ตอนที่ 401 มีผู้สนับสนุนมากกว่าหนึ่ง
ฮูหยินอวี๋ไม่ได้มีเรื่องที่จะต้องมาขอรับการรักษากับฉินหลิวซี เพียงแค่อยากจะมาที่นี่เพื่อทำความคุ้นเคย หาในภายภาคหน้าต้องการพบก็จะสามารถมาพบได้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าร้านนี้จะเป็นกิจการแปลกๆ
หลังจากที่ฉินหลิวซีจับชีพจรแล้วก็เอ่ยว่า “ทารกในครรภ์ของฮูหยินปลอดภัยดี ยาก็มีพิษสามส่วน ไม่จำเป็นต้องกินยาบำรุงครรภ์แล้ว เพียงแค่ใส่ใจเวลาหลับตื่นและอาหารการกินให้เป็นเวลาก็พอ ตอนนี้ครรภ์ใกล้จะได้ห้าเดือนแล้ว ฮูหยินก็มีน้ำมีนวลมากขึ้นไม่น้อย ในวันปกติทั่วไปอย่ากินปลาหรือเนื้อสัตว์มากนัก ให้ทานผักผลไม้มากๆ กินไข่ไก่วันละหนึ่งฟอง หากมีกำลังทรัพย์ก็สามารถดื่มรังนกได้ ทานน้ำแกงตุ๋นบำรุงร่างกายบ้างเป็นครั้งคราว”
“สตรีมีครรภ์ไม่สามารถกินอาหารบำรุงได้หรือ หนึ่งคนกินแต่ต้องเลี้ยงถึงสองคนเชียวนะ” อวี๋ชิวไฉไม่เข้าใจ
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ฮูหยินก็อายุไม่น้อยแล้ว หากกินอาหารบำรุงมากเกินไปก็จะไปบำรุงทารกในครรภ์ด้วย แต่หากทารกในครรภ์ตัวใหญ่เกินไป เมื่อถึงเวลาคลอดจะเกิดปัญหา เพียงแค่กินวันละสามมื้อ มีเนื้อสัตว์บ้างเล็กน้อยก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากเกินไป งดกินอาหารหลายมื้อ หลังทานอาหารเสร็จต้องรอให้ย่อยก่อน”
นางมองออกไปนอกร้าน มีเกล็ดหิมะโปรยลงมาจึงเอ่ยอีกว่า “ตอนนี้อากาศหนาวเกินกว่าจะออกไปเดินเล่นได้ แม้ว่าจะเดินไปรอบๆ อยู่ในห้องก็ช่วยให้อาหารย่อยได้ ก่อนคลอดต้องออกกำลังกายให้แข็งแรงซึ่งจะส่งผลดีต่อการคลอดบุตร นี่ก็เป็นเพียงความคิดเห็นของข้า เมื่อถึงกำหนดใกล้คลอด ส่วนใหญ่หมอกับหมอทำคลอดจะช่วยชี้แนะเอง”
ฮูหยินอวี๋ลูบใบหน้าด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ไม่หรอก ท่านเอ่ยถูกแล้ว ช่วงนี้ข้ามักจะรู้สึกหิว อยากจะกินให้มาก กว่าจะรู้ตัวก็…เกือบจะสร้างปัญหาใหญ่แล้ว”
ฉินหลิวซีกำลังจะเอ่ยถ่อมตนสองสามประโยค ก็มีคนวิ่งเข้ามาท่ามกลางลมหิมะ
“ใครเป็นคนดูแลร้านนี้” คนผู้นั้นวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกพลางเอ่ยถามในทันที
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะไปบังอยู่ด้านหน้าฮูหยินอวี๋ ซ้ำยังส่งสายตาให้อวี๋ชิวไฉ
ฮูหยินอวี๋มองออกถึงการปกป้องของนาง จึงอดยิ้มอย่างสบายใจไม่ได้
ฉินหลิวซีหันไปมองผู้ที่มา “ข้าเป็นเจ้าของร้าน มีอะไรหรือ”
“เจ้าหรือ อายุน้อยเช่นนี้” คนผู้นั้นมองฉินหลิวซีหัวจรดเท้า ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เช่นนั้นที่นี่มีอาจารย์ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายหรือไม่ รีบให้เขาออกมาแล้วไปกับข้าเดี๋ยวนี้ นายท่านของข้าขอจ้างด้วยเงินจำนวนมาก”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “ตอนนี้ในร้านยังมีแขกอยู่ ขออภัยที่ข้าไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ หากต้องการขอรับการรักษา โปรดให้เจ้านายของพวกเจ้ามาด้วยตัวเอง”
“อะไรนะ ต้องมาที่นี่ เดี๋ยวนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าเป็นใคร เขา…”
“ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร หากต้องการขอรับการรักษาก็ต้องมาที่นี่เท่านั้น” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขาพลางเอ่ย “อีกอย่างก็คือแม้ว่าจะมาแล้ว ข้าก็อาจจะไม่สามารถช่วยเจ้านายของเจ้าได้”
“นี่ คนอย่างเจ้า บังอาจนัก!” คนผู้นั้นกระทืบเท้า
“เจ้าต่างหากที่บังอาจ” อวี๋ชิวไฉก้าวไปข้างหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากจะขอร้องคนก็ต้องมาด้วยท่าทีขอความช่วยเหลือ เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร คิดจะบีบบังคับอย่างนั้นหรือ นายท่านของเจ้าเป็นใคร ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามีขุนนางคนไหนที่มีอำนาจมากเพียงนี้ อยากให้ใครไปก็ต้องไปอย่างนั้นหรือ”
“นั่นสิ ข้าเองก็อยากรู้ว่าสุนัขของขุนนางคนไหนที่ไม่ได้ผูกเชือก วิ่งออกมาเห่าหอน” โจวเวยเดินออกมาจากห้องโถงด้านใน โดยมีโจวหนิงตามมาอยู่ข้างหลัง
อวี๋ชิวไฉหันไป เห็นโจวเวยดูท่าทางสูงส่ง รูปร่างหน้าตาค่อนข้างคุ้นเคย แต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
โจวเวยเดินมา พยักหน้าคารวะให้อวี๋ชิวไฉก่อน จากนั้นก็มองบ่าวที่สวมเสื้อคลุมสั้นแล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “เป็นเจ้าเองหรือที่มาเห่าหอนอยู่ที่นี่”
สายตาของเขาเย็นชาและแข็งกร้าว ราวกับกำลังมองมดตัวหนึ่ง
บ่าวรับใช้ผู้นั้นถูกทั้งสองคนถากถางในทันที เมื่อถูกผู้มีอำนาจกดทับ ความคิดที่สับสนวุ่นวายของเขาก็พลันได้สติกลับคืนมาทันที
คนที่เขาติดตามนั้นไม่ใช่ราษฎรธรรมดาทั่วไป แต่เป็นนายน้อยจวนใต้เท้าหม่าผู้ว่าราชการอำเภอหลิงที่อยู่ติดกัน เขาคุ้นเคยกับการอวดเบ่งอำนาจจนเคยชิน และเป็นเพราะรีบร้อนมาหา จึงไม่ได้สังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวังจนทำให้พูดไม่ทันคิด ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเองถูกความรีบร้อนทำให้เลอะเลือนไป
บ่าวรับใช้ชายผู้นี้เป็นคนที่สามารถสังเกตคำพูดและสีหน้าของผู้คนได้ เมื่อได้สติกลับมา และเห็นว่าทุกคนในห้องมีท่าทีที่ไม่ธรรมดา คนที่อายุมากผู้นั้นถูกเรียกว่าใต้เท้า มีท่าทางสง่างามของผู้มีอำนาจ ดูมีอำนาจมากกว่าใต้เท้าผู้ว่าการอำเภอของตัวเองเสียอีก เมื่อรู้ว่าตัวเองได้เตะเจอเหล็กเสียแล้ว จึงรีบยกมือประสานขอโทษ
“ข้าน้อยสมควรตายที่ไปล่วงเกินใต้เท้า ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย เป็นเพราะข้าน้อยเป็นกังวลมากเกินไป จึงได้พูดโดยไม่ทันคิด ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินขอรับ” บ่าวรับใช้อธิบายด้วยสีหน้าซีดขาว “ช่วยคนต้องรีบไม่ควรรอช้า นายน้อยของข้าเจอวิญญาณร้าย ท่านอาจารย์โปรดช่วยขับไล่วิญญาณร้ายให้ด้วยขอรับ”
เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจการ โจวเวยกับใต้เท้าอวี๋จึงไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย พวกเขามองไปที่ฉินหลิวซี เพียงแต่สายตาของพวกเขาทั้งคู่ต่างเขียนไว้ว่า ‘หากเจ้าอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป พวกเราจะคอยหนุนหลังเจ้าเอง!’
