ตอนที่ 374 ยันต์ของเจ้าไม่ต้องใช้เงินหรืออย่างไร
เมื่อเห็นซือเหลิ่งเย่ว์กระอักเลือดออกมา ฉินหลิวซีก็ตกใจ สองนิ้วกดลงบนชีพจรของนาง ชีพจรเต้นผิดปกติ
นางรีบปลดกระเป๋าผ้าที่เอวทันที หยิบขวดยาออกมา เทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วป้อนใส่ปากนาง
ในเมื่อต้องมาดินแดนของชนเผ่า ฉินหลิวซีย่อมเตรียมตัวมาแล้ว ยารักษาชีพและยันต์ต่างๆ ล้วนเตรียมไว้หมดแล้ว เพื่อเลี่ยงเหตุที่อาจเกิดขึ้นกะทันหัน
ความจริงได้พิสูจน์ว่านางทำถูกแล้ว ตอนนี้ได้ใช้งานแล้ว
หลังจากที่กินยาของฉินหลิวซี การหายใจของซือเหลิ่งเย่ว์ก็สงบลง ยิ้มให้นางอย่างขมขื่น “ข้าเป็นภาระเจ้าแล้ว”
นางไม่รู้ว่าฉินหลิวซีให้นางกินอะไร แต่มันละลายทันทีที่เข้าไปในลำคอ เมื่อฤทธิ์ยาผ่านเส้นลมปราณ ชีพจรที่วุ่นวายของนางจึงกลับมาสงบลง ยานี้ต้องมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน
ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าเอ่ยไร้สาระอะไร เจ้าได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ต่างหาก” นางชี้ไปยังศพทารกแห้งสีดำสนิทด้วยสีหน้าเย็นชา เอ่ย “เจ้าคอยดู ข้าจะล้างแค้นให้เจ้า”
นางผละออกจากซือเหลิ่งเย่ว์ หยิบกระดาษสีเหลืองจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ไม่ได้พกพู่กันมาด้วย จึงกัดปลายนิ้วใช้กำลังภายในกระตุ้นให้เลือดไหลออกมา จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์
ซือเหลิ่งเย่ว์รู้ว่านางวาดยันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้กลับเร็วกว่าเดิม เมื่อวางปลายนิ้วลงไป เพียงแค่พริบตาเดียว ยันต์หนึ่งแผ่นก็เสร็จสมบูรณ์
ฉินหลิวซีโยนยันต์ใส่ลูกกรอกสีดำสนิทที่ยังคงแผ่กระจายรังสีชั่วร้าย ไม่เพียงเท่านั้น นางโยนยันต์แผ่นแล้วแผ่นเล่าลงไป
เพียงไม่กี่อึดใจ ยันต์ก็ได้ห่อลูกกรอกน้อยจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง รังสีชั่วร้ายไม่สามารถแผ่กระจายออกมาได้แล้ว
ซือเหลิ่งเย่ว์ “…”
หากลูกกรอกรับรู้ได้ก็คงจะโกรธมากจนร่างแทบระเบิด เหยียดหยามกันเกินไปแล้ว ยันต์ของเจ้าไม่ต้องใช้เงินหรืออย่างไร!
“หากไม่ใช่เพราะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็คงใช้ยันต์ห้าสายฟ้าระเบิดมันไปแล้ว” ฉินหลิวซีอมปลายนิ้วพลางสบถอย่างเย็นชา
ซือเหลิ่งเย่ว์อดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเด็กๆ เช่นนี้
ฉินหลิวซีมองไปที่นาง “รู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากตั้งแต่กินยา เมื่อครู่ราวกับว่าข้าได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่กงเซียนฮู่ทำพิธีสังเวย คำสาปแช่งด้วยความอาฆาตสะท้อนอยู่ในหูของข้าราวกับเสียงกลอง รู้สึกสั่นคลอนจิตวิญญาณเล็กน้อย”
ฉินหลิวซีเผยสีหน้ารู้สึกผิด “เป็นเพราะข้าประมาทเกินไป คิดไม่ถึงว่าการที่นำสิ่งนี้ลงมาแล้วเปิดออกจะมีผลกระทบต่อเจ้ามากมายเช่นนี้”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้จะไม่เป็นการทำให้ข้าสลดใจหรือ เจ้าหาสิ่งนำพาเลือดพบ เป็นเรื่องที่บรรพบุรุษ เมื่อร้อยปีก่อนของข้าทำไม่ได้ นับว่าเจ้าเก่งมากแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยดุๆ
ฉินหลิวซีไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจ เอ่ย “กงเซียนฮู่ใช้ทารกในครรภ์นี้เป็นสิ่งนำพาเลือด แล้วใช้วิญญาณเป็นเครื่องสังเวย เพียงแค่หาพบก็ยังไม่อาจบอกว่าสามารถทำลายคำสาปได้แล้ว นางโหดร้ายมากจริงๆ ลูกกรอกนี้มีสายเลือดตระกูลซือของพวกเจ้า แต่ก็มีของนางด้วย การใช้เลือดเนื้อเช่นนี้เป็นสิ่งนำพา กล่าวได้ว่าสามารถสังหารศัตรูได้นับพัน แต่ตัวเองก็สูญเสียไปแปดร้อย และต้องรับบทลงโทษสวรรค์รุนแรงยิ่งกว่า ด้วยการสังเวยวิญญาณ คำสาปเลือดก็จะคงอยู่หลายร้อยปี นับว่าไม่ขาดทุน
ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เทพธิดาก็ได้กล่าวไว้ว่ากงเซียนฮู่ผู้นี้เติบโตจากเด็กสาวในหมู่บ้านที่ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตา ฝึกฝนทีละขั้นจนกลายเป็นแม่มดดำ นอกจากมีพรสวรรค์เป็นอย่างมากแล้วก็ยังมีด้านที่โหดเหี้ยมอีกด้วย นางโหดร้ายกับผู้อื่น แต่โหดร้ายกับตัวเองยิ่งกว่า”
“น่าเสียดายที่ต้องมาตายเพราะหนุ่มรูปงาม เหอะ บุรุษนั้นไว้ใจไม่ได้”
ทันใดนั้นก็มีลมกรรโชกแรงพัดมา แฝงไว้ด้วยพลังชั่วร้าย
ซือเหลิ่งเย่ว์ที่เดิมทีก็รู้สึกผิดเล็กน้อย “!”
เพียงแค่นางอ้าปากพูด คนที่ตายไปแล้วอาจสามารถโกรธจนระเบิดพลังได้
ซือเหลิ่งเย่ว์กดมุมปาก มองไปยังยันต์บ๊ะจ่างห่อนั้น เอ่ยถามว่า “หาสิ่งนำพาเลือดพบแล้ว เช่นนั้นค่ายกลพิธีสังเวยนับว่าถูกทำลายแล้วหรือไม่”
“สิ่งนำพาเลือดคือหัวใจของค่ายกล เมื่อหัวใจค่ายกลถูกทำลายค่ายกลก็จะแตกสลาย แต่ไม่ได้หมายความว่าคำสาปเลือดจะถูกทำลายไปด้วย อย่างไรเสียพิธีสังเวยได้เสร็จสิ้นแล้ว คำสาปเลือดนี้จึงสำเร็จ” ฉินหลิวซีเอ่ย “การหาสิ่งนี้เจอนับว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง การทำลายคำสาปน่าจะง่ายขึ้น เจ้าลองดูสิ ตอนนี้บนตัวของเจ้ามีอะไรที่แตกต่างออกไปหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ส่ายหน้า “การอยู่กับมันทำให้จิตวิญญาณของข้ายิ่งทรมาน”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนที่ข้าสัมผัสมันเมื่อครู่ เจ้าล้มลงหรือ”
“ตอนที่เจ้าไปเอามันมา ข้ารู้สึกเหมือนถูกไฟแผดเผาร่างกาย ทรมานเป็นอย่างมาก”
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจ นางรู้สึกไม่สบายเพราะพลังชั่วร้ายนั่น ดังนั้นจึงได้เอาไฟนรกออกมา แต่ซือเหลิ่งเย่ว์ก็รู้สึกราวกับกำลังถูกไฟแผดเผาร่างกาย
นางมองไปยังยันต์บ๊ะจ่าง ขมวดคิ้ว เป็นเพราะมีสายเลือดเดียวกันจึงได้รู้สึกเหมือนกันอย่างนั้นหรือ
คำสาปนี้…
ฉินหลิวซีรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างวูบผ่านไป แต่มันเร็วเกินกว่าจะคว้าไว้ได้
“พวกเราไปจากที่นี่ก่อนเถิด สิ่งนี้อยู่ที่นี่มาร้อยปีแล้ว วิหารแห่งนี้ได้กลายเป็นที่ซ่อนค่ายกลหยินเนิ่นนานแล้ว การอยู่ที่นี่เป็นเวลานานไม่ดีต่อร่างกายของเจ้า” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางจะหยิบยันต์บ๊ะจ่างขึ้นมาอย่างรู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง
ซือเหลิ่งเย่ว์ “อย่าจับ”
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกมาจากอ้อมแขนแล้วยื่นให้
แม้ว่าลูกกรอกจะถูกห่อด้วยยันต์ แต่ก็ไม่ใหญ่นัก อย่างไรเสียก็พึ่งเติบโตเต็มที่เพียงห้าหกเดือน ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อยังสามารถผูกเป็นปมได้
