บทที่ 923 ความน่าเกรงขามของอริยะสวรรค์
วันเดือนเคลื่อนคล้อย ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หนึ่งแสนปีต่อมา หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น
หลังจากหานฮวงและหานชิงเอ๋อร์เที่ยวเล่นอยู่ในห้วงจักรวาลดารานานหลายปีก็กลับมาแล้ว ในระหว่างนี้ พวกเขาได้คบค้าอยู่ร่วมกับเจียงเจวี๋ยซื่อและหลิวเป้ย จักรวาลดาราเริ่มมีสิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้ากลุ่มแรกถือกำเนิดขึ้นแล้ว ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
สำหรับสิ่งมีชีวิตในจักรวาลดวงดาว หานเจวี๋ยไม่สนใจ ยกให้หลิวเป้ยจัดการทั้งหมด
แต่ก่อนเขาคิดจะให้ชิงหลวนเอ๋อร์รับผิดชอบดูแล ผลคือพบว่าชิงหลวนเอ๋อร์ไม่มีความสนใจในด้านนี้เลย ชอบทำตัวลอยชาย ไม่อยากแบกรับภาระมากเกินไป หานเจวี๋ยจึงได้แต่ส่งมอบให้หลิวเป้ยไป
“ฮู่…”
หานเจวี๋ยพรูลมหายใจออกมา จากนั้นลุกขึ้นก่อนเคลื่อนย้ายมายังอารามเต๋าในเขตเซียนร้อยคีรี จากนั้นจึงไปโผล่ยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เข้าสู่ตำหนักเอกภพ
พอเห็นหานเจวี๋ยมาถึง จอมอริยะเสวียนตูก็ถ่ายทอดเสียงหาอริยะคนอื่นๆ เรียกพวกเขามารวมตัว
หานเจวี๋ยนั่งข้างกายจอมอริยะเสวียนตู ทั้งสองเริ่มสนทนากัน
หลังจากเหล่าอริยะมารวมตัว จอมอริยะเสวียนตูถึงได้เริ่มคุยเรื่องงาน
ถึงแม้จะมีอริยะกลุ่มหนึ่งที่ไม่มา แต่อริยะที่มาก็ยังมีจำนวนมากพอดู ยังคงมีจำนวนเกินสี่สิบคนขึ้นไป
“ระยะนี้ แดนบรรพกาลเผชิญสงครามวุ่นวายอยู่ตลอด มีผู้ทรงพลังบุกเข้าโจมตีแดนบรรพกาลเพื่อลูกศิษย์ลูกหาบุตรแห่งสวรรค์จากกลุ่มต่างๆ และมีกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้าไปเรื่อยๆ ในบรรดานั้นมีวังสรรค์แห่งฟ้าบุพกาลและกลุ่มมิ่งด้วย ตามรายงานข่าวที่อริยะผู้รับผิดชอบสอดส่องแดนบรรพกาลส่งกลับมา สามพันปีก่อน มีผู้ทรงพลังลึกลับออกโรง ซัดฝ่ามือผ่าแดนบรรพกาลออกเป็นสองส่วน…”
วาจาของจอมอริยะเสวียนตูดังสะท้อนอยู่ในตำหนัก ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง
หานเจวี๋ยได้ฟังก็นับนิ้วทำนายทันที
แดนบรรพกาลถูกผ่าเป็นสองส่วนจริงๆ แต่ก็ไม่นับว่าเสียหายร้ายแรงนัก พลังลึกลับที่ครอบคลุมแดนบรรพกาลสลายไปแล้ว
จุ๊ๆ
แดนบรรพกาลเผชิญมรสุมแล้ว!
ตอนนี้ฟ้าบุพกาลสงบสุข อีกทั้งเทพมหาทัณฑ์ไม่ได้ประกาศตัวว่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับแดนบรรพกาล ดวงจิตบรรพกาลคิดจะทำลายความสงบสุข รวมฟ้าบุพกาลให้เป็นหนึ่ง ลักพาตัวบุตรแห่งสวรรค์อย่างกำเริบเสิบสาน ย่อมก่อให้สรรพสิ่งฟ้าบุพกาลโกรธเกรี้ยว
เห็นทีว่าฟ้าบุพกาลจะช่วยถ่วงเวลาให้หานเจวี๋ยได้อีกสักระยะหนึ่งแล้ว
ตอนนี้ถึงจะได้ยินจอมอริยะเสวียนตูเล่าให้ดูยิ่งใหญ่ร้ายแรง แต่หานเจวี๋ยคิดว่าแดนบรรพกาลไม่มีทางล่มสลายลงง่ายๆ เช่นนี้
ไม่ช้าก็เร็วมรรคาสวรรค์จะต้องเผชิญหน้ากับแดนบรรพกาล!