ฉินหลิวซีมองบ่าวรับใช้ผู้นั้น เอ่ยถาม “เจ้ารู้จักร้านนี้ได้อย่างไร”
บ่าวรับใช้ชายกลืนน้ำลายพลางตอบ “ตอนที่ร้านของพวกท่านเปิดกิจการก็ได้แจกยันต์ป้องกันตัวหลายแผ่นไม่ใช่หรือ นายน้อยของข้าก็ได้มาหนึ่งแผ่น ปรากฏว่า…”
ฉินหลิวซีหรี่ตา “เขาได้รับมันไปจากมือข้าจริงๆ หรือ”
ตอนร้านเปิดได้แจกยันต์ไปทั้งหมดห้าแผ่น นางรู้ว่าได้มอบให้ใครไปบ้าง เพราะยันต์ที่มอบให้นั้นล้วนมอบให้กับผู้ที่มีคุณธรรมและพอมีโชคลาภอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่โหงวเฮ้งของคนตรงหน้านี้มีหน้าผากแคบ คางสั้น คิ้วหนาและยุ่งเหยิง เป็นคนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ มีแผนการ และตระหนี่เป็นอย่างมาก
บางครั้ง ดูเจ้านายให้ดูบ่าว ขนาดบ่าวรับใช้ยังไร้มารยาทเช่นนี้ คาดว่าเป็นเพราะเจ้านายของเขาผู้นั้นช่วยถือหาง คิดว่าเจ้านายของเขาผู้นั้นคงจะไม่ใช่คนดีเด่อะไร
แน่นอนว่าการที่นางคิดเช่นนี้อาจเป็นการตัดสินใจโดยพลการ อย่างไรเสียคนเช่นนี้ก็พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบ่าวรับใช้ มักจะรู้จักวางแผนและชอบเอาเปรียบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากๆ
แต่บนตัวเขากลับมีกลิ่นอายของความชั่วร้ายที่แฝงไว้ด้วยความขุ่นเคืองติดมาด้วยเล็กน้อย จุดหว่างคิ้วมืดดำ มีร่องรอยเลือด
ไม่มีวิญญาณร้ายติดตามเขามา พลังชั่วร้ายนี้อาจมาจากเจ้านายของเขาผู้นั้นจริงๆ
เมื่อฉินหลิวซีถามเช่นนี้ สายตาของบ่าวรับใช้ผู้นั้นก็สั่นไหว อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าเอ่ยออกมา
“ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น” ฉินหลิวซีมองออกในทันที “เจ้าไปเถิด ยันต์แคล้วคลาดของข้าจะช่วยคนที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ”
“คือว่า แม้ว่านายน้อยของข้าน้อยจะไม่ได้รับยันต์นี้มาด้วยตัวเอง แต่มีคนเอามาจำนำขอรับ”
“ก็แค่ยันต์แคล้วคลาดหนึ่งแผ่น จะจำนำเป็นเงินได้เท่าไหร่กันเชียว เห็นได้ชัดว่าขี้ข้าอย่างเจ้ากำลังโกหก ยังไม่รีบไสหัวออกไปอีก” โจวเวยน้ำเสียงดุ
ยันต์แคล้วคลาดจะมีค่ามากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนวาด หากไม่ทราบแน่ชัด แล้วใครจะเอายันต์นี้มาจำนำ แล้วใครจะยอมรับจำนำ
เห็นได้ชัดว่าบ่าวรับใช้กำลังโกหก
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเริ่มกังวล เอ่ยว่า “ไม่ใช่การจำนำจริงๆ ขอรับ” เขาเอ่ยพึมพำ เอ่ยว่า “มีคนมาทำให้นายน้อยของข้าขุ่นเคือง ก็เลยชดใช้เป็นกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ยันต์แคล้วคลาดอยู่ในกระเป๋าเงินใบนั้น นายน้อยของข้าถือไว้ในมือยังไม่ทันถึงหนึ่งเค่อ ยันต์แผ่นนั้นก็เผาไหม้ไปเองเสียแล้วขอรับ”
“เจ้ายังกล้าพูดเรื่องเหลวไหลอีก” ยันต์อะไรเผาไหม้เองได้ นี่ไม่ใช่การคุยโม้หรอกหรือ
อีกอย่างขี้ข้าผู้นี้ก็มีท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ เป็นการชดใช้ให้หรือไปแย่งมานั้นก็ยากที่จะบอกได้
โจวเวยกำลังจะก้าวเข้าไป ฉินหลิวซีขวางเขาไว้ ส่ายหน้าแล้วเอ่ยกับบ่าวรับใช้ผู้นั้น “ตอนที่ยันต์แผ่นนั้นเผาไหม้ นายน้อยของเจ้าได้หลบเลี่ยงอันตรายอะไรหรือไม่”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นสีหน้าตื่นตระหนก ก้มศีรษะลง เอ่ยพึมพำ “มีคนถือมีดหั่นเนื้อจะเข้ามาทำร้าย เกือบจะแทงนายน้อยของข้าแล้ว”