินหลิวซีไม่ได้ใส่ใจ
สะใภ้หวังหัวเราะ “เป็นดั่งที่เจ้าเอ่ย ยาขวดนี้ขายอยู่ข้างนอกราคาแพงมาก บางครั้งสินค้าก็หมด”
“ก็เป็นเพียงแค่ยา แม้ว่ามันจะดี แต่คนเราก็ยังต้องฝึกฝนร่างกาย ท่านรู้จักการเลียนแบบท่าทางของอู่ฉินซี่[1]กับปาต้วนจิ่น[2]หรือไม่ ฝึกฝนทุกวัน ดีกว่ากินยาเสียอีก” ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แต่ว่าท่านต้องแอบกิน อย่าให้ท่านอาสะใภ้รองและคนอื่นๆ เห็น มิเช่นนั้นจะหาว่าท่านยักยอกเงินส่วนกลางไปซื้อ”
“เจ้าวางใจได้” สะใภ้หวังเก็บขวดยา เอ่ยหยอกล้อว่า “กลับไปแล้วพวกแม่ๆ จะแอบกิน”
ฉินหลิวซีไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรเสียก็ให้นางไปแล้ว นางจะให้ใครกินก็เป็นเรื่องของนาง แต่คิดว่านางคงไม่โง่พอที่จะแบ่งให้ท่านอาสะใภ้รองผู้หยิ่งยโสจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน
ท่านแม่ใหญ่ผู้นี้เป็นคนฉลาด
สะใภ้หวังพูดคุยกับนางอยู่สักพักแล้วจากไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อกลับมาถึงเรือน ก็แบ่งขวดยาหย่างหรงมากกว่าครึ่งใส่ขวดหยกเล็กๆ แล้วนำไปที่ห้องอนุวั่น
อนุวั่นกำลังนวดข้อมือที่ปวดร้าวของนาง เมื่อเห็นสะใภ้หวังมาก็รีบหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้แอบขี้เกียจนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องรีบหรอก” สะใภ้หวังเดินไปหา ดูลายมือที่ยุ่งเหยิงของนาง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เอ่ยว่า “ เมื่อมีเวลาว่างก็ฝึกให้มาก แล้วยังต้องอ่านตัวเลขด้วย ต่อไปเมื่อฉุนเอ๋อร์กลับมา ให้เขาสอนเจ้าคำนวณเลข บัญชีในเรือนของเรา เจ้าต้องฝึกดูแลสักหน่อย”
อนุวั่นมองนางด้วยสีหน้าซีดเซียว “ท่าน ท่านมักจะเห็นข้าขัดหูขัดตา ต้องการจะลงมือกับข้าหรือ”
ให้ตายเถอะ นายท่านก็ไม่อยู่ ไม่ได้มีเรื่องแย่งชิงความโปรดปรานกันสักหน่อย เหตุใดจึงไม่ปล่อยนางไป
สะใภ้หวัง “…”
เจ้าขอนไม้นี้ หากเป็นผู้ดูแลเรือนคนอื่น นางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน! ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เมื่อถูกสะใภ้หวังมองด้วยสายตารังเกียจ อนุวั่นก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเป็นอย่างมาก นางเกิดมาดี พ่อแม่ของนางปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นสิ่งของหายากมาตลอด ไม่ยอมให้นางทำงาน เพื่อไม่ให้มือและใบหน้าหยาบกร้าน ซ้ำยังแทบจะไม่ให้นางปรากฏตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดและไม่ให้มีคนไม่เอาไหนมาหมายปอง ในใจคิดเพียงว่ารอให้นางปักปิ่นแล้วก็จะสามารถ ‘ขาย’ ได้ในราคาดี
และนางก็พอมีโชคอยู่บ้าง เมื่ออายุครบสิบห้าปีก็ได้พบกับฉินปั๋วหง เขาพูดไว้ว่าอย่างไร บอกว่าอยู่กับเขาแค่ดูแลความสวยงามดั่งดอกไม้ก็พอแล้ว
ดังนั้นนางจึงถูกพาเข้าตระกูลฉิน เป็นเรื่องจริงที่นางใช้ชีวิตที่ดีเป็นเวลาหลายปีที่รับผิดชอบแค่ความงามและให้กำเนิดบุตร แต่ตอนนี้เล่า
ตระกูลฉินล้มลง ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน นางก็ไม่ได้รู้สึกลำบาก อย่างไรเสียแค่มีข้าวให้นางกินก็พอแล้ว หากสะใภ้หวังไม่พอใจ เขียนหนังสือปลดปล่อยอนุแทนสามี นางก็สามารถหาบ้านใหม่ได้ ส่วนความซื่อสัตย์ต่อฉินปั๋วหงน่ะหรือ
สิ่งนั้นคืออะไรกัน
แต่สะใภ้หวังไม่ได้เขียนหนังสือปลดปล่อยอนุ แต่กลับให้นางเรียนคำนวณเลขและดูแลบัญชี?
อนุวั่นรู้สึกหวาดกลัว
“แค่เขียนตัวอักษรก็ยากแล้ว ยังต้องเรียนคำนวณเลขอีก ฮูหยิน ข้าก็เป็นแค่อนุเองเจ้าค่ะ” อนุวั่นหลั่งน้ำตาด้วยความน้อยใจ นางที่เป็นอนุ เหตุใดต้องเรียนอย่างเดียวกันกับผู้ดูแลเรือนด้วย ใจนางรู้สึกขมขื่น
สาวงามหลั่งน้ำตานั้นน่ามองเสมอ หากเป็นเมื่อก่อนสะใภ้หวังก็คงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่แล้ว
“เจ้าเป็นแม่แท้ๆ ของซีเอ๋อร์ ไม่รู้ตำราไม่พอ ไม่รู้ตัวอักษร คำนวณเลขก็ไม่เป็น หากคนข้างนอกรู้เข้า นางจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
อนุวั่นแก้ตัว “เรื่องเป็นหน้าเป็นตาให้นาง เป็นหน้าที่ของท่านกับนายท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในภายภาคหน้าหากนางแต่งงาน ก็เป็นสามีที่เป็นหน้าเป็นตาให้นาง อนุอย่างข้าจะเป็นหน้าเป็นตาให้นางได้อย่างไร ใช่เรื่องที่ไหนกัน”
สะใภ้หวัง “…”
เอาเถิด นางไม่รู้จะเอ่ยอะไรแล้ว
“เจ้าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดนาง”
“ข้ารู้ แต่ข้าก็เป็นเพียงอนุ ข้ายังต้องเรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ด้วยซ้ำ นี่คือกฎ”
สะใภ้หวังหมดคำพูด รู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ จิ้มไปที่หน้าผากนาง “เจ้าช่วยมีความคิดจะพัฒนาตัวเอง มีความรู้ไว้คู่กายสักหน่อยไม่ได้หรือ”
“ข้ามีความสวยยังไม่พออีกหรือ” อนุวั่นก้มลงมองชุดกระโปรง แล้วมองที่มือของตัวเอง ฝึกเขียนตัวอักษรจนมือหยาบกร้านหมดแล้ว
สะใภ้หวังหลับตาลง ช่างเป็นขอนไม้ที่ไม่เหมือนใคร หัวดื้อเสียจริง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ช่างเถิด
นางหยิบขวดหยกเล็กออกมาแล้วยัดใส่มือให้
“นี่คืออะไร” อนุวั่นเขย่าด้วยความสงสัย มีเม็ดยากระทบกับขวด นางอดที่จะดึงจุกออกไม่ได้ กลิ่นหอมเข้มข้นของยาลอยออกมา จึงเทยาออกมาหนึ่งเม็ด “หอมมาก”
สะใภ้หวังนั่งลง เอ่ยเสียงเบาว่า “นี่คือยาหย่างหรง”
อนุวั่นเบิกตาโต “ยาหย่างหรงที่มีเงินพันตำลึงทองก็ซื้อไม่ได้น่ะหรือเจ้าคะ”
สะใภ้หวังพยักหน้า “ซีเอ๋อร์ให้มา มีแค่พวกเราที่ได้ เจ้ากับฉุนเอ๋อร์เอาไปแบ่งกันทาน ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าไม่ว่าเจ้าจะโง่แค่ไหน จะให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้ากินสิ่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นซีเอ๋อร์จะเดือดร้อน”
อนุวั่นท่าทางระมัดระวัง ชี้ไปที่ข้างนอก “ท่านหมายถึงฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินรองหรือเจ้าคะ”
สะใภ้หวังกะพริบตา “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ หากเจ้าบอกไป แล้วพวกนางมาขอเจ้า ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่า” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ของสิ่งนี้ช่วยบำรุงร่างกายได้ดี หากเจ้าไม่อยากสวยงามดั่งดอกไม้ ก็เอาไปบอกต่อได้เลย!”
“ท่านวางใจได้ ให้ตายข้าก็ไม่พูด!” เรื่องเกี่ยวกับความงาม ต้องให้ความสำคัญ กินก่อนสักเม็ดเพื่อแสดงความเคารพ
เมื่อสะใภ้หวังเห็นนางกลืนเม็ดยาในฝ่ามือ ก็อดหัวเราะไม่ได้ ปัดผมที่อยู่ข้างหูนาง ความโง่ก็มีข้อดี ใช้ชีวิตอย่างไร้เดียงสาและเรียบง่าย
[1] อู่ฉินซี่ การบริหารร่างกายโดยเลียนแบบท่าทางของสัตว์ 5 ชนิดคือ เสือ กวาง หมี ลิง และนก
[2] ปาต้วนจิ่น เป็นวิธีการออกกำลังฝึกชี่กง ที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งแสดงถึงกระบวนท่าทั้งแปด