รอจนจอมอริยะเสวียนตูเล่าจบ ผานซินก็ชิงร้องด่าออกมาก่อน “แดนบรรพกาลสมควรตายโดยแท้ หวังว่าดวงจิตบรรพกาลยังไม่ทันได้มาล้างแค้น ก็คงถูกกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในฟ้าบุพกาลถล่มจนป่นปี้ไปก่อน!”
เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากว่าดวงจิตบรรพกาลพ่ายแพ้ไปเสียก่อน แล้วอริยะมรรคาสวรรค์เหล่านั้นที่ถูกจับไปสมควรช่วยเหลืออย่างไร”
วาจาของพวกเขาทำให้เหล่าอริยะต้องใคร่ครวญ
เหล่าอริยะมองไปทางหานเจวี๋ย
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในมรรคาสวรรค์คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร เวลานี้ยังคงต้องให้อริยะสวรรค์เกรียงไกรตัดสินใจ
นี่คือเหตุผลที่จอมอริยะเสวียนตูต้องรอให้หานเจวี๋ยมาถึงจะเริ่มคุยได้
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเปิดปากเอ่ย “ให้ข้าไปเถอะ ข้าก็อยากเห็นนักว่าดวงจิตบรรพกาลผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด!”
สายตาเขามองไปที่หานเจวี๋ย
ตอนนี้เขาเข้าร่วมกับมรรคาสวรรค์แล้ว เขารู้สึกว่าตนก็ควรจะแสดงผลงานสักหน่อย อีกอย่าง ระยะนี้การฝึกบำเพ็ญของเขามีความคืบหน้ามหาศาล อยากได้คนมาทดสอบฝีมืออยู่พอดี อยากท้าประลองกับหานเจวี๋ยอีก
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว กังวลว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนจะส่งตัวเองไปตาย
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเห็นเขาขมวดคิ้ว จึงแค่นเสียงกล่าวไปว่า “วางใจเถอะ ข้ามีความมั่นใจนัก!”
หงหยวนป้องปากหัวเราะ “ในเมื่ออริยะเทพอวี๋เจี้ยนมีความมั่นใจ เช่นนั้นก็ให้เขาไปเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้แดนบรรพกาลก็มีผู้ทรงพลังคนอื่นๆ อยู่ด้วย ให้เขาไปโดยเร็ว จะได้ร่วมมือกัน”
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ยังคงพยักหน้ารับ
หากว่าผู้ทรงพลังเหล่านี้สามารถทำลายแผนการของดวงจิตบรรพกาลได้จริงๆ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี
ไม่จำเป็นต้องให้หานเจวี๋ยออกโรงเองทุกครั้งไป
อริยะเทพอวี๋เจี้ยนลุกขึ้นทันที เลือนหายไปจากจุดเดิม
เหล่าอริยะมองหน้ากันเหลอหลา ไม่คิดเลยว่าอริยะเทพอวี๋เจี้ยนบอกจะไปก็ไปเลย
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยว่า “เรื่องแดนบรรพกาลละไว้ก่อนเถิด เรื่องต่อมาที่จะพูดคือเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาล ตอนนี้เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลมีทั้งหมดสามสิบเจ็ดสาย เชื่อมต่อออกไปทั่วสารทิศ มรรคาสวรรค์ก็กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาเขตฟ้าบุพกาลแห่งนี้แล้ว ข้าตัดสินใจว่าจะใช้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ยกระดับตบะของพวกเรา ทำให้ระดับชั้นของแดนเซียนสูงขึ้นไปอีก อริยะจะได้เดินทางท่องดินแดนได้”
พอเอ่ยออกไปเช่นนี้ เหล่าอริยะล้วนแตกตื่นฮือฮา
หลังจากสำเร็จเป็นอริยะมรรคาสวรรค์ ตบะของพวกเขาก็ยากจะก้าวหน้าต่อได้เสมอมา อริยะมรรคาสวรรค์ต้องใช้ผลกุศลมหาศาลถึงจะฝ่าทะลวงได้ แต่ตอนนี้มรรคาสวรรค์สงบสุขทั่วกัน นอกจากเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแล้วที่เพิ่มกุศลได้แล้ว อริยะยังจำเป็นเสียที่ไหน
ฉิวซีไหลเอ่ยถาม “เช่นนี้จะทำให้พลังของมรรคาสวรรค์อ่อนแอลงหรือไม่ แล้วจะทำให้เส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลอ่อนแอลงหรือเปล่า”
จอมอริยะเสวียนตูกล่าวว่า “ใช่จริงๆ แต่ก็แค่ชั่วคราว ในช่วงเวลานี้ ให้ทุกท่านแยกย้ายกันไปปกป้องเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลแต่ละสาย เหตุผลที่ข้าต้องการยกระดับตบะ ไม่ใช่เพื่อตัวข้าและทุกท่านเท่านั้น แต่ทำเพื่อมรรคาสวรรค์ด้วย มรรคาสวรรค์พัฒนาไปเร็วยิ่ง แต่พลังของอริยะมรรคาสวรรค์กลับค่อนข้างอ่อนด้อย พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดี จะคอยพึ่งพาอริยะสวรรค์รวมถึงอริยะมหามรรคทั้งสามท่านให้ออกหน้าอยู่ร่ำไปเช่นนั้นหรือ สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือตั้งใจฝึกบำเพ็ญ มุ่งหน้าสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น มรรคาสวรรค์คือเรือลำหนึ่ง พวกเราขึ้นเรือลำเดียวกันก็ต้องทุ่มพลังไปด้วยกัน”
เหล่าอริยะได้ฟังวาจาเขาก็พยักหน้ารับ
จอมอริยะเสวียนตูมองไปที่หานเจวี๋ย เรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยรู้สึกว่าคำพูดของจอมอริยะเสวียนตูมีเหตุผล อริยะมรรคาสวรรค์อ่อนแอเกินไปจริงๆ
แดนบรรพกาลยังปลีกตัวออกมาไม่ได้พอดี นี่คือโอกาส
เขาพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ยกให้สหายเต๋าเสวียนตูจัดการเองได้เลย”
ต่อให้ระยะนี้จะเกิดเรื่องขึ้นในมรรคาสวรรค์ก็ไม่เป็นไร เขาออกโรงปกป้องได้
หากปกป้องไม่ไหว เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าหานเจวี๋ยเดิมทีก็สามารถทำลายล้างพลังของมรรคาสวรรค์ได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้มรรคาสวรรค์อ่อนแอลง
พอจอมอริยะเสวียนตูได้ฟังก็แอบโล่งใจ
เขากลัวจริงๆ ว่าหานเจวี๋ยจะไม่เห็นด้วย กล่าวคือเขากระดากใจเหลือเกิน
ทำเช่นนี้ค่อนข้างน่าขายหน้าจริงๆ แต่จอมอริยะเสวียนตูไม่อยากรับบทเป็นเพียงผู้ชมทุกครั้งที่ต้องเผชิญมหันตภัย สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เหล่าอริยะวางตัวต่ำกว่าหานเจวี๋ยไปโดยไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วเหล่าอริยะจะกลายเป็นข้ารับใช้หรือลูกน้องของหานเจวี๋ยและสามอริยะมหามรรค
จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยถึงอีกหลายเรื่อง หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว หานเจวี๋ยถึงได้จากไป
หลังจากหานเจวี๋ยจากไป เหล่าอริยะถึงได้ผ่อนคลายลง
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าอริยะสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว”
“ใช่ เขานั่งอยู่ตรงนั้นต่อให้ไม่พูดอะไร ข้าก็รู้สึกแรงกดดันอันเปี่ยมล้น”
“ข้ารู้สึกว่าดวงจิตบรรพกาลมิใช่คู่ต่อสู้ของอริยะสวรรค์เลย”
“ภายหน้าย่อมมิใช่แน่นอน แต่ตอนนี้ยากจะบอกได้ มิเช่นนั้นอริยะสวรรค์คงไม่เร่งเพียรบำเพ็ญหรอก”
“จุ๊ๆ การต่อสู้ระหว่างดวงจิตบรรพกาลและอริยะสวรรค์ต้องสะท้านสะเทือนเป็นประวัติการณ์ กลายเป็นตำนานแน่นอน”
….
หานเจวี๋ยมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารฟ้าบุพกาลในโลกอนธการออกมา ให้มู่หรงฉี่มารับไปดูแลเอง
ก่อนจากไป มู่หรงฉี่รายงานว่าเทพมารขุนพลสวรรค์เตรียมจะมุ่งสู่มหามรรคแล้ว
หานเจวี๋ยพูดคุยกับอู้เต้าเจี้ยนและลี่เหยาหลายชั่วยามถึงได้กลับไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
เขาคำนวณดูระยะเวลาที่เทพมารขุนพลสวรรค์จะทะลวงระดับ จากนั้นถ่ายทอดเสียงหาหานฮวง เมื่อถึงเวลาให้หานฮวงไปรอรับเขา เลี่ยงไม่ให้มีคนมาข่มเทพมารขุนพลสวรรค์ไว้ ขัดขวางไม่ให้ทะลวงระดับ
หานฮวงตอบรับทันที สำหรับเทพมารขุนพลสวรรค์ เขาประทับใจอย่างล้ำลึก พอได้ยินว่าเทพมารขุนพลสวรรค์จะทะลวงระดับ เขาตื่นเต้นยิ่ง ราวกับเป็นตัวเองที่กำลังจะทะลวงระดับ
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญต่อ
สามหมื่นสี่พันกว่าปีให้หลัง
หน้าประตูแห่งมหามรรค เทพมารขุนพลสวรรค์ค่อยๆ เดินเข้ามา
เขามองประตูแห่งมหามรรคที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาฉายแววตื่นเต้น
มหามรรค!
………………………………………………………………