ตอนที่ 410 เมืองหลีเองก็มีเสือซุ่มมังกรซ่อนอยู่เช่นกัน
เมื่อตอนมามืดครึ้มอึมครึม พอตอนจากไปใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของตงหยางโหวทุกคนล้วนเห็นมันด้วยตา ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
บ่าวรับใช้เฒ่าถามขึ้น “ท่านโหวอาวุโส ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ก็ดี ดีขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน” ตงหยางโหวที่ยังไม่สามารถเดินได้ ทำได้เพียงนั่งรถม้าที่กำลังขึ้นไปบนอารามเต๋า เขาลูบไปที่ขาทั้งสองข้างพร้อมกับเอ่ย “หลังจากที่ฝังเข็มแล้ว ขามันอบอุ่นขึ้น ไม่แข็งเหมือนไม้ที่ถูกหิมะปกคลุมแล้ว”
บ่าวรับใช้ที่ได้ยินดังนั้นก็ดีใจใหญ่ “เช่นนั้นตามที่เจ้าอาวาสน้อยบอกมา ฝังเข็มอีกสองครั้ง ร่วมกับการดื่มยาต้มสมุนไพร ก็จะดีขึ้นแล้ว ท่านโหวอาวุโส พวกเรามาถูกทางจริงๆ”
“โชคดีที่เจ้าอดทน” ตงหยางโหวมองไปที่เขาด้วยสายตาที่อบอุ่น
บ่าวรับใช้เฒ่าเช็ดหางตาที่เริ่มแดง เอ่ยขึ้น “สวรรค์ไม่เคยทอดทิ้งตระกูลเยว่ ถ้าท่านโหวอาวุโสหายดีแล้ว ก็สามารถบัญชาการกองทัพเรือตระกูลเยว่ต่อไปได้ ใช่แล้ว ท่านโหวอาวุโส คุณชายติ้งทางนั้น ท่านดู”
สีหน้าของตงหยางโหวกลับมาเป็นปกติ และเงียบลงไปครู่หนึ่ง เขาเอ่ยขึ้น “แม้ว่าเจ้าอาวาสน้อยจะพูดขนาดนี้แล้ว แต่ว่าจริงๆ ข้าก็ยังไม่หายเป็นปกติทั้งหมด ต้องรอให้อาการเชื่อถือได้เสียก่อน ค่อยบอกเขา เจ้าเด็กนี่ชอบคิดมาก หากให้ดีใจเก้อ เกรงว่าเขาจะยิ่งจิตใจหดหู่ เช่นนั้น ก็ซื้อเรือนอยู่ที่เมืองหลีก่อน ข้าจะพักอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน อย่างไรเขาก็บอกว่าบำรุงรักษาร่างกายเป็นเวลาเดือนกว่าก็หายดีแล้วไม่ใช่หรือ เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น หากหายดีทั้งหมดแล้วจริงๆ ค่อยให้ติ้งเอ๋อร์มาเยี่ยมสักครั้ง”
บ่าวรับใช้เฒ่าเอ่ยขึ้น “แต่ว่าพรุ่งนี้ก็เดือนสิบเอ็ดแล้ว ใกล้จะสิ้นปีแล้ว จะบอกสาเหตุที่ท่านจากไปนานขนาดนี้อย่างไร”
ตงหยางโหวเม้มริมฝีปาก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถอยู่ได้ถึงหนึ่งเดือน สักครึ่งเดือนก็ดี เมื่อถึงเดือนสิบสองจริงๆ ขาของข้าก็หายดีแล้ว ก็ต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดอยู่ดี”
บ่าวรับใช้เฒ่าพยักหน้า
ก็จริง ยากนักที่จะบังเอิญเจอกับหมอชื่อดังสักคนที่เชื่อถือได้ เพียงแค่ฝังเข็มก็ทำให้อาการทุเลาลงบ้างแล้ว ใครที่ไหนกันจะกล้าดูถูก
ถ้าหากกลับไปได้ครึ่งทางแล้วฉับพลันเกิดอาการไม่ดีขึ้นมาล่ะ
“ท่านโหวอาวุโส พวกเราต้องพักฟื้นอย่างจริงจังดูอาการหนึ่งเดือน จะได้ไม่เกิดปัญหากลางทาง” บ่าวรับใช้เฒ่าเอ่ย “ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาว สงครามทางทะเลครั้งใหญ่ก็คงจะไม่เกิด ก่อนอื่นต้องส่งสารไปหาเยว่ซินให้ปกป้องคุ้มกันอย่างแน่นหนาก่อน ท่านอยู่ที่นี่รักษาแข้งขาให้หายดีก่อนค่อยกลับไป หากท่านหายดีแล้ว กองทัพเรือตระกูลเยว่ถึงจะมีความหวังนะขอรับ”
ตงหยางโหวเองก็รู้จักแยกแยะรู้หนักรู้เบา เอ่ยขึ้น “ใช่” เขาเอนกายลงบนหมอนอิงใบใหญ่ และถอนหายใจออกมา “ไม่คิดเลยว่าเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหลีก็มีเสือซุ่มมังกรซ่อน[1]อยู่ เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าตาไม่ถึงเอง”
บ่าวรับใช้เฒ่ายิ้มขึ้นมา “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่ายอดเซียนในหมู่มนุษย์ บางทีคนที่มีความสามารถก็ซ่อนตัวอยู่บนโลก เป็นพวกเราเองที่ไม่รู้ขอรับ”
“ที่จริง ก็แค่คิดไม่ถึงว่ายอดเซียนจะอายุน้อยขนาดนี้” ตงหยางโหวถอนหายใจจากนั้นจึงเอ่ย “มันก็ใช่ ติ้งเอ๋อร์ของพวกเราอายุยังเด็กแค่สิบห้าปีก็เข้าสู่สนามรบและสังหารศัตรูแล้ว ทำไมผู้คนถึงไม่ยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษหนุ่ม แต่ดัน…”
ขณะที่ตงหยางโหวกำลังพูดอยู่นั้น สายตาของเขาดูเจ็บปวด จากนั้นจึงหลับตาลง
“ท่านอย่าคิดมากไปเลย เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ความสามารถทางการแพทย์ปราดเปรื่องยิ่งนัก รอให้ท่านหายดีก่อน ค่อยถามดูว่าสามารถรักษาคุณชายได้หรือไม่”
ตงหยางโหวลืมตาขึ้น ด้วยใบหน้าที่มีความคาดหวังมากขึ้น และเอ่ย “ก็ทำได้เพียงเท่านี้ อีกสักครู่เราค่อยไปเติมน้ำมันหอมเพิ่มให้อารามชิงผิง”
ระหว่างที่เจ้านายและบ่าวรับใช้คุยกัน รถม้าก็ได้มาถึงที่ประตูทางด้านหลังเขาของอารามชิงผิงแล้ว
ความคิดเช่นเดียวกับตงหยางโหวและพวกเขานี้ ก็ยังมีผู้สืบทอดเสี่ยวมู่ที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองเซิ่งจิงที่เพิ่งจะถูกเรียกให้กลับเข้าไปในวังที่เมืองหลวงได้ไม่กี่วัน เมื่อเห็นฮองเฮาที่เป็นพี่สาวที่ฝืนยิ้มหลังจากที่ได้ยินข่าวมงคลที่นางสนมในวังมารายงาน ก็กลั้นความรู้สึกเอาไว้แล้วกลั้นเอาไว้อีก แต่สุดท้ายก็กลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่
“พี่ใหญ่ ถ้าหากมีหมอเลื่องชื่อสามารถช่วยให้ท่านตั้งครรภ์ได้ อายุเช่นท่าน ท่านจะกล้าสู้หรือไม่ขอรับ”
มู่ฮองเฮาที่ตอนนี้อายุก็เกือบจะสี่สิบสองแล้ว เมื่อได้ยินที่น้องเล็กคนของตระกูลเอ่ยเช่นนี้ ก็ตะลึงไปชั่วขณะ จึงเอ่ยขึ้น “ทำไม หรือว่าที่ไปวิ่งเล่นอยู่ข้างนอกหลายๆ เดือนนี้ ยังสามารถไปคบหาสมาคมกับหมอเลื่องชื่อได้อีกหรือ”
ไม่รอให้เขาตอบกลับ มู่ฮองเฮาจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าพี่ใหญ่ด่าว่าเจ้า เจ้าดื้อรั้นหัวแข็งเอาแต่ใจตนเอง จะเล่นสนุกอย่างไรก็ได้ แค่ไม่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาก็พอ แล้วก็ไม่ออกไปนอกเมืองเซิ่งจิง น้องซี เจ้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เป็นผู้สืบสกุลให้กับทั้งสองเรือน เจ้าไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว การที่เจ้าออกไปนอกเมืองหลวงนี้ มารดาเจ้า แล้วไหนจะป้าสะใภ้ใหญ่อีก สับเปลี่ยนกันเข้ามาในวังมาร้องห่มร้องไห้กับข้า ไม่รู้ว่าต้องเป็นกังวลมากเพียงใด”
มู่ซีท่าทางเกรงใจปนเขินอาย “อยู่ที่เมืองเซิ่งจิงไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”
“ถึงด้านนอกจะสนุก แต่ว่าด้านนอกก็อันตรายมากเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้าเป็น…”
“ข้ารู้ ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เป็นผู้สืบสกุลให้กับทั้งสองเรือน” มู่ซีเอ่ยขึ้นขัดจังหวะนางด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว
มู่ฮองเฮาที่เห็นเขาแอบทำปากขมุบขมิบเช่นนั้น ใจก็พลันอ่อนลง ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เจ้าอย่าชอบทำเหมือนว่าพี่ใหญ่และทางบ้านเข้มงวดกับเจ้านัก แต่ความจริงคือ เฮ้อ เจ้าไม่อยากที่จะฟัง พวกเราก็จะไม่พูดแล้ว แต่อาซี ครอบครัวของพวกเราที่เป็นเช่นนี้ ฐานะเช่นนี้ มันกำหนดไว้แล้วอะไรหลายๆ อย่างมันไม่เป็นดั่งใจเราหรอกนะ”
“ข้ารู้”
อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูลและฐานันดรที่สูงศักดิ์นำมาซึ่งที่นอกเหนือจากชื่อเสียงและสายตาที่อิจฉาของผู้คน ก็ยังมีพันธนาการที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้ก็คือภาระหน้าที่อันหนักหน่วงที่เป็นดั่งเครื่องพันธนาการ
ทันใดนั้นมู่ซีก็พลันนึกถึงฉินหลิวซีขึ้นมาอีกครั้ง นักพรตเช่นเขานั้น ถึงจะมีอิสระไม่ถูกบังคับจิตใจ ท่องเที่ยวปลดปล่อยจินตนาการได้อย่างอิสระตามใจชอบ
มู่ซีเผยความอิจฉาและความปรารถนาออกมา
มู่ฮองเฮาที่เห็นสีหน้าเขาเป็นแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ทำไม เจ้าคบหาสมาคมกับคนด้านนอกจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
ดูเหมือนว่าต้องให้ท่านพ่อถามหยวนหยงดูแล้ว ว่าระหว่างที่ออกไปด้านนอกนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กนี่ เผื่อมีคนมาหลอกใช้เขา
“นักพรตน้อยที่น่าสนใจคนหนึ่ง” มู่ซีแกะกระเป๋ามีหูรูดเล็กๆ ที่อยู่บนตัวออกมา ควานหายันต์ป้องกันตัวแล้วส่งให้กับนาง “เก่งมาก ยันต์ป้องกันนี้เอาให้พี่ใหญ่เก็บไว้กับตัว เผื่อป้องกันพวกเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งหลายให้อย่าได้เข้ามาใกล้”
มู่ฮองเฮามองยันต์แคล้วคลาดแผ่นนั้น หัวใจก็พลันอ่อนลงกลายเป็นแอ่งน้ำ เอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “ถ้าของพวกนี้คือสิ่งที่เจ้าต้องการมันที่สุด เจ้าก็เก็บมันไว้เองเถิด”
“ข้าก็มี” มู่ซีดึงเชือกสีแดงออกมาจากคอ บนนั้นมีจี้ยันต์เล็กๆ ห้อยอยู่ “อันนี้ก็ใช่”
มู่ฮองเฮามองจี้ยันต์อันนั้นที่ก็ไม่ถือว่างานประณีตมากนักเท่าไร จึงถามขึ้น “มีประโยชน์หรือ”
มู่ซีพยักหน้า “ใส่แล้วรู้สึกสบายใจ ไม่รู้สึกถึงพวกของสิ่งสกปรกเหล่านั้นเข้ามาใกล้ แล้วก็ไม่ฝันร้ายอีกด้วย”
มู่ฮองเฮารู้สึกปวดใจ น้องเล็กดวงไม่ดีสุดๆ ร่างกายของเขาเป็นหยิน จึงเกิดเรื่องไม่ดีและดึงดูดพวกของสกปรกได้ง่าย และด้วยเหตุนี้ นางและคนในครอบครัวก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ ทำได้เพียงแค่หาพระอาจารย์ชื่อดังมาเขียนยันต์และทำจี้ยันต์ยับยั้งมันไว้
“พี่ใหญ่ ทักษะการแพทย์ของเขาสุดยอดมาก เป็นหมอแห่งเต๋า” มู่ซีเอ่ยลองเชิงนาง
มู่ฮองเฮาพลันตกใจ ลูบท้องไปมา และเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อย่าเอ่ยถึงเรื่องเช่นนี้อีก ข้าอายุสี่สิบสองแล้ว แล้วอีกอย่างก็ไม่ใช่ทุกคนจะเต็มใจที่จะดูแลข้าตอนตั้งครรภ์””
รวมไปถึงผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นั้นด้วย
ดวงตาของมู่ซีมืดครึ้มลง และกำหมัดแน่น
“เด็กดี แค่เจ้ามีใจก็ดีแล้ว” มู่ฮองเฮาลูบไปที่ท้ายทอยของเขา เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เล่าให้พี่ใหญ่ฟังหน่อยซิ อยู่ด้านนอกนั้นเจ้าเห็นเรื่องน่าสนใจอะไรบ้าง”
ทันใดนั้นมู่ซีก็พลันให้ความสนใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องของฉินหลิวซี เล่าเรื่องการยืมชีวิตและเรื่องต่างๆ มากมาย ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายแวววาว
จนกระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสด็จมาถึง มู่ซีก็ราวกับหนูเจอแมว หลังจากที่ทำความเคารพเสร็จเขาก็วิ่งออกไปทันที
หลังจากที่ออกมาไปจากพระราชวังเฟิ่งหยาง มู่ซีถึงได้มองไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ราวกับว่าหิมะกำลังจะตก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมืองเซิ่งจิงไม่มีความหมายเลยแม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ
[1] เสือนอนมังกรซ่อน หมายถึง คนที่เก่งแต่ไม่แสดงตัว