ตอนที่ 340 นางฆ่าคนโดยไม่ต้องใช้มีด
ยังมีบุตรอีกหนึ่งคน
ฉินหลิวซียกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากมีความหมายบางอย่างแอบแฝง ราวกับหัวเราะให้กับความโง่เขลาของคน แต่ก็ราวกับหัวเราะคนไร้เดียงสาที่ไม่รู้อะไรเลย
ซ่งเยี่ยเห็นดังนั้นก็หัวใจเต้นรัวทันที รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่ซ่งหลิ่วกลับกลัวว่าฉินหลิวซีจะไม่เชื่อ จึงเอ่ยต่ออีกว่า “ข้ายังมีบุตรชายอีกหนึ่งคน ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาในหนิงโจว ปีนี้ก็อายุได้สิบหกปีแล้ว”
ฉินหลิวซีใช้นิ้วเคาะโต๊ะ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ข้ามีความจริงจะบอก ไม่ใช่เรื่องที่ดี หากบอกออกไป ฮูหยินอาจจะรับไม่ได้”
ซ่งหลิ่วใจเต้นรัว ขมวดคิ้วพลางมองไปยังฉินหลิวซี “เรื่องอะไรหรือ”
นางมีลางสังหรณ์ว่าคำพูดของฉินหลิวซีไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการได้ยิน และลางสังหรณ์ก็ได้บอกนางว่าควรออกไปทันที มิเช่นนั้นหากอยู่นานเกินไปนางอาจจะตกลงไปในเหวลึก
ฉินหลิวซีกลับยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร บางทีข้าอาจมองผิดไป ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ท่านก่อน จากนั้นค่อยฝังเข็มเปิดเส้นเลือด เพิ่มพลังหยาง บวกกับการดื่มยาต้ม ฮูหยินก็จะค่อยๆ หายเป็นปกติ”
เห็นได้ชัดว่าเป็นการเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนา
ซ่งหลิ่วเป็นคนหัวดื้อ เมื่อเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านหมอ ท่านมีเรื่องอะไรก็บอกมาเถิด ร่างกายข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว ยังจะมีอะไรที่ฟังไม่ได้อีก หรือว่าความจริงแล้วร่างกายข้าไม่มียาที่สามารถรักษาได้ ท่านเพียงหลอกข้าอย่างนั้นหรือ”
“เพียงแค่ภาวะระดูผิดปกติเท่านั้น แม้ว่าร่างกายท่านจะอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่ยารักษาไม่ได้ ตราบใดที่ปฏิบัติตามใบสั่งยาและให้ความร่วมมือกับการรักษาของหมอ ก็จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสริมอีกว่า “แน่นอนว่าหากท่านยังคงทำร้ายตัวเอง เช่นนั้นเทพเซียนที่ไหนก็ช่วยไม่ได้”
แม้แต่เทพก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่จมอยู่กับความตายได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา
ซ่งหลิ่วมักจะรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้เป็นการพูดให้ตัวเองฟัง ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจมากขึ้น
ซ่งเยี่ยเองก็รู้สึกเป็นกังวลในใจ เขาเป็นคนนิสัยหยาบกระด้าง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบการเล่นเกมทายใจ
อย่างไรก็ต้องรู้อยู่แล้ว ไม่สู้พูดออกมาเลยดีกว่า ให้มันจบๆ ไปเลย
การเอ่ยอ้อมค้อมไปมาอย่างสตรีเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ
ซ่งเยี่ยอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้หลอกคนนิสัยหยาบกระด้างอย่างพวกเรา พวกเราสองพี่น้องไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นพายุลมแรง มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด ท่านปิดบังเช่นนี้จะทำให้พวกเราคิดฟุ้งซ่าน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการรักษาโรค”
ซ่งหลิ่วพยักหน้าเห็นด้วย
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินบอกว่ายังมีบุตรชายอีกหนึ่งคน เป็นเพราะต้องไปศึกษาจึงไม่ได้อยู่ข้างกายท่านอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น เด็กคนนี้มีพรสวรรค์เรื่องการเรียนอยู่บ้าง เดินเส้นทางเดียวกับพี่ใหญ่ตั้งแต่เล็กจึงส่งไปสำนักศึกษา พ่อของเขาก็ไม่อนุญาตให้เขากลับมาบ่อยๆ จนทำให้เสียการเรียน ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจะกลับมาในช่วงวันหยุดใหญ่ของสำนักศึกษาหรือเทศกาลตรุษจีน” เมื่อซ่งหลิ่วเอ่ยถึงบุตรชายคนโตก็มีแสงริบหรี่ในดวงตาที่มืดมน
เช่นนั้นแสดงว่าการเรียนสำคัญเป็นอย่างมาก แม้ว่าน้องชายจะเสียชีวิต หรือว่ามารดาป่วยหนักเพราะความโศกเศร้า แต่ก็ยังไม่กลับมาปรนนิบัติอยู่ข้างกาย” ฉินหลิวซีราวกับว่าเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซ่งหลิ่วกับซ่งเยี่ยต่างพากันขมวดคิ้ว เหตุใดคำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนประชดประชันเล็กน้อย
“เขาเป็นบุรุษที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย ข้างกายข้าก็มีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติ หากกลับมาแล้วเขาจะทำอะไรได้ การละเลยการเรียนนับเป็นการผิดต่อความคาดหวังของพวกเรา และผิดต่อน้ำใจเส้นสายของพี่ใหญ่” ซ่งหลิ่วไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยปกป้องบุตรชายว่า “ตระกูลของพวกเราแตกต่างจากตระกูลขุนนางอื่นๆ ให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นอันดับแรก แต่ไม่จำเป็นต้องปรนนิบัติรับใช้คนป่วย เมื่อเขาเรียนหนังสือจนมีชื่อเสียง ก็นับว่าเป็นความกตัญญูต่อพวกเราแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไปศึกษานอกเมืองเป็นเวลาหลายปี ก็คงไม่สนิทสนมเท่าบุตรชายคนรอง ความรู้สึกก็คงเทียบไม่ได้กระมัง”
ซ่งหลิ่วเริ่มทนไม่ไหวเล็กน้อย ถามตรงประเด็นว่า “ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
ฉินหลิวซีมองไปที่นาง เอ่ยว่า “หากข้าบอกว่าโหงวเฮ้งของฮูหยินคือไม่มีบุตรชายคอยส่งยามจากไป ท่านก็คงไม่เชื่อกระมัง!”
ซ่งเยี่ยสายตามืดสนิท มาแล้ว หินก้อนนี้ได้ตกลงมาแล้ว กระแทกลงที่กลางศีรษะ ทำเอาดวงดาวปรากฏขึ้นในดวงตา
สีหน้าของซ่งหลิ่วเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ตบโต๊ะด้วยความโกรธทันที “ท่านเอ่ยไร้สาระอะไรกัน!”
นางยืนขึ้นด้วยความโกรธ จ้องไปยังฉินหลิวซีอย่างดุเดือด เอ่ยว่า “บุตรชายของข้าไปศึกษานอกเมืองอยู่ดีๆ ท่าน ท่านกลับสาปแช่งให้เขาตาย คนอย่างท่านเป็นหมอประสาอะไร เหตุใดจึงชั่วร้ายเช่นนี้ พี่ใหญ่ พวกเรากลับ ข้าไม่รักษาโรคแล้ว หมอเถื่อนอะไรก็ไม่รู้”
ซ่งหลิ่วหันหลังกลับด้วยความโกรธ แต่เนื่องจากความอ่อนแอของร่างกายจึงเกือบจะล้มลง มีสาวใช้และหมัวหมัวช่วยประคองไว้
เดิมทีพวกนางเคารพฉินหลิวซีเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียก็วินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ สิ่งที่เอ่ยมาล้วนมีเหตุผล แต่การตรวจอาการก็เพียงแค่ตรวจอาการไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงโยงไปถึงเรื่องคุณชายใหญ่เสียได้
แล้วยังไปสัมผัสส่วนที่เปราะบางที่สุดในหัวใจของฮูหยินคือการสูญเสียบุตรชาย
ฮูหยินยังไม่สามารถเดินออกมาจากการสูญเสียคุณชายรองได้แล้วยังโยงไปถึงเรื่องคุณชายใหญ่ ใครจะทนได้
“ข้าไม่ได้สาปแช่งให้เขาตาย แต่บุตรชายของท่านจากไปนานแล้ว ตำแหน่งจื่อหนี่ว์[1]ของท่านสูญสิ้นลงแล้ว ชีวิตนี้ไม่อาจมีบุตรได้อีก” ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน มองดูสองพี่น้องด้วยความเห็นใจ
พวกเขามีบุตรชายและต่างก็สูญเสียบุตรชายไป ตระกูลซ่งหากไม่ได้ถูกคนทำมนต์ดำสาปแช่ง ก็คงถูกคนลงมือกับสุสานบรรพบุรุษ ต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้แน่ๆ
มิเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่สองพี่น้องจะไม่มีบุตรทั้งคู่
และที่นางเคยทำนายดวงชะตาให้ซ่งเยี่ย ขาดญาติทางสายเลือด ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้น ที่แท้ก็มีความหมายเช่นนี้หรือ
ตัวซ่งหลิ่วเองก็ไม่มีบุตรแล้ว หากยังคงซึมเศร้าเช่นนี้ต่อไป นางก็จะป่วยจนเสียชีวิต บุตรชายที่นางเอ่ยถึงไม่ใช่บุตรชายทางสายเลือดของนาง เช่นนั้นซ่งเยี่ยก็จะขาดญาติทางสายเลือดไม่ใช่หรือ
หากเขาก็ตายด้วย เช่นนั้นมรดกของตระกูลจะไปที่ไหน หากตัวเองไม่มีผู้สืบทอด ก็จะไปตกอยู่ในมือ ‘บุตรชายคนโต’ ของซ่งหลิ่วผู้นั้น ก็ไม่ใช่การที่ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้นหรือ
เช่นนั้นคำถามคือใครเป็นคนวางหมากกระดานนี้ ใครที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือคนนั้น ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
และใครที่ว่านี้คือใครกัน ฉินหลิวซีใกล้จะเห็นความจริงแล้ว
ซ่งเยี่ยและน้องสาวต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีราวกับเห็นผี คนผู้นี้ร้ายกาจมาก ฆ่าคนโดยไม่ต้องใช้มีดด้วยซ้ำ
ผู้เป็นเจ้า นี่พึ่งจะเดือนสิบเอง เหตุใดจึงได้รู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านหิมะในฤดูหนาวเช่นนี้
“ท่าน ท่านเอ่ยเหลวไหล!” ซ่งหลิ่วชี้ไปยังฉินหลิวซีพลางตะโกนอย่างดุเดือด นิ้วสั่นเทา และร่างกายก็ยิ่งสั่นคลอน ท่าทางราวกับว่าจะล้มลงเมื่อใดก็ได้ แต่กลับใช้กำลังทั้งหมดที่มีคว้ามือของซ่งเยี่ย “พี่ใหญ่ เร็ว รีบทำลายร้านนี้ให้ข้า นี่เป็นร้านเถื่อน เขาเป็นนักพรตต้มตุ๋น!”
นางรู้ว่าไม่ควรมาตั้งแต่แรก ดูสิว่านางได้ยินอะไร นี่มันคำพูดไร้สาระทั้งนั้น!
คนผู้นี้ไม่ได้จะรักษาให้นาง แต่วางยาพิษ ต้องการให้นางตายเร็วขึ้น
ซ่งเยี่ยมองไปยังฉินหลิวซีอย่างเหม่อลอย
“พี่ใหญ่ ท่านยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบทุบร้านเถื่อนนี้เร็วเข้า!”
ซ่งเยี่ยจับมือนางไว้อย่างแรง ส่ายหน้าแล้วมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านพูดขึ้นมาเพื่อเงินหรือว่า…”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “แม่ทัพซ่ง ข้ามาจากเสวียนเหมิน[2]ลัทธิเต๋าที่แท้จริง คนอย่างพวกเรายึดถือในเรื่องผลกรรมเป็นที่สุด หากข้าโป้ปดมดเท็จโดยไม่มีมูลความจริงก็จะเป็นกรรม ท่านยังจำที่ข้าทำนายชะตาชีวิตให้ท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ ขาดญาติทางสายเลือด ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้น ท่านลองคิดกับที่น้องสาวของท่านไม่มีบุตรดูสิ คำพูดนี้ไปตรงกับข้อไหน”
ซ่งเยี่ยสั่นไปทั้งตัว ไปตรงกับข้อไหน หากน้องสาวของเขาตาย แล้วเมื่อถึงเวลาของตัวเอง หากหลานชายคนโตไม่ใช่บุตรชายทางสายเลือด เช่นนั้นตัวเองยังจะมีญาติทางสายเลือดที่ไหนอีก ไม่มีแล้ว
ซ่งหลิ่วตกตะลึง ขาดญาติทางสายเลือด ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้นอะไรกัน
[1] ตำแหน่งจื่อหนี่ว์ อยู่บริเวณใต้ตา บ่งบอกถึงการมีบุตร
[2] เสวียนเหมิน(玄门) ศาสตร์แห่งความลี้ลับ ลึกลับ ต่อมา “เสวียนเหมิน” ถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึงลัทธิเต๋า