ฉินหลิวซีหยิบขึ้นมา ใช้นิ้วเกี่ยวปมห้อยไว้ แล้วออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปพร้อมกับซือเหลิ่งเย่ว์
“ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยถาม
ฉินหลิวซีมองดูท้องฟ้า เอ่ย “ที่นี่เป็นพื้นที่ของอำเภอจยา พวกเราจะเดินทางเข้าเมืองผ่านหมู่บ้านต่างๆ ดูว่าจะสามารถยืมรถได้หรือไม่ เดินทางจากอำเภอจยาไปเซียงหนานก็ใช้เวลาเพียงสองวัน พวกเราจะไปหาชนเผ่าตระกูลอูที่เซียงหนานเลย ดูว่าพวกเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคำสาปเลือดนี้”
“ไม่เดินทางเส้นทางหยินหรือ”
“เมื่อครู่เจ้าพึ่งได้รับพลังชั่วร้ายที่ด้านล่างหุบเขาแห่งนั้น อีกอย่างชีพจรก็ยังยุ่งเหยิงอยู่เล็กน้อย ไม่ควรเดินทางเส้นทางหยิน เกรงว่าจะทำให้จิตวิญญาณสั่นคลอนไปมากกว่านี้” ฉินหลิวซีส่ายหน้า เอ่ย “พวกเราไปอำเภอจยา เช่ารถม้าแล้วออกเดินทาง”
ซือเหลิ่งเย่ว์เชื่อฟังนาง
ฉินหลิวซีและอีกฝ่ายเดินเคียงข้างกันไปบนถนนหลัก พลางเอ่ยว่า “ตอนที่พวกเรามา ไม่ควรเดินเส้นทางหยินเพียงเพราะความสะดวก ควรหาม้าสักสองตัว ตอนนี้ทำได้เพียงเดินไปเท่านั้น นับว่าผิดพลาดจริงๆ”
ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะ “คนพิเศษใช้เส้นทางพิเศษไง”
ฉินหลิวซีก็ยิ้มกวางหัวเราะเบาๆ เอ่ย “แต่ว่าพวกเราสามารถขอติดรถไประหว่างทางได้”
“หืม?”
ฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์เดินมาได้สักระยะหนึ่งก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังมาจากข้างหลัง พวกนางหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง
มีรถม้าสองคันกำลังเข้ามาใกล้ ด้านหน้าและด้านหลังรถม้ามีองครักษ์ม้าสองสามคนสวมเสื้อคลุมสั้น เมื่อเห็นฉินหลิวซีและซือเหลิ่งเย่ว์ ก็มีคนเข้าไปเอ่ยอะไรบางอย่างที่ด้านข้างรถม้า
รถม้าแล่นผ่านพวกนางไปโดยไม่หยุด
ซือเหลิ่งเย่ว์เลิกคิ้ว ก่อนจะมองไปยังฉินหลิวซีพลางยิ้มด้วยใบหน้านิ่งๆ “ติดรถไปด้วยหรือ”
รถไม่สนใจเจ้าด้วยซ้ำไป
ฉินหลิวซี ‘สังคมทุกวันนี้แย่ลงเรื่อยๆ สตรีหยุดรถก็ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วหรือ’
ในรถม้าข้างหน้า ชายร่างผอมใบหน้าซีดเซียวกำลังถูกบุรุษที่อยู่ในรถคันเดียวกันบ่นพึมพำ
“สตรีสองคนนั้น ดูก็รู้ว่าเป็นสตรีอ่อนแอ จะให้ติดรถไปด้วยก็ไม่เป็นไร แต่เจ้ากลับนั่งรถผ่านไป รู้จักแสดงความเมตตาบ้างหรือไม่”
ชายร่างผอมสบถอย่างเย็นชา “สองคนนั้นที่เจ้าเรียกว่า ‘สตรีอ่อนแอ’ อาจจะรอขโมยม้าคนที่ขี่มาคนเดียวบนถนนหลัก หากไม่ใช่เพราะพวกนางมีความสามารถอยู่แล้วก็คงถูกปล่อยมาเป็นเหยื่อล่อ แสดงความเมตตาหรือ สยงเอ้อร์ เกรงว่าเจ้าจะลืมไปแล้วว่าเป็นเพราะเจ้าแสดงความเมตตาจึงได้ถูกหลอก”
บุรุษนามว่าสยงเอ้อร์จ้องมองด้วยความโกรธ “จิ่งเสี่ยวซื่อ เจ้าอย่าคิดว่าเป็นเพราะเจ้าป่วยแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้า ทำอะไรก็ควรไว้หน้าผู้อื่นด้วย สตรีสองคนนั้นร่างกายบอบบาง ไม่พอให้ข้าตบด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ เหอะ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะโชคร้าย เจอสตรีเจ้าเล่ห์ไปเสียทุกครั้ง เหล่าเจียง หยุดรถ”