จากที่พ่อบอกฉันมา การที่สเตตัสของพ่อสูงจนผิดปกตินั้นมาจากการที่เผ่าพันธุ์ของพ่อ [แวมไพร์ลอร์ด] และอาชีพ [ราชันนักสู้] นั้นต่างช่วยเพิ่มความสามารถให้กับพ่อ
{สเตตัส} นั้นเป็นการอวยพรจากเทพให้ทุกเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาอย่างเท่าเทียมกัน และมีอยู่ 4 วิธีที่สามารถพัฒนาให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้ นั่นคือการเพิ่มเลเวล, การฝึกฝน, การเลือกอาชีพ และการวิวัฒนาการเผ่าพันธุ์
การเพิ่มเลเวลก็ตรงๆ ตามนั้นเลย
การฝึกฝนจะช่วยเพิ่มความสามารถด้านใดด้านหนึ่งได้ อย่างการฝึกฝนร่างกาย หรือเก็บเกี่ยวความรู้ทางเวทมนตร์
การเลือกอาชีพนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล ตราบใดที่ยังอยู่ในสถานะ [-ยังไม่ได้เลือก-] อย่างที่ฉันเป็นอยู่ มันก็จะทำให้ฉันทั้งอ่อนแอและขาดความชำนาญ ซึ่งนั่นฟังดูไม่ดีเลยตอนฉันได้ยินครั้งแรก เพราะแบบนั้น ฉันเลยควรขะเลือกเส้นทางของฉันผ่านการเลือกอาชีพ อาชีพที่เลือกได้นั้นก็จะต่างกันไปในแต่ละคน เรียกอีกอย่างก็คือพรสวรรค์นั่นแหละ บางคนอาจเลือกได้แค่อาชีพเล็กๆ อย่าง [เกษตรกร] ในขณะที่บางคนก็อาจจะสามารถเลือกอาชีพสายต่อสู้ได้ อย่าง [นักเวท] หรือ [นักรบ] หรือแม้แต่ [ผู้กล้า] หรือ [จอมมาร] ก็ยังมี
แถมถ้าเราสามารถเอาชนะศัตรูด้วยอาชีพนั้นๆ หรือสามารถจัดการตามเงื่อนไขบางอย่างในอาชีพนั้นๆ ได้ ก็จะทำให้เราสามารถปลดอาชีพระดับที่สูงขึ้นหรืออาชีพอื่นที่แข็งแกร่งกว่าได้ด้วยเหมือนกัน
สำหรับการวิวัฒนาการเผ่าพันธุ์นั้น เอาจริงๆ มันจะเป็นคนละเรื่องกับวิธีอื่นๆ ที่ผ่านมาเลยอย่างสิ้นเชิง โดยหากทำตามเงื่อนไขที่เฉพาะบางอย่างสำเร็จแล้ว เผ่าพันธุ์ของตัวเองก็จะพัฒนาขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น เงื่อนไขที่ว่าก็อย่างเช่น ‘เป็นราชาของเผ่าพันธุ์’ แบบพ่อของฉัน, ‘เพิ่มเลเวลจนถึง 100 โดยไม่แพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว’ หรืออื่นๆ ซึ่งเงื่อนไขทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หากคนๆ นั้นใช้ชีวิตตามปกตินี่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะวิวัฒนาการเผ่าพันธุ์ได้
อาชีพของพ่อของฉันอย่าง [ราชันนักสู้] นั้นเป็นอาชีพระดับสูงสุดเลย เงื่อนไขในการปลดอาชีพนี้คือต้องมีอาชีพ [จอมยุทธ์] และเอาชนะศัตรูที่มีเลเวลสูงกว่าให้ได้จำนวนนึง
ว่าไงนะ? ฉันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?
