บทที่ 952 ดวงชะตาอมตะ สุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล
ผู้สร้างมรรคาหรือ
หานเจวี๋ยอยากจะหัวเราะออกมา หากมิใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาสอบถามระบบอย่างเร่งด่วนที่สุดว่าสามารถสังหารคนผู้นี้ในเสี้ยววินาทีได้หรือไม่ เขาคงถูกคนผู้นี้หลอกให้ตกใจกลัวจริงๆ
จากนั้นเขาก็เสียอายุขัยไปร้อยล้านล้านปีถึงได้ทราบว่าสามารถสังหารอีกฝ่ายในเสี้ยววินาทีได้ นี่แปลว่าอีกฝ่ายยังมิใช่ผู้สร้างมรรคาอย่างแท้จริง
คนผู้นี้ลำพองตัวไปแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่เคยได้พบปะกับผู้สร้างมรรคาตัวจริงมาก่อน ทันทีที่ตบะเพิ่มสูงอย่างฉับพลันจึงทำให้ตัดสินผิดพลาดไปได้ง่ายๆ
“อริยะสวรรค์เกรียงไกร เจ้าเคยได้ยินเรื่องของผู้สร้างมรรคาหรือไม่ ผู้สร้างมรรคก็คือผู้ที่สรรค์สร้างทุกสรรพสิ่ง ไม่ยอมให้กฎเกณฑ์แห่งฟ้าบุพกาลมาผูกมัด สามารถเดินทางท่องไปในดินแดนเวิ้งว้างแห่งอย่างอิสระเสรี อยู่ที่นี่ เจตจำนงฟ้าบุพกาลก็ไม่อาจทำอันตรายผู้สร้างมรรคาได้เช่นกัน!”
เซียนพเนจรชูสองแขนขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าลุ่มหลงดื่มด่ำ
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เช่นนั้นการที่ข้าสามารถมาเดินเล่นที่นี่ได้ ไม่นับเป็นผู้สร้างมรรคาเช่นกันหรอกหรือ”
พอเซียนพเนจรได้ฟังก็มีสีหน้าแข็งทื่อไป
หานชิงเอ๋อร์อดขำไม่ได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อ ท่านทำคนเขาตกใจเสียแล้ว!”
เจียงเจวี๋ยซื่อและหานฮวงก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
เซียนพเนจรเอ่ยเยาะเย้ย “ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ลงมือเถิด ให้ข้าได้รับรู้ถึงพลังของอริยะสวรรค์เกรียงไกรสักหน่อย!”
เงาสลัวร่างแล้วร่างเล่าผุดขึ้นมาเหนือศีรษะหานเจวี๋ย จากนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นี่คือวิชาผสานร่างจำลอง
เซียนพเนจรก็ไม่ได้รีบร้อนลงมือ แต่เรียกหยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวชิ้นหนึ่งออกมา มีประกายแสงแผ่ออกมาจากหยกชาดชิ้นนี้ แช่แข็งดินแดนเวิ้งว้างแห่งนี้ไว้
เขาไม่ต้องการให้หานเจวี๋ยหนีรอดไปได้!
เซียนพเนจรชูสองแขนขึ้นมา ร่างกายพลันระเบิดออก กลายเป็นปราณสีม่วงนับไม่ถ้วน เงาร่างมากมายดิ้นรนจะออกมาจากกลุ่มปราณสีม่วง พยายามตะเกียกตะกายออกมาด้านนอกอย่างสุดกำลัง น่าหวาดหวั่นขวัญผวา
ปราณม่วงแปรสภาพเป็นเงาร่างใหญ่มหึมาน่ากลัวสูงนับสิบล้านจั้งร่างหนึ่ง อยู่ในรูปลักษณ์ของเซียนพเนจร ไม่มีสