ตอนที่ 281 อวดดี
เยียนอวิ๋นเกอกำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเรือนพักร่ำรวย
นางได้ยินเสียงคนเรียกเบาๆ
แต่เมื่อครุ่นคิดไปมาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ นางจึงคิดว่าตนเองหูฝาด
นางยังพูดเย้ยหยันตนเอง “ข้าช่างหลงตัวเองเสียจริง ได้ยินคนกำลังเรียกข้าเสียด้วย”
จนกระทั่งองครักษ์รายงาน จ้งซูหาวหรือนายน้อยใหญ่จ้งมาหานาง นางจึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้หูฝาด
“เขามาหาข้ามีเรื่องใด”
เยียนอวิ๋นเกอสงสัยเล็กน้อย ระหว่างนางกับจ้งซูหาวเพียงแค่รู้จักกันเท่านั้น
“ให้เขาเข้ามาเถิด!”
เยียนอวิ๋นเกอยังคงตัดสินใจพบหน้าจ้งซูหาวเพื่อเป็นมารยาท
เมื่ออายุมากขึ้น นางก็ไม่อาจเอาแต่ใจเหมือนตอนเด็กแล้ว พิธีที่จำเป็นยังคงต้องรักษาเอาไว้
องครักษ์รับคำสั่ง พลันนำจ้งซูหาวมาถึงหน้ารถม้า
“คุณหนูสี่ วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง ข้ารู้ว่าท่านจะไปเรือนพักร่ำรวย พวกเราสามารถเดินทางร่วมกันได้หรือไม่ ข้าอยากจะขึ้นเขาไปเดินเล่นอยู่พอดี”
จ้งซูหาวยิ้มแย้มด้วยความสนิทสนม
เยียนอวิ๋นเกอมองเขาผ่านทางหน้าต่างรถม้า “นายน้อยจ้งไม่ทำงานหรือ”
จ้งซูหาวส่ายหน้า “ราชสำนักวุ่นวายยิ่งนัก เวลานี้ข้าไม่อาจทำงานได้! ชีวิตไม่สงบสุขนัก จิตใจข้าจึงหงุดหงิด ดังนั้นจึงตัดสินใจขึ้นเขาไปพักสักระยะหนึ่ง ร่วมทางพอดี หากคุณหนูสี่ไม่รังเกียจ เดินทางไปด้วยกันได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “หากข้าจำไม่ผิด เรือนพักของจวนองค์หญิงห่างจากเรือนพักร่ำรวยไกลกว่าหลายสิบลี้”
“ไม่เป็นปัญหา! เพียงแค่ระยะทางหลายสิบลี้ ไม่ถือว่าไกล” จ้งซูหาวพูด
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด เพียงแค่ร่วมทางเท่านั้น ดังนั้นนางจึงรับปาก “หากนายน้อยจ้งไม่รังเกียจ ข้าย่อมไม่มีความเห็น”
“ขอบใจคุณหนูสี่! ทุกคนร่วมทางกัน ระหว่างทางก็คงคึกคักขึ้นมาเล็กน้อย”
จ้งซูหาวขี่ม้าเดินตามอยู่ข้างรถม้าตลอดทาง เขาพูดคุยกับเยียนอวิ๋นเกอไปเรื่อย
เมื่อเดินทางผ่านอี้จ้าน เขามักจะชิงจัดเตรียมที่พักและอาหารก่อน รอบคอบและกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ตกดึกเมื่อพักอยู่ในอี้จ้าน สาวรับใช้อาเป่ยก็พึมพำขึ้นมา “ดูนายน้อยจ้งจะคุ้นเคยกับอีจ้านเช่นนี้ เขามักจะพักอยู่ด้านนอกหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะเสียงเบา “อย่าไร้เดียงสาเลย เดิมทีด้านบนของอี้จ้านก็เป็นคนของตระกูลจ้ง อย่ามองว่าตระกูลจ้งไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ราวกับเพียงแค่พึ่งบารมีขององค์หญิงเฉิงหยาง แต่ความจริงแล้วตระกูลจ้งเป็นตระกูลใหญ่ สมาชิกภายในตระกูลกระจายไปทั่วทุกสำนักหยาเหมิน เพียงแต่คนตระกูลจ้งมีตำแหน่งไม่สูง ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก แต่แท้จริงแล้วตำแหน่งของพวกเขาล้วนเป็นตำแหน่งสำคัญที่ได้เงินมาก”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
“หากพูดเช่นนี้ ตระกูลจ้งร่ำรวยอย่างนั้นหรือ”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “มรดกของคนหลายรุ่นไม่ใช่มั่งคั่งธรรมดา หากแต่มั่งคั่งอย่างมาก กิจการในนามขององค์หญิงเฉิงหยางส่วนใหญ่ล้วนดูแลโดยคนตระกูลจ้ง กำไรในแต่ละปีมากมายมหาศาล เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อค้าเสบียงรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงคือผู้ใด”
อาเป่ยส่ายหน้า นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!