ก็ฟังจากพ่อฉันเอาน่ะสิ เขาอยู่ตรงหน้าฉันเนี่ย
พ่อก็เอาแต่พูดว่า “เป็นไงล่ะ! พ่อน่ะสุดยอดไปเลยใช่มั้ยล่ะ! ชมพ่อสิๆ” มาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ฉันเริ่มรู้สึกว่า นี่ฉันถามตาลุงนี่ไป หรือเขาแค่พูดออกมาให้ฉันฟังเองเลยกันแน่
ไม่สิ พูดอย่างงั้นก็ไม่ถูก เพราะรูปลักษณ์ของแวมไพร์นั้นจะหยุดลงเมื่อถึงวัยรุ่นตอนปลาย ทำให้มีลักษณะภายนอกเหมือนอายุประมาณ 20 ต้นๆ พ่อเองก็เหมือนกัน ถึงฉันจะแค่ได้ยินมาว่าพ่อน่ะอายุมากกว่า 200 ปีแล้วก็เถอะนะ
หลังจากที่ต้องชมพ่ออยู่นาน มันกลับทำให้พ่อดูทรมานจากการที่ชมเขามากเกินไป ดูท่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้ว
จากที่ฉันได้ลองขยับร่างกายจนเริ่มคุ้นชินกับมันขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกเราจึงเดินกลับบ้านกัน
คุณพ่อ…ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เขายังดูมีความสุขอยู่เลย เขาดูงี่เง่าในฐานะคนเป็นพ่อล่ะนะ
ฉันไม่มีทางเลือกอื่น ก็เลยทิ้งเขาไว้ที่หน้าประตูบ้าน ก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้านไป และ…
“กลับมาแล-”
““““สุขสันต์วันเกิดนะ! ลีน!””””
“…เอ๋?”
ในบ้านเต็มไปด้วยเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ ของฉัน
นี่…นี่คือ…ที่เขาเรียกว่า [เซอร์ไพรส์] สินะ?
“เออ… นี่คือ?”
“ลีนจัง! อิฮิฮิ เป็นยังไงบ้าง เซอร์ไพรส์หรือเปล่า?”
“พวกเราเตรียมตัวมาเป็นเดือนเลยนะ”
“ฮ่ะฮ่ะ หน้าเธอดูสุดๆ ไปเลยล่ะตอนนี้”
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาบอกฉัน คานะจัง เฟร็ดคุง และหลุยส์คุง กลุ่มที่เด็กที่สุดในหมู่บ้านและเล่นกับฉันมาโดยตลอด
“…นี่ …สำหรับฉันเหรอ?”
“แน่นอนสิ!”
…อา เข้าใจแล้ว พวกเขาฉลองให้ฉันสินะ ทำให้ฉันนึกถึงชาติที่แล้วเลย
เมื่อชาติก่อน ทั้งพ่อกับแม่ทำงานกันหมด แถมยังเป็นพวกบ้างานกันทั้งคู่เลยด้วย พวกเขาให้ความสำคัญกับงานมากกว่าครอบครัว และแน่นอน พวกเขาไม่เคยฉลองวันเกิดให้ฉันเลยซักครั้ง ดังนั้น ในวันเกิดของฉันทุกครั้งก็จะเป็นแค่การฉลองคนเดียวแบบเหงาๆ อย่างซื้อเค้กมากินคนเดียวกับเล่นกับเจ้าโยมิ
“ลิ-… ลีนจัง ร้องไห้ทำไมน่ะ!?”
“เอ๋? อา…”
โอไม่…นี่ฉันร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยเหรอเนี่ย…
แน่นอน ทุกคนเคยฉลองวันเกิดให้ฉันมาก่อน แต่ไม่ใช่ในระดับที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกอย่าง ฉันยังจำเรื่องราวในชาติก่อนไม่ได้เลยเมื่อตอนวันเกิดครบ 3 ขวบ แล้วเมื่อปีก่อน ฉันก็ยังงงๆ กับความทรงจำที่เพิ่งกลับมา ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ ‘ตัวฉัน’ ในตอนนี้ได้ฉลองวันเกิดจริงๆ แถมทุกคนยังจัดให้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้…
“อื้ม ฉันไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณทุกคนมากนะ”
หลังจากพูดออกไป ฉันก็กอดคานะไว้โดยไม่ทันได้คิดอะไรเลย
“อ่า! กอดแค่คานะคนเดียวขี้โกงหนิ!”
