บทที่ 915 มารมรรคาแปดพันล้านล้านตน
‘คนผู้นี้ยึดครองร่างศิษย์ข้าไปแล้ว ยังมาทำนายชะตาอยู่ตรงนี้อีก วางท่าเสียจริง’
หานเจวี๋ยคิดดูหมิ่นอยู่ในใจ
ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยว่า “ศิษย์ของสหายเต๋าคือผู้ใด”
หานเจวี๋ยตอบ “เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้”
ส่วนเหล่าตาน เขาไม่เอ่ยถึง ถึงอย่างไรเรื่องมุ่งหน้าสู่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลก็เป็นเหล่าตานที่เสนอขึ้นมา ยังตัดทิ้งไม่ได้ว่าอาจมีแผนการ
เรื่องเหล่าตานยกให้เหล่าจื่อไปจัดการแล้วกัน
ดวงจิตบรรพกาลยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าค่อนข้างประทับใจในสามคนนี้ คุณสมบัติยอดเยี่ยมโดยแท้ เกรงว่าข้าคงไม่อาจคืนให้สหายเต๋าได้”
หานเจวี๋ยยิ้มแล้วกล่าวไปว่า “สหายเต๋าเอาแต่ใจโดยแท้”
เขาสำแดงความฝันอันธการทันที จากความฝันสู่ความจริง คัดลอกตบะของดวงจิตบรรพกาลมาอย่างรวดเร็ว
ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยอย่างมีนัยลุ่มลึก “จากฝันสู่จริง อริยะสวรรค์เกรียงไกรเลิศล้ำโดยแท้ ดูเหมือนหากข้าอยากถล่มฟ้าบุพกาลให้ราบ คงต้องกำจัดเจ้าก่อน”
หานเจวี๋ยเปิดใช้ยอดสมบัติทั่วร่าง กล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงจ้องจะทำลายมรรคาสวรรค์ให้ได้ กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงเกิดผล ไยเจ้าไม่ไปทวงแค้นเอากับบรรพชนเต๋าเล่า อีกอย่าง มรรคาสวรรค์และแดนบรรพกาลล้วนมีต้นตอเดียวกัน เท่ากับเจ้ากำลังทำลายตัวเองอยู่”
อันที่จริงดวงจิตบรรพกาลเทียบได้กับดวงจิตมรรคาสวรรค์ เพียงแต่ถูกตัดแยกออกไปเท่านั้น
ดวงจิตบรรพกาลหัวเราะ “สหายเต๋ารู้มากเสียจริง เพียงแต่เหตุใดเจ้าถึงไร้เดียงสาขนาดนี้เล่า หรือว่าแสร้งไม่รู้กันแน่ บรรพชนเต๋าผสานรวมกับมรรคาสวรรค์นานแล้ว เขาหายตัวไปเสียที่ไหน เพียงกลายเป็นมรรคาสวรรค์เท่านั้น”
บรรพชนเต๋าอยู่ที่มรรคาสวรรค์หรือ
ดวงจิตบรรพกาลยิ้มหยันเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นความร้ายกาจของอริยะสวรรค์เกรียงไกรหน่อยเถิด!”
เขาพลันยกมือขึ้น ไอดำทั่วร่างกลายเป็นหมอกหนาทึบเข้าท่วมทับหานเจวี๋ย
ในหมอกหนาเปี่ยมด้วยแรงกรรม พลังอาฆาตอันน่าหวาดหวั่น หนาวเหน็บสุดขีด ทันใดนั้นเอง คล้ายจะมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญและคำรามของผีร้ายนับแสนนับล้านแว่วขึ้น
หานเจวี๋ยสำแดงฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรทันที พลังปฐมยุคระเบิดออกมาจากทั่วร่าง กลายเป็นพลังฝ่ามืออหังการ ทำลายล้างหมอกหนาทั้งหมดที่อยู่รอบข้าง
เขาสำแดงมหามรรคข้ามภพ มหามรรคห้วงมิติ หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ตัวเขาที่ทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีจะรวดเร็วปานใดเล่า
“อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่หากเจ้าคิดจะหนีรอดจากข้าไป เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ รอจนข้าสร้างมารมรรคาแปดพันล้านล้านตนขึ้นมาแล้ว ก็จะถึงคราวย่อยยับของมรรคาสวรรค์!”
เสียงของดวงจิตบรรพกาลแว่วอยู่ในหูของหานเจวี๋ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข ราวกับหานเจวี๋ยก็คือบรรพชนเต๋า บรรพชนเต๋าที่เขาอยากล้างแค้น
[ดวงจิตบรรพกาลเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]
หานเจวี๋ยไม่สนใจ มุ่งกลับสู่มรรคาสวรรค์อย่างรวดเร็ว เข้าสู่เขตเซียนร้อยคีรี เคลื่อนย้ายมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เหตุผลที่เขาต้องอ้อมวกวน เพราะกลัวจะชักนำภัยมาสู่จักรวาลดารา
หานเจวี๋ยนั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรก่อนพรูลมหายใจออกมา
ต้องกล่าวเลยว่า ดวงจิตบรรพกาลแข็งแกร่งมากจริงๆ เมื่อครู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันตรายยิ่งนักอย่างหนึ่งขึ้นมา
แต่ก็แค่อันตรายยิ่งนักเท่านั้น!
แรงกดดันยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้สิ้นหวัง!
หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ท้าสู้ดวงจิตบรรพกาล
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น สีหน้าค่อนข้างตึงเครียดอย่างยิ่ง
ดวงจิตบรรพกาลยอดเยี่ยมนัก!
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ได้ประสบกับมารมรรคาแล้ว พลังวิเศษมารมรรคาของดวงจิตบรรพกาลคล้ายกับร่างจำลองเทพมารสามพันวิถี ผสานพลังแห่งมหามรรคที่แตกต่างกันไว้ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงได้หนึ่งพันวิถีเท่านั้น ไม่มากเท่าเขา
สุดท้าย หานเจวี๋ยสังหารดวงจิตบรรพกาลได้สำเร็จ แต่เขาทุ่มพลังทั้งหมดแล้วก็ยังเสียเวลาไปถึงหนึ่งก้านธูป
นี่คือแบบจำลองการทดสอบ ทันทีที่ลงมือดวงจิตบรรพกาลก็ทุ่มพลังทั้งหมดออกมาเลย รู้จักแต่รุกไม่รู้จักถอย
หากเป็นโลกแห่งความจริง ดวงจิตบรรพกาลสามารถถ่วงเวลาไว้อย่างสมบูรณ์ได้ สู้ไม่ไหวก็ถอยซะ ทันทีที่หานเจวี๋ยถูกพัวพัน มารมรรคาแปดพันล้านล้านตนเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้ นั่นคือหมาป่าหลุดเข้าฝูงแกะแล้ว!
หานเจวี๋ยเคยได้ยินว่า ในหมู่มารมรรคาก็มีตัวตนระดับอริยะมหามรรคอยู่เช่นกัน!
ผีเท่านั้นที่รู้ว่ามารมรรคาแปดพันล้านล้านตนจะมีระดับอริยะมหามรรคแฝงอยู่เท่าไร
สิ่งสำคัญที่สุดคือท่าทีของเทพมหาทัณฑ์
หานเจวี๋ยรู้สึกอยู่เสมอว่าเทพมหาทัณฑ์และดวงจิตบรรพกาลเกี่ยวข้องกัน สามารถคาดเดาได้จากบทสนทนาก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขากล่าวกับเทพมหาทัณฑ์ไป มีโอกาสสูงที่จะถูกถ่ายทอดต่อไปยังดวงจิตบรรพกาลด้วย
หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบต่อไป วางแผนหาทางสังหารดวงจิตบรรพกาลในเสี้ยววินาที
หลายวันต่อมา
หานเจวี๋ยเลิกใช้แบบจำลองการทดสอบ ในการสังหารดวงจิตบรรพกาล ระยะเวลาที่เร็วที่สุดก็คือสามสิบลมหายใจเท่านั้น
สาบสิบลมหายใจก็นานเกินไปแล้ว!
เกรงว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงได้!
หากว่าเทพมหาทัณฑ์เข้ามาร่วมวงด้วย เช่นนั้นก็แย่แล้ว
‘ข้าอยากรู้ว่าเหลือเวลาโดยรวมอีกนานแค่ไหนกว่าดวงจิตบรรพกาลจะเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์’
หานเจวี๋ยถามในใจ
เท่าที่ฟังมาจากดวงจิตบรรพกาล คาดว่าคงใช้เวลาอีกสักระยะ
ขอเพียงมีเวลา เขาก็สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งต่อได้
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งร้อยล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ประมาณสองล้านแปดแสนปี]
ไม่นับว่ายาว แต่ก็ไม่นับว่าสั้น
เทียบกับตอนที่ทำนายถึงอันตรายที่ผ่านๆ มาระยะเวลาสั้นกว่ามาก สองล้านแปดแสนปีสำหรับอริยะมหามรรคแล้ว ยากจะมีความก้าวหน้าได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยอดมหามรรคเลย
แต่สำหรับหานเจวี๋ยกลับต่างกันออกไป
ภายในสองล้านแปดแสนปี ก็ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถทะลวงขั้นได้!
หานเจวี๋ยตื่นตัวมีสมาธิ ดวงตาส่องประกายเยียบเย็น
ดวงจิตบรรพกาล เจ้าตายแน่!
หานเจวี๋ยตัดสินว่าต่อไปจะใช้หนังสือแห่งความโชคร้ายมาถ่วงเวลา ต้องพยายามยื้อเวลาให้ได้นานๆ ถึงจะยิ่งมั่นใจ!
….
ณ แดนบรรพกาล ลึกเข้าไปในทะเลสาบ ตำหนักใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่ก้นทะเลสาบ
เทพมหาทัณฑ์มองดวงจิตบรรพกาลที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เอ่ยถาม “อริยะสวรรค์เกรียงไกรแห่งมรรคาสวรรค์กระมัง”
ดวงจิตบรรพกาลตอบว่า “ถูกต้อง เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ สมกับที่มีคุณสมบัติเทพมารฟ้าบุพกาล เทียบกับผานกู่ในกาลก่อนแล้วแข็งแกร่งกว่ามากนัก”
เทพมหาทัณฑ์เอ่ยว่า “เรื่องนี้แน่อยู่แล้ว ผานกู่ผู้นั้นถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์ปราบได้ จะมาเทียบกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้อย่างไร
“เจ้ามีความมั่นใจในการต่อกรกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรจริงๆ น่ะหรือ”
ดวงจิตบรรพกาลจ้องมองเขา กล่าวว่า “ย่อมมีความมั่นใจ เขาแข็งแกร่งจริงๆ แต่มิใช่คู่ต่อสู้ข้าแน่”
เทพมหาทัณฑ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ไว้ชีวิตเขาได้หรือไม่ ให้ร่วมอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่กับพวกเรา”
ดวงจิตบรรพกาลเงียบไป
เทพมหาทัณฑ์กล่าวว่า “หากอยากทำลายรูปการณ์คร่ำครึของฟ้าบุพกาล สร้างกฎระเบียบใหม่ขึ้น อาศัยเพียงเจ้ากับข้ายังไม่แน่ว่าจะทำได้ เจ้าบอกไว้มิใช่หรือว่าเหนือฟ้าบุพกาลยังมีตัวตนลึกลับที่คอยสอดส่องฟ้าบุพกาลอยู่”
“พวกเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่านั่นคือสิ่งใด ก็เพียงพอจะแสดงให้เห็นความห่างชั้นระหว่างพวกเราแล้ว เขาถึงขั้นที่สามารถควบคุมพลังแห่งเจ็ดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดได้ หากได้อริยะสวรรค์เกรียงไกรมาช่วยเพิ่ม พวกเราจะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น”
เขายังคงมีความประทับใจในตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรยิ่งนัก ถึงขั้นที่รู้สึกว่าอาจกลายเป็นสหายรู้ใจได้ ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ดวงจิตบรรพกาลเอ่ยอย่างเฉยเมย “หากเจ้าเกลี้ยกล่อมให้เขายอมสยบได้ ย่อมละเว้นได้ แต่หากเขาจะเฝ้าพิทักษ์มรรคาสวรรค์จนตัวตาย ข้าก็จำเป็นต้องทำให้ตัวเขาตลอดจนมรรควิถีสลายหายเป็นความว่างเปล่า”
เทพมหาทัณฑ์เงียบไป
….
วันเวลาผ่านไปเร็วยิ่ง
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งแสนปี
ภัยพิบัติแดนบรรพกาลยังไม่ได้แพร่กระจายไปในฟ้าบุพกาล ยังมีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น รับรู้ได้ถึงตบะที่เพิ่มขึ้น เขายิ้มออกมาด้วยความพอใจ
มีคุณสมบัติแห่งเทพมารปฐมยุคอยู่ ดวงจิตบรรพกาลไม่อยากตายก็ยากจะเลี่ยงได้แล้ว!
หานเจวี๋ยเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่ารูปประจำตัวของพวกเต้าจื้อจุนทั้งสามยังอยู่ ถึงได้วางใจ
จากนั้น เขาจึงเข้าฝันเทพมหาทัณฑ์
หลายปีก่อน เทพมหาทัณฑ์ขอเข้าฝันเขา แต่ถูกเขาเพิกเฉย หลักๆ คือยุ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ
ไม่อาจแหกกฎดั้งเดิมได้!
ในแดนความฝัน เทพมหาทัณฑ์ลืมตาขึ้น มองหานเจวี๋ย อดที่จะทอดถอนใจกับตัวเองไม่ได้
เป็นวิธีเข้าฝันที่เผด็จการยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่รู้สึกตัวเลย
หากใช้วิธีนี้สังหารศัตรูได้ เช่นนั้นก็น่ากลัวเหลือเกินแล้ว
………………………………………………………………