เยียนอวิ๋นเกอกระซิบบอกนาง “เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังของพ่อค้าเสบียงรายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแท้จริงแล้วก็คือตระกูลจ้ง ปีก่อนองค์ชายสามออกไปบรรเทาภัยพิบัตินอกเมืองหลวง องค์หญิงเฉิงหยางก็หยิบเสบียงนับแสนหาบออกมาสนับสนุนในทันที เสบียงนั้นก็คือเสบียงในคลังของตระกูลจ้ง เท่ากับนางใช้เสบียงเก่าในคลังของตระกูลจ้งมาแลกกับอนาคตที่ดีขององค์ชายสาม การค้าขายนี้คุ้มค่า!”
อาเป่ยแอบตกใจ “ไม่คิดว่าตระกูลจ้งจะร่ำรวยเพียงนี้! เมื่อเทียบกับตระกูลหลิง ไม่รู้ว่าตระกูลใดจะร่ำรวยกว่า”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิดเล็กน้อย “ตระกูลหลิงกับตระกูลจ้ง ผู้ใดร่ำรวยกว่ากันคงจะพูดยาก แต่ว่าตระกูลหลิงมีรากฐานที่แน่นหนามากกว่า มีมรดกมากกว่า อีกทั้งยังครอบครองทุกกิจกาจ การแลกเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหมดแทบจะมีเงาของคนตระกูลหลิง เมื่อพูดเช่นนี้ ตระกูลหลิงอาจร่ำรวยยิ่งกว่า”
ใยไหม นุ่นป่าน ผ้าผืน ใบชา เสบียง เครื่องกระเบื้อง ไม้ เกลือ เหมืองเหล็ก…
ที่ใดมีการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ ที่นั่นย่อมมีเงาของคนตระกูลหลิง
คนตระกูลหลิงถือตนเป็นบัณฑิต สืบทอดรุ่นต่อรุ่น
แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำล้วนเป็นการซื้อขายกิจการ
ตระกูลจ้งก็เป็นเศรษฐี เพียงแต่กิจการที่คนตระกูลจ้งมีนั้นไม่ได้กว้างขวางเท่าตระกูลหลิง
อีกทั้งตระกูลจ้งปักหลักทางเหนือ ทางเหนือมีผลผลิตจำกัด ไม่สามารถเทียบทางใต้ได้
ตระกูลหลิงปักหลักทางใต้ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากกว่า กำไรก็สูงมากกว่า
ครุ่นคิดไปมา ตระกูลหลิงได้เปรียบกว่าในทุกด้าน!
อาเป่ยตกตะลึงอย่างมาก “จากที่คุณหนูพูด อี้จ้านเปิดโดยคนตระกูลจ้ง?”
“คนตระกูลจ้งใช้เงินของราชสำนักเปิดอี้จ้าน” เยียนอวิ๋นเกอเปลี่ยนวิธีพูด
อาเป่ยเข้าใจในทันที
เศรษฐีตระกูลขุนนาง เยียนอวิ๋นเกอมีแต่อิจฉา แต่ไม่แค้น
เรือนพักร่ำรวยของนางก็ไม่แย่ ให้เวลานางอีกไม่กี่ปี ทรัพย์สินของนางจะยิ่งมากขึ้น กิจการของนางก็จะยิ่งใหญ่โตมากขึ้น
สักวัน นางย่อมจะกลายเป็นพลังที่ผู้อื่นไม่สามารถมองข้ามได้อย่างแน่นอน
…
วันรุ่งขึ้น ออกเดินทางต่อ
เมื่อมาถึงทางแยก เยียนอวิ๋นเกอให้คนบังคับม้าหยุดรถเพื่อบอกลาจ้งซูหาว
จ้งซูหาวถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสี่จะรังเกียจหรือไม่หากข้าจะไปเยี่ยมชมเรือนพักร่ำรวยสักสองวัน ข้ามักได้ยินคนกล่าวถึงเรือนพักร่ำรวย แต่ไม่มีโอกาสได้ไปเยือนเสียที โอกาสที่หายากเช่นนี้ หวังว่าคุณหนูสี่จะให้โอกาสข้าสักครั้ง”
เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธ “ระยะนี้เรือนพักร่ำรวยงานยุ่ง แต่ละแห่งล้วนวุ่นวาย คราวหน้าดีกว่า! รอมีโอกาส ข้าจะเรียนเชิญนายน้อยจ้งมาเยือน”
จ้งซูหาวผงะไป เขาไม่คิดว่าตนเองจะถูกปฏิเสธ
เขายิ้ม “เวลานี้ทิวทัศน์ในภูเขากำลังดี หากไม่สามารถเดินทางไปยังเรือนพักร่ำรวยในฤดูกาลนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ข้ายังได้ยินว่าทางเรือนพักมีสนามม้าที่ใหญ่ ข้าเป็นคนที่ชอบม้าอย่างมาก ไม่รู้จะสามารถควบม้าบนสนามม้าของคุณหนูสี่ได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ได้จริงๆ ! เวลานี้สนามม้าของข้าอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวหญ้าพอดี หากอยากขี่ม้า สู้รอหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงผ่านไป เมื่อถึงเวลานั้นสนามม้าจะเปิดต่อผู้คนภายนอก เสียเพียงค่าใช้จ่ายเล็กน้อยก็สามารถควบม้าได้อย่างอิสระ”
จ้งซูหาวล้มเหลวติดต่อกันสองครั้ง เขารู้สึกอับอายอย่างมาก!
เขายิ้มขมขื่น “คุณหนูสี่มุ่งมั่นในการทำงานเสียจริง ไม่ยอมยกเว้นให้แม้แต่น้อย มิน่าคนภายนอกจึงเข้าใจท่านผิด”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มให้เขา “ข้าไม่สนใจผู้อื่นจะเข้าใจข้าผิด นายน้อยจ้ง พวกเราแยกทางกันตรงนี้ ท่านไปผ่อนคลายจิตใจ ข้าไปทำนา ขอตัว!”
จ้งซูหาวขี่ม้าหยุดอยู่ริมทาง มองดูขบวนรถของตระกูลเยียนจากไป
พ่อบ้านเดินขึ้นหน้าซักถาม “นายน้อย ควรทำอย่างไรต่อไปขอรับ”
จ้งซูหาวมองไปทางด้านหน้าพลันยิ้ม “ใช้ไม่ได้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย นิสัยเช่นนี้ มิน่าถึงทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจ”
“หากเป็นผู้อื่นคงไม่รู้จะดีใจเพียงใดที่นายน้อยเสนอว่าจะไปเยือน มีแต่คุณหนูสี่ที่ไม่อยากให้นายน้อยไปเยือน ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เรือนพักเพียงแห่งเดียว อัศจรรย์มากนักหรือ”
พ่อบ้านรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจ้งซูหาว
แต่ไม่คิดว่าจ้งซูหาวจะตำหนิเขากลับ “อย่าพูดจาเหลวไหล! การเฝ้าระวังของเรือนพักร่ำรวย เจ้าก็เห็นเองกับตา ให้กำลังพลเจ้าสามพันนาย เจ้าสามารถเอามันลงมาได้หรือไม่”
พ่อบ้านก้มหน้าด้วยความละอาย
เพราะเขาทำไม่ได้
เรือนพักร่ำรวยไม่มีสิ่งใดน่าอัศจรรย์ก็จริง ในสายตาของตระกูลขุนนางก็เป็นเพียงเรือนพักกระจอก
มีเพียงเพิงอุ่นปลูกผักออกมาในปีแรกถือว่ายังพอมีราคา
หลังจากนั้นหลายปีก็เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่มีสิ่งใดมีมูลค่านัก
แต่เรือนพักกระจอกแห่งนี้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด มีองครักษ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธจำนวนมากจนทำให้คนตกใจ
ช่วงเวลาเมื่อปีก่อนที่เกิดภัยผู้ลี้ภัยร้ายแรงที่สุด เคยมีโจรป่าพยายามบุกรุกเข้าเรือนพักร่ำรวยเพื่อแย่งชิงเสบียง แต่กลับถูกองครักษ์ของเรือนพักจู่โจมกลับจนบาดเจ็บและล้มตายกันระนาว
ความกล้าหาญของโจรกบฏถูกองครักษ์ของเรือนพักร่ำรวยโจมตีจนหมดสิ้น
พลังในการต่อสู้ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
นายน้อยผู้สูงส่งอย่างจ้งซูหาว หากไม่ได้รับการยินยอมจากเยียนอวิ๋นเกอ อย่าคิดที่จะได้เหยียบเข้าเรือนพักร่ำรวย
เส้นทางเข้าสู่เรือนพักร่ำรวยทั้งสามนั้นล้วนมีองครักษ์ตรวจสอบอย่างเข้มงวด
พ่อค้าและชาวบ้านระยะใกล้เคียงที่คุ้นหน้ามักจะเดินทางเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
แต่พ่อค้า ขบวนรถ หรือคนแปลกหน้าต้องการจะเดินทางเข้าเรือนพักร่ำรวย นอกจากมีคนแนะนำแล้ว หลังจากยืนยันตัวตนได้จึงจะสามารถเข้าไปได้
เยียนอวิ๋นเกอปฏิเสธการเยี่ยมชมเรือนพักร่ำรวยของจ้งซูหาว หมายความว่าจ้งซูหาวไม่สามารถเหยียบย่ำเข้าเรือนพักร่ำรวยแม้แต่ก้าวเดียวผ่านเส้นทางปกติ
เส้นทางพิเศษเขาก็เข้าไปไม่ได้
เพราะให้กำลังพลแก่พ่อบ้านสามพันนาย เขาก็โจมตีเรือนพักร่ำรวยไม่ได้
ไร้ซึ่งหนทาง!
จ้งซูหาวพูด “ไม่โทษเยียนอวิ๋นเกอที่มีความมั่นใจ เวลานี้นางเลี้ยงคนไว้มากมาย สามารถเลี้ยงตัวเองได้ อีกทั้งยังมีองครักษ์ที่จงรักภักดีกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดทีมีเงื่อนไขเหมือนนางเช่นนี้ ร้อยละเก้าสิบคงจะยโสยิ่งกว่านาง”
อยากปฏิเสธก็ปฏิเสธ ไม่ไว้หน้าผู้ใด ไม่มีปัญหา
นอกจากฮ่องเต้เสด็จมาเอง มิฉะนั้นแม้จะเป็นเถาฮองเฮา หากเยียนอวิ๋นเกอไม่อนุญาต องครักษ์ก็จะกีดขวางเถาฮองเฮาไว้นอกประตูใหญ่เรือนพัก
มีกองกำลังย่อมมีความมั่นใจ
มีความมั่นใจย่อมกล้าอวดดี!
กล้าอวดดีเพราะนางสามารถแบกรับผลจากการอวดดี
อย่างมากก็แค่สู้รบกันสักตั้ง ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะยังไม่แน่
…
เยียนอวิ๋นเกอสลัดจ้งซูหาวหลุด ระหว่างทางจึงอารมณ์ดีอย่างมาก
นางไม่สนิทกับจ้งซูหาว ระหว่างทางเวลาส่วนใหญ่ล้วนสนทนากันด้วยความอึดอัด
ระหว่างคนทั้งสอง อย่างไรเวลานี้ก็ยังหาหัวข้อสนทนาที่สนใจร่วมกันไม่เจอ
ถึงแม้จ้งซูหาวจะไม่น่าเบื่อ ถือว่ามีความรู้
เพียงแต่เยียนอวิ๋นเกอไม่ชอบคุยกับพูดอื่นระหว่างการเดินทาง!
เหนื่อย!
หากเป็นสถานการณ์อื่น อาทิตอนที่นางว่าง นางยังสามารถอดทนพูดคุยเพื่อหาหัวข้อสนทนาร่วมกันของคนทั้งสอง ผลักดันความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรและสันติได้
แต่เวลานี้นางกำลังเดินทาง นางไม่มีอารมณ์รับมือ
ระยะทางหลายสิบลี้ เดินจนกระทั่งฟ้ามืดจึงจะมาถึงเรือนพักร่ำรวย
เยียนสุยและจี้ผิงนำคนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูเรือนพัก
เยียนอวิ๋นเกอลงจากรถม้า คำพูดแรกที่เอ่ยขึ้นก็คือหยอกล้อ “เหตุใดจึงต้องยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่มีงานทำหรือ”
เยียนสุยหัวเราะ “คุณหนูไม่ได้มาเรือนพักกว่าครึ่งปีแล้ว ทุกคนต่างคิดถึงท่าน”
“คิดถึงเงินในกระเป๋าของข้ามากกว่า พวกเจ้าคิดจะให้ข้ามาแจกเงินให้”
“หากคุณหนูจะแจกเงินให้พวกเรา คืนนี้ทุกคนคงตื่นจากฝันด้วยรอยยิ้ม”
“รอก่อนเถิด! ให้ข้าดูครึ่งปีนี้พวกเจ้าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง!”
“คุณหนูเชิญทางนี้!”
เยียนอวิ๋นเกอพักอยู่ในเรือนพัก ในคืนนั้นก็เรียกคนมาทำความเข้าใจสถานการณ์
วันรุ่งขึ้นก็เริ่มออกตรวจโรงงานแต่ละแห่ง ร้านค้าในตลาด อีกทั้งยังเดินไปตรวจดูสถานการณ์การเพาะปลูกของปีนี้ในแปลงนา
สถานการณ์ไม่ดีนัก!