“ฉันด้วย! ฉันด้วย!”
จากนั้น เฟร็คคุงกับหลุยส์คุงก็เข้ามากอดพวกฉันด้วย
แน่นอน ฉันก็กอดทั้ง 3 คนกลับเหมือนกัน
แต่ แขนฉันก็ยาวไม่พอหรอก มันอาจจะเรียกกอดไม่ได้ล่ะมั้ง
หือ? ทำไมถึงไม่รู้สึกแปลกๆ เลยที่กอดกับผู้ชายอยู่งั้นเหรอ?
คิดดูนะ ถ้ารวมกันชาติที่แล้วด้วย อายุของฉันก็เกิน 20 ไปแล้วถูกมั้ย? มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะสัมผัสตัวกันกับเด็กผู้ชายเพื่อนบ้าน แถมต่อให้ไม่นับเรื่องนั้น ฉันก็เพิ่งจะอายุ 5 ขวบ เรื่องพื้นที่ส่วนบุคคลน่ะมันไม่มีอยู่แล้ว ฉันจึงกอดกับทุกคนต่ออย่างไม่ตะขิดตะขวงอะไร
“เอาล่ะๆ ลีน แม่ว่าลูกควรจะตัดสินใจเลือก ‘อาชีพ’ ของตัวเองเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะ”
หลังจากงานฉลองวันเกิดของฉันจบลงและทุกคนแยกย้ายกันแล้ว คุณแม่ก็มาคุยกับฉันเรื่องนี้
“อาชีพงั้นเหรอคะ…? อืมมม…”
หลังจากที่เราเลือกอาชีพไปก็จะไม่สามารถเปลี่ยนได้จนกว่าจะเชี่ยวชาญ ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจให้ดี ฉันคิดว่ามันมีอะไรแบบ [ค่าความชำนาญของอาชีพ] อยู่ และจนกว่าค่านั้นจะเต็ม ฉันก็จะไม่สามารถ ‘เปลี่ยนอาชีพ’ ได้ เฮ้อ…ไม่สะดวกเอาซะเลย
ฉันพึมพำออกมาว่า {สเตตัส} และแตะหน้าต่างเลือกอาชีพขึ้นมา
[อาชีพที่สามารถเลือกได้]
จอมยุทธ์, นักเวท, นักบุญ, โจร, ชาวไร่, คนเถื่อน, ผู้ใช้คุณไสย, ผู้วิเศษ, นักเต้น
…หืมมม 9 อาชีพเหรอ ฉันต้องเลือกอันนึงจากในนี้สินะ
…เฮ้! อะไรคือคนเถื่อนเนี่ย? ทำไมต้องคนเถื่อนด้วย?
“คุณพ่อคะ หนูมีตัวเลือกอยู่เยอะเลย พ่อคิดว่าอันไหนดีที่สุดคะ?”
“หืม ไหนพ่อดูหน่อย…โอ้! พ่อไม่รู้เลยว่าลูกมีอาชีพให้เลือกตั้ง 9 อาชีพเลยเรอะ! สมกับที่เป็นลูกพ่อจริงๆ!”
“…อือ ค่ะ แล้วมีอาชีพที่พ่อแนะนำให้เลือกมั้ยคะ?”
“แน่นอน [จอมยุทธ์] สิลูก! แม้ศัตรูจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับอาวุธในมือ ลูกก็สามารถซัดพวกนั้นร่วงไปได้ด้วยมือเปล่าๆ เลย…เป็นไงล่ะ แบบนั้นมันเท่ระเบิดไปเลยว่ามั้ย?”
นี่ทำให้ฉันได้รู้ว่า แม้อายุจะเกิน 200 ไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะก้าวข้ามชั้น ม.2 ไปได้ อีกอย่าง ฉันไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงเท่ๆ น่ะ
“…คุณแม่ค่า คุณพ่อช่วยอะไรไม่ได้เลยค่ะ”
“อั่กกกก!?”
“ก็เป็นเรื่องปกติหนิลูก”
“อุกกก!?”
แวมไพร์ลอร์ดเลเวล 92 ถึงกับร่วงลงกับพื้นจากการถูกโจมตีด้วยคำพูดจากคนในครอบครัว
อ่า…พ่อซึมสุดๆ ไปเลยแฮะ แต่ฉันคงจะปล่อยเขาไว้ก่อน เพราะมันค่อนข้างน่ารำคาญเวลาพ่อต้องการให้ฉันสนใจเขา
“เอาล่ะ ไหนดูซิ…อืม มันก็ดีหรอกที่มีตัวเลือกอยู่เยอะ แต่มีเยอะเกินไปก็เป็นปัญหาสินะลูก”
“ก่อนอื่นเลย ขอตัด [ชาวไร่], [คนเถื่อน] กับ [นักเต้น] ออกก่อนนะคะ”
“โอเค [ผู้ใช้คุณไสย] ก็ตัดออกด้วยนะ ถึงชื่ออาจจะฟังดูดี แต่ถ้าเกิดต้องสู้กับนักบุญล่ะก็ ไม่มีทางชนะได้เลย”
“ก็จริงนะคะ”
ต่อให้ร่ายคำสาปใส่ก็คงจะถูกชำระล้างทันทีเลยสินะ
“อืม แต่ก็ยังเลือกยากอยู่นะ ถ้าถามแม่ แม่จะแนะนำให้เลือก [ผู้วิเศษ] ดีกว่า แต่…ก็ยากที่จะให้ตัด [นักเวท] หรือ [นักบุญ] ออกไปจากตัวเลือก”
“…คือ หนูยังไม่เลือกอาชีพตอนนี้ก็ได้ใช่มั้ยคะ?”
“ใช่จ๊ะ ถ้าลูกปล่อยทิ้งไว้ยังไม่เลือก ลูกก็สามารถเลือกอาชีพตอนไหนก็ได้ แต่ถ้าเลือกไปแล้วครั้งนึง ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนอาชีพไปอีกสักพักนึง”
“อือฮึ เพราะแบบนั้นหนูเลยคิดว่าหนูจะยังไม่เลือกอาชีพในตอนนี้ค่ะ หนูอยากจะค่อยๆ คิดก่อนแล้วค่อยเลือกอีกทีนึง”
“อาระ~ แบบนั้นเหรอ?…แม่ได้ยินว่าพวกเด็กๆ ในวัยของลูกตื่นเต้นกับการที่จะได้เลือกอาชีพกันมากเลย ลูกมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ดีนะ”
ก็…เพราะฉันมีความทรงจำจากชาติที่แล้วมาด้วยล่ะนะ
“ถ้าอย่างงั้นเอาแบบนั้นก็ได้ เลือกให้เหมาะกับตัวเรา จะได้ไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง…อีกอย่าง เดี๋ยวลูกไปคุยกับคนที่นั่งซึมอยู่ตรงนั้นเพราะตัวเองไม่ได้รับความสนใจด้วยนะ”
พอแม่พูด ฉันเลยหันไป ก็เห็นพ่อนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น
จริงๆ เล้ย แก่จนอายุเกิน 200 ไปแล้วยังเรียกร้องความสนใจอยู่อีก…ไม่สิ เพราะพอเรียกร้องความสนใจมาแล้วไม่มีใครสนใจตัวเองเลย ตอนนี้ก็เลยซึมไปเฉยๆ สินะ ให้ตายสิ ยุ่งยากจริงๆ เลย ถึงนั่นจะเป็นพ่อของฉันเองก็เถอะ
…ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปคุยและปลอบพ่อ คุณพ่อก็ร้องไห้และโผเข้ากอดฉันซะงั้น
เฮ้อ เจ้าพ่องี่เง่าคนนี้นี่ ฉันคงต้องหาทางทำอะไรซักอย่างกับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ซะแล้ว…
TN: ชาติก่อนน้องลีนก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ…