ตอนที่ 791 หมอฟางโกรธ
น้องสามีและพี่สะใภ้ขับรถไปยังร้านเปาห่าวชือสาขาที่ใกล้ที่สุด
จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็นำกล้องที่เขาสร้างขึ้นออกมา และใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงในการติดตั้ง
แม้กล้องของฟางจั๋วเยวี่ยจะดูเรียบง่ายมาก แต่ผลลัพธ์หลังการติดตั้งก็ดีมาก
หากยึดตามเวลาการสร้างอันกระชั้นชิด ความคมชัดของภาพที่ได้ก็จะไม่สูงนัก
แต่ในยุคนี้ที่แม้แต่ภาพในทีวียังไม่ชัดเจน ภาพที่ได้รับจากกล้องวงจรจึงปิดถือได้ว่าชัดเจนแล้ว
หลินม่ายมีความสุขมากและขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยผลิตกล้องอีกสองสามตัวให้เธอเพิ่มเติม
เธอวางแผนที่จะติดตั้งกล้องในห้องโถงของร้านค้าในเครือร้านเปาห่าวชือห้าแห่งในกรุงปักกิ่ง
ฟางจั๋วเยวี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถาม “ติดตั้งเฉพาะกล้องในห้องโถงเท่านั้นหรือ? ถ้ามีใครทำอะไรไม่ดีในห้องอื่นแล้วใส่ร้ายพี่ พี่จะหาหลักฐานได้เหรอ? “
หลินม่ายส่ายศีรษะพลางกล่าว “ผู้ที่ก่ออาชญากรรมมักจะเลือกที่จะก่ออาชญากรรมในห้องโถง เพื่อที่พวกเขาจะได้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อเกิดปัญหา ดังนั้นเพียงพอแล้วที่จะติดตั้งกล้องเฉพาะในห้องโถง ไม่จำเป็นต้องติดตั้งในส่วนอื่น เพราะการติดตั้งกล้องในส่วนอื่นจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น”
ฟางจั๋วเยวี่ยก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว น้องสามีและพี่สะใภ้เดินทางออกมาจากร้านเปาห่าวชือและพร้อมที่จะกลับบ้านไปรับประทานอาหารเย็น
ขณะที่เดินผ่านห้องโถง หลินม่ายก็ได้ยินเสียงคนเรียกเธอ
เธอหันศีรษะและเห็นว่าเป็นผู้อำนวยการอิ่นของสถานีโทรทัศน์ CCTV
หลินม่ายเดินไปด้วยรอยยิ้ม ชำเลืองมองที่โต๊ะขนาดใหญ่และถาม “ผู้อำนวยการอิ่น พาทั้งครอบครัวมากินหม้อไฟสินะคะ”
ผู้อำนวยการอิ่นชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะพลางกล่าว “ไม่ใช่แค่หม้อไฟ แต่ยังมีขนมอบต่าง ๆ ด้วย อาหารของคุณอร่อยทุกอย่างเลยนะครับ มากินทีไรก็ไม่เคนรู้สึกอิ่ม ราวกับกระเพาะของผมขยายขนาดจนจุอาหารได้มากมาย”
“ผู้อำนวยการอิ่นชมเกินไปแล้วค่ะ” หลินม่ายหัวเราะสองครั้งเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์
เธอโทรหาผู้จัดการร้านและขอให้เขามอบส่วนลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์แก่ผู้อำนวยการอิ่น
ผู้อำนวยการอิ่นมีความสุขมากและจับมือลูกสาวตัวน้อยพลางเขย่าหลินม่าย “เร็วเข้า ขอบคุณน้าหลินสิ”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มีอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบเท่านั้น ผิวขาวอมชมพูดอย่างมาก
หล่อนกล่าวขอบคุณและหยิบลูกอมสองสามเม็ดออกมาจากกระเป๋าพร้อมยัดใส่มือของหลินม่าย
หลินม่ายปฏิเสธ แต่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ยืนยันที่จะมอบให้เธอ
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับลูกอมไว้
ทันทีที่น้องสามีและพี่สะใภ้เดินออกจากร้าน พวกเขาเห็นฟางจั๋วหรานยืนอยู่ข้างรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่าย
หลินม่ายรีบวิ่งไปหาเขาด้วยความดีใจและถามด้วยความประหลาดใจ “คุณมาที่นี่ทำไม?”
ฟางจั๋วหรานห่มผ้าคลุมไหล่แคชเมียร์ให้กับหลินม่าย
เขากล่าวด้วยท่าทางที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความรัก “เมื่อตะวันลับฟ้า ความหนาวเย็นจะมาเยือน ผมเกรงว่าคุณจะหนาวเลยนำผ้าคลุมไหล่มาให้”
หลินม่ายกระชับผ้าคลุมไหล่แน่นและร่างกายของเธออุ่นขึ้นมาก
เมื่อครั้งเดินออกมาจากร้านและถูกลมพัดผ่าน เธอรู้สึกหนาวเหน็บอย่างมาก
ฟางจั๋วหรานเปิดประตูที่นั่งผู้โดยสาร และหลินม่ายก็เข้ามาเหมือนปลาตัวเล็ก
ฟางจั๋วหรานนั่งที่เบาะคนขับ ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยนั่งที่เบาะหลัง
หลินม่ายจำลูกอมสองสามเม็ดที่ลูกสาวคนสุดท้องของผู้อำนวยการอิ่นมอบให้ได้
เธอหยิบมันออกมาจากกระเป๋า ชำเลืองมองและส่งให้ฟางจั๋วหรานแล้วเอ่ยถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
แม้ร้านเปาห่าวชือแห่งนี้จะเป็นร้านสาขาที่ใกล้ที่สุดกับบ้านของเธอ แต่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าครึ่งชั่วโมง
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองขนมที่เธอยื่นให้และส่ายศีรษะ “ผมยังไม่อยากกินตอนนี้”
หลินม่ายเก็บขนมกลับเข้ากระเป๋า “ทำไมคุณไม่ขับรถมาที่นี่? ผ่าตัดมาทั้งวันไม่เหนื่อยเหรอ? แถมยังต้องเอาผ้าคลุมมาให้ฉันอีก”
ฟางจั๋วหรานติดเครื่องยนต์ “ไม่เป็นไร ผมไม่เหนื่อย”
แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเขาก็ยังจะเดินมาที่นี่ เพราะเขาอยากกลับพร้อมกับภรรยาผู้เป็นที่รัก
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทั้งสองมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันเพียงวันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น
เวลาช่างแสนสั้นและมีค่าเหลือเกิน เขาปรารถนาให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันทุกวินาที ดังนั้นจะใฟ้เขาขับรถอีกคันกลับและแยกกับเธอได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาไม่ได้คำนึงถึงน้องชายของตัวเองเลย ไม่เคยคิดว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะติดรถกลับด้วย
ฟางจั๋วหรานมองไปยังน้องชายซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง ฟางจั๋วเยวี่ยผู้ไม่รู้ตัวว่าเขากลายเป็นก้างขวางคอของพวกเขาไปแล้ว
หากรู้เช่นนี้ เขาจะขับรถของตัวเองมาและให้น้องชายขับกลับ ส่วนตัวเขาเองจะกลับไปพร้อมกับภรรยา
หลินม่ายแสดงท่าทางเมินเฉย และหยิบขนมอีกชิ้นจากกระเป๋าของเธอออกมาดู
เธอหันศีรษะและยื่นให้ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง “นายคงจะหิวมาก กินขนมรองท้องไปก่อนนะ แล้วค่อยกลับบ้านไปกินอาหารเย็น”
ฟางจั๋วเยวี่ยหยิบลูกอม ลอกกระดาษห่อออก โยนลูกอมเข้าปาก และเคี้ยวก่อนจะกลืนลงไปทันที
หลินม่ายไม่ทันได้สังเกตว่าใบหน้าของฟางจั๋วหรานแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
เธอร่าเริงมาก ทั้งยังชื่นชมฟางจั๋วเยวี่ยที่เก่งและมีฝีมือจนสร้างกล้องให้เธอได้
ในอนาคต เธอจะไม่ต้องกลัวอีกต่อไปว่าจะมีใครมาทำลายชื่อเสียงของร้านเปาห่าวชือเหมือนเหตุการณ์หนูในหม้อไฟ และจะไม่มีใครทำลายร้านเปาห่าวชือของเธอได้อีก
หลินม่ายพูดอย่างมีความสุขจนกระทั่งฟางจั๋วหรานขับรถเข้าไปในสวนหลังบ้านของเธอ ทันใดนั้นเธอพลันตระหนักได้ว่าฟางจั๋วหรานไม่ได้พูดอะไรสักคำตลอดทาง
แม้เขาจะพูดน้อยมาก แต่การที่เขาไม่เอ่ยคำใดต่อเธอสักคำเช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หลินม่ายเป็นกังวลเล็กน้อยว่าฟางจั๋วหรานจะป่วยจากลมหนาวขณะรอเธออยู่นอกร้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการพูด
ทันทีที่รถหยุด เธอวางมือบนหน้าผากของฟางจั๋วหรานเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิ
ฟางจั๋วหรานหลีกเลี่ยงมือเล็ก ๆ ของเธออย่างไร้อารมณ์และออกจากรถ
ทั้งสามคนเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมือก่อนแล้วจึงมายังห้องอาหาร
เมื่อแม่บ้านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในสวนหลังบ้าน หล่อนก็รู้ว่านั่นคือหลินม่ายและคนอื่น ๆ ที่กลับมาแล้ว
ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในห้องอาหาร อาหารก็ถูกจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งครอบครัวนั่งรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยเห็นจานหลู่ไช่แสนอร่อยหลายจานบนโต๊ะอาหาร มุมปากของเขาพลันคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขจนเขาหัวเราะออกมา
“พี่สะใภ้ใจดีกับฉันมาก พี่รู้ว่าฉันชอบหลู่ไช่ก็เลยทำมาให้ฉันโดยเฉพาะสินะ”
ฟางจั๋วหรานสูญเสียความอยากอาหารทันที วางตะเกียบลงและเตรียมที่จะลุกจากไป
หลินม่ายส่ายศีรษะพลางกล่าว “ฉันไม่ได้ทำหลู่ไช่พวกนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฟางจั๋วหรานก็ผ่อนคลายลง และหยิบตะเกียบที่วางลงก่อนหน้านี้ขึ้น
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกเหลือเชื่อ
เขาคีบผ้าขี้ริ้ววัวตุ๋นใส่ปากแล้วชิมอย่างระมัดระวัง “นี่มันรสชาติฝีมือพี่สะใภ้ชัด ๆ”
คุณย่าฟางกล่าว “หลู่ไช่นี้แม่บ้านซื้อมาจากร้านหลู่ไช่”
หลินม่ายยิ้ม “ไม่น่าแปลกใจที่จั๋วเยวี่ยรู้สึกเหมือนฉันทำ ร้านขายหลู่ไช่เป็นของฉัน แน่นอนว่าหลู่ไช่สูตรลับของฉันก็มีรสชาติแบบนี้”
คุณย่าฟางถามด้วยความสงสัย “หลานเปิดร้านหลู่ไช่ในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเราไม่รู้?”
หลินม่ายกล่าว “หลังจากภัยพิบัติพายุหิมะน่ะค่ะ ฉันขอให้ผู้จัดการซุนทดลองการตลาดโดยเปิดร้านหม้อไฟ ร้านปิ้งย่าง และร้านหลู่ไช่ เขาใช้เวลาไม่นานและเปิดขายอย่างลับ ๆ ซึ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก”
เธอเห็นซุปหัวไชเท้าใส่ปลาบนโต๊ะอาหาร
เธอได้ยินมาว่าซุปหัวไชเท้าใส่ปลาสามารถป้องกันโรคหวัดได้
หลินม่ายมอบชามใบใหญ่ให้ฟางจั๋วหรานและวางไว้ข้างหน้าเขา “รีบซดในขณะที่ยังร้อนอยู่นะคะ”
ฟางจั๋วหรานผลักชามซุปสีน้ำนมออกไปและพูดเบา “ผมยังไม่อยากกินตอนนี้”
สีหน้าเขานิ่งเสียจนไม่อาจบอกได้ว่าดีใจหรือโกรธ
แต่หลินม่ายกับเขาเป็นสามีภรรยากัน และพวกเขาก็รู้จักกันดี ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าเขาโกรธ
แต่ทำไมจู่ ๆ เขาถึงโกรธ?
ขณะเขาสวมผ้าคลุมไหล่ให้เธอ เขายังคงเป็นสามีที่อ่อนโยนและมีน้ำใจ
การเปลี่ยนแปลงของใบหน้านี้ยากเกินกว่าจะเข้าใจจริงๆ
“ถ้าคุณไม่อยากกินตอนนี้ก็ให้จั๋วเยวี่ยกินซะ” หลินม่ายวางชามซุปไว้ข้างหน้าฟางจั๋วเยวี่ย
ฟางจั๋วเยวี่ยหยิบซุปและดื่มไปสามอึก
ฟางจั๋วหรานรู้สึกโมโหจนควันพวยพุ่งออกจากหู
เพียงเพราะฟางจั๋วเยวี่ยช่วยเธอประดิษฐ์และติดตั้งกล้อง จึงทำให้สามีของเธอไม่มีความสุข
เธอมีเวลาอยู่กับสามีเพียงสองวันต่อสัปดาห์เท่านั้น
ฟางจั๋วเยวี่ยดื่มซุปปลาและเอื้อมมือจะไปคีบกุ้งทอดเกลือ
เขากินกุ้งทอดเกลืออย่างมีความสุข แต่ฟางจั๋วหรานกลับหยิบจานกุ้งทอดเกลือออกไป
จากนั้นฟางจั๋วหรานก็แกะเปลือกกุ้งให้หลินม่ายแล้วป้อนเข้าไปในปากของเธอ
หลินม่ายกล่าวขณะกินกุ้งที่เขาแกะให้ “กุ้งจานใหญ่ขนาดนี้ฉันกินคนเดียวไม่หมดหรอกค่ะ วางไว้ที่เดิมก่อนเถอะ ทุกคนจะได้กินด้วย”
คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วไม่ชอบกินกุ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงวางมันกลับที่เดิม และเสนอให้ฟางจั๋วเยวี่ยกิน
แต่ฟางจั๋วหรานปฏิเสธอย่างหนักแน่น
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินม่ายได้เห็นหมอฟางผู้สุขุมเป็นผู้ใหญ่แสดงกิริยาเหมือนเด็ก
ฟางจั๋วหรานป้อนกุ้งทอดเกลือจานใหญ่เข้าไปในปากของหลินม่าย
หลินม่ายกินกุ้งไปเต็มๆ จนไม่อยากกินกุ้งไปอีกสามเดือน
หลังจากแกะกุ้งให้หลินม่ายแล้ว ฟางจั๋วหรานก็จดจ่อกับปีกไก่พะโล้
เขานำปีกไก่พะโล้ที่ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังกินมาให้หลินม่ายและพูดเบา ๆ “ที่รัก กินสิ ช่วงนี้คุณทำงานหนักและดูซูบลงนะ”
หลินม่ายหยิบปีกไก่พะโล้ที่เขามอบให้ด้วยสีหน้างุนงง
เธอไม่สามารถบอกได้ว่าเขาโกรธหรือไม่
หากเขาไม่โกรธ ทำไมหน้าสีหน้าเขาถึงดูเศร้าหมอง?
แต่หากเขาโกรธ ทำไมถึงจ้องแย่งอาหารจานโปรดของเธอจากฟางจั๋วเยวี่ย?
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณหมอออกอาการงอนแล้ว มายืนตากลมหนาวรอตั้งนาน แต่ภรรยากลับเอ็นดูน้องชายมากกว่า
ไหหม่า(海馬)