เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดการณ์ได้อย่างถูกต้อง
แม้จิ่งอู๋ซวงจะได้รับบาดเจ็บ แต่ความเร็วของเขากลับไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
คนคนนี้มีพรสวรรค์ในการชักจูงปีศาจอย่างแท้จริง
เป็นใครก็สามารถบอกได้เมื่อเห็นปีศาจตัวน้อยที่เดินตามหลังเขามาตลอดหลายร้อยปี
”คุณชาย” ปีศาจตัวน้อยสะพายขวดน้ำเต้าเอาไว้บนหลัง และขอบตาดำคล้ำ เขามองจิ่งอู๋ซวงอย่างเป็นห่วง แล้วเอ่ยว่า ”พักกันก่อนดีกว่าขอรับ อย่างไรก็ใกล้จะถึงแล้ว”
จิ่งอู๋ซวงไอออกมาอย่างแรง ลมหายใจของเขาเริ่มไม่สม่ำเสมอ แต่กระนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะเดินหน้าต่อไปพร้อมกับหนีเฟิ่ง
เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ใบหน้าอันอบอุ่นของเขาไม่เคยดูอ้างว้างโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้มาก่อน
บาดแผลที่แขนของเขายังมีเลือดไหลไม่หยุด
แต่เขากลับยังดูเยือกเย็นเช่นเคย จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่ตรงหน้าโลงศพสีดำกับกระจกวิเศษบานหนึ่งนั่นเอง ในที่สุดเขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนว่า ”เปิดฝาน้ำเต้า นางจำเป็นต้องใช้ปราณแห่งความเคียดแค้น”
ปีศาจตัวน้อยเจ้าของขอบตาอันดำคล้ำพยักหน้า เขาเชื่อฟังจิ่งอู๋ซวงมาโดยตลอด เขายกมือเล็กๆ ขึ้นเปิดฝาน้ำเต้าออก จากนั้นจึงเทมันลงเป็นวงกลมรอบๆ โลงศพสีดำ
อาคมแห่งความเคียดแค้นถูกเปิดใช้งาน ใบหน้าว่างเปล่าพลันปรากฏขึ้นในกระจกวิเศษบานนั้นราวกับควันสีขาว
”เข้าไปสิ” จิ่งอู๋ซวงจับมือหนีเฟิ่งแล้วจูงนางเดินเข้าไปในนั้น ใบหน้าของนางยังซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า ความอบอุ่นในดวงตาของเขาปลอบประโลมนางได้เป็นอย่างดี ”เจ้าจะได้กลับมามีชีวิตจริงๆ ในอีกไม่ช้า”
หนีเฟิ่งรอคอยวันนี้มานานแสนนาน ตั้งแต่ตอนที่ชายคนนี้พบนาง นางก็ไม่อยากเป็นเพียงซากศพธรรมดาอีกต่อไป
ท่านพ่อจากไปแล้ว
ตระกูลหนี และเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งเมืองควรต้องตกเป็นของนาง!
หนีเฟิ่งหลับตา แล้วนอนลงในโลงศพสีดำโดยไม่ลังเล
บนใบหน้าของจิ่งอู๋ซวงยังคงมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ เขาใช้มีดกรีดแขนข้างที่บาดเจ็บอยู่แล้วของตัวเองให้เลือดจำนวนมากไหลออกมาเพื่อทำพิธีคืนชีพวิญญาณนี้ให้เสร็จสมบูรณ์
ปีศาจตัวน้อยเฝ้ามองดูเขาอยู่ข้างกาย แม้จะเห็นใบหน้าและริมฝีปากอันซีดเซียวของจิ่งอู๋ซวง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับมันดี คุ้นเคยกับการที่ผู้เป็นนายมักจะทำอย่างเงียบๆ เพียงเพื่อทำให้คนคนนั้นได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เลือดสีสดซึมหายเข้าไปในโลงราวกับถูกตัวอะไรบางอย่างดูดเข้าไป
ทันใดนั้น กลุ่มควันในกระจกวิเศษก็เริ่มบิดเบี้ยว ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของสุสานพร้อมกับปราณแห่งความเคียดแค้นอันมหาศาล!
ครืน!
เสียงคำรามที่ดังลึกลงไปใต้พื้นดินทำให้ประตูนรกสั่นสะเทือน
ผืนน้ำสีดำที่อยู่ใต้สะพานไน่เหอเริ่มเดือดปุดๆ
วิญญาณร้ายสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกมันแยกเขี้ยว กางกรงเล็บ และพยายามทำลายโซ่ตรวนเพื่อให้ตนได้เป็นอิสระ เล็บสีดำของพวกมันยื่นเข้าหาโลกมนุษย์ วิญญาณร้ายทุกตนต่างพยายามฉีกกระชากตราที่สลักอยู่บนแผ่นดินออก!
เหล่ายมทูตสบตากันด้วยความตกใจ โซ่เหล็กในมือของพวกเขาที่มีหน้าที่พันธนาการวิญญาณเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะปราณแห่งความเคียดแค้นที่พวกเขามองไม่เห็น
ที่นรกขุมที่เจ็ด บุตรแห่งราชานรกกำลังดูดจุกนมหลอกด้วยสีหน้าบูดบึ้งตลอดเวลาที่กำลังฟังราชาแห่งนรกบ่น
แม้เวลาอยู่ต่อหน้าราชาแห่งนรกที่สูงใหญ่อย่างกับขุนเขาแล้ว บุตรแห่งราชานรกจะดูตัวนิดเดียว
แต่เสียงตะโกนที่บุตรแห่งราชานรกร้องขึ้นกลับดังอย่างน่าเหลือเชื่อ ”เกิดอะไรขึ้น มีคนพยายามจะมาลักพาตัวข้าอีกแล้วหรือ ตอนนี้ข้ากำลังว่างอยู่พอดี บอกให้พวกเขารีบมาเร็วเข้า!”
”ทะ… ทูลองค์ชาย ไม่ ไม่ใช่การลักพาตัวพ่ะย่ะค่ะ มีคนแตะต้องกระจกวิเศษเข้าพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิพากษาวิญญาณคว้าหมวกทรงสูงที่อยู่บนศีรษะของตัวเองแล้วตอบตะกุกตะกัก
ทันทีที่ได้ยินคำว่ากระจกวิเศษ ใบหน้าของราชาแห่งนรกก็พลันดูดุร้ายขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ”พูดใหม่อีกทีสิ เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ’มีคนแตะต้อง’ มัน? กระจกวิเศษหรือ? หมายถึงกระจกวิเศษที่ฝังอยู่ในสุสานหลวงน่ะรึ”
”ใช่พ่ะย่ะค่ะ มัน…” ก่อนที่ผู้พิพากษาจะทันได้พูดจบ ราชาแห่งนรกก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว!
เขาทิ้งให้บุตรแห่งราชานรกที่ถูกมัดนั่งอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง
บุตรแห่งราชานรกชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดกับผู้พิพากษาวิญญาณอย่างรวดเร็วว่า ”ปลดโซ่เหล็กน้ำแข็งทมิฬที่มือข้าออก!”
”ไม่ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” แม้ผู้พิพากษาวิญญาณจะพูดเสียงสั่น แต่เขาก็ยังหนักแน่นดั่งหินผา
บุตรแห่งราชานรกหรี่ดวงตาสีแดงลง ”เจ้าลองพูดอีกทีสิ! จะทำหรือไม่ทำ”
”ทำพ่ะย่ะค่ะ!” ความโหดเหี้ยมขององค์ชายน้อยน่าสะพรึงกลัวกว่าผู้เป็นนายของมันมากก็จริง แต่… ”องค์ชาย ท่านจะไปไหน”
บุตรแห่งราชานรกหันกลับมาระหว่างเตรียมสัมภาระของตัวเอง ”เจ้าดูไม่ออกหรือ ข้าก็จะไปโลกมนุษย์เพื่อช่วยมนุษย์พวกนั้นน่ะสิ”
”ถ้าท่านจะไปช่วยมนุษย์พวกนั้นจริง ท่านจำเป็นต้องเอากระทั่งลูกอมไปให้เสี่ยวโกวด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เพราะความยุติธรรมอันแรงกล้า ผู้พิพากษาวิญญาณจึงมองคำโกหกของบุตรแห่งราชานรกออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ”องค์ชาย กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการรักษาความสงบเรียบร้อยของปรโลก ไม่ใช่การมุ่งความสนใจไปที่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ พ่ะย่ะค่ะ ยิ่งกว่านั้น ท่านก็ยังเด็กอยู่…”
บุตรแห่งราชานรกหยิบสัมภาระของตัวเองขึ้นพาดไว้บนบ่า จากนั้นจึงเอ่ยด้วยท่าทางสุดเท่ว่า ”เสี่ยวซวี เจ้าฟังข้าให้ดี ต่อให้เราจะรักษาความสงบเรียบร้อยของปรโลกไปในเวลานี้ก็เปล่าประโยชน์ เหลือเวลาอยู่อีกเพียงแค่สิบสองชั่วยามก่อนที่ผนึกจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ เส้นทางแห่งการเกิดใหม่ของคนเป็นและคนตายจะบิดเบี้ยวในอีกสิบสองชั่วยามนี้ หากพระชายาไม่ตื่นขึ้นและทำการผนึกมันอีกครั้ง วิญญาณร้ายที่ถูกจองจำอยู่ใต้นรกทั้งสิบแปดชั้นย่อมสามารถหลบหนีไปได้ โลกกำลังจะถึงจุดจบ แต่เจ้ากลับยังต้องการให้ข้าอยู่ในปรโลกเพื่อทำงานล่วงเวลาเช่นนี้ และไม่ยอมให้ข้าได้กลับไปพบกับเสี่ยวโกวของข้าหรือ เจ้าคิดใคร่ครวญให้ดีสิ เจ้าไม่มีมโนธรรมกับเขาบ้างเลยหรือ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผู้พิพากษาวิญญาณก็รู้สึกว่าความคิดของเขาช่าง… ไม่สิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
”องค์ชาย ถ้าเส้นทางแห่งการเกิดใหม่ของคนเป็นและคนตายถูกบิดเบือน เช่นนั้นคนตายก็จะฟื้นคืน และคนเป็นจะกลับกลายเป็นคนตาย และย่อมหมายความว่าเสี่ยวโกวจะไม่มีวันได้เกิดมา!” ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ ผู้พิพากษาวิญญาณก็หยุดพูดติดอ่างและตะโกนสิ่งที่ต้องการพูดออกมาได้ในที่สุด!
บุตรแห่งราชานรกชะงักฝีเท้า ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลาแต่โหดเหี้ยมของเขาค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาสีแดงชั่วร้ายหรี่ลงจนเป็นเส้นตรง ”บัดซบ ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร!”
ผู้พิพากษาวิญญาณปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากพร้อมกับคิดว่าในที่สุดเขาก็สามารถทำให้องค์ชายอยู่ที่นี่ต่อได้
แต่ตอนนั้นเองที่ผู้พิพากษาวิญญาณเห็นองค์ชายของตัวเองโยนย่ามขึ้นพาดบ่าอีกครั้ง แล้วเอ่ยว่า ”ข้าต้องไปที่สุสานหลวงเพื่อตามหาพระชายา! นางจะต้องมีทางออกแน่!”
”เดี๋ยวก่อนขอรับ องค์ชาย รอเดี๋ยวก่อน…”
ครืน!
เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงตามมาอีกระลอก!
ปราณแห่งความเคียดแค้นรวมตัวเข้าหากัน แล้วก่อตัวขึ้นกลายเป็นเงาจำนวนนับไม่ถ้วน เงาเหล่านั้นถูกดูดเข้าไปในโลงศพสีดำทีละเงา
สุดท้ายพวกมันก็ผสานเข้ากับเลือดและกลายเป็นวิญญาณฉีดเข้าไปในศพที่นอนอยู่ในโลงศพสีดำ
ดวงตาของหนีเฟิ่งเบิกโพลงในทันใด ร่างกายของนางบิดเบี้ยวอย่างน่าหวาดกลัว หลังจากฝุ่นจางลง ผิวพรรณของร่างนั้นก็พลันอ่อนนุ่มอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
บนแขนของนางยังมีคราบเลือดอุ่นๆ เปื้อนอยู่ แต่มันก็ไม่ได้กวนใจนางแต่อย่างใด นางไล้ปลายนิ้วไปตามข้อมือตัวเองเบาๆ
นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นของคนที่ยั่วโมโหนางเมื่อครู่
กลิ่นนั้นรุนแรงแต่ก็เป็นกลิ่นที่นางคุ้นเคย มันแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งพระพุทธคุณ
หนีเฟิ่งแลบลิ้นแล้วเลียที่ข้อมือของตัวเอง นางเผยรอยยิ้มอันแปลกประหลาดออกมาพร้อมกับมองไปที่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ”อู๋ซวง ข้ากลับมาแล้ว” นางเอ่ยขึ้น มุมปากของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น
ดวงตาของนางเป็นประกายทันทีที่นางพูดจบราวกับได้กลิ่นอะไรบางอย่าง นางพูดกับตัวเองเบาๆ ว่า ”เขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกันใช่หรือเปล่า”
ผิวขาวผ่องบนใบหน้าของหนีเฟิ่งขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยขณะที่นางจ้องมองไปยังอีกด้านหนึ่งของสุสานโบราณ นางถอนหายใจออกมาอย่างคาดไม่ถึง ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกับเด็กสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักไม่มีผิด
จิ่งอู๋ซวงพยักหน้า จากนั้นก็โน้มตัวลงแล้วพานางขึ้นจากโลง ”พวกปีศาจกับวิญญาณร้ายกำลังมาที่นี่ ร่างกายของท่านยังอ่อนแออยู่ พวกเรากลับไปที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกันก่อนเถิด”
”ได้ ทำตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน” หนีเฟิ่งค่อยๆ หลับตาลง แต่หัวใจของนางยังยึดติดอยู่กับใครคนหนึ่ง และคนคนนั้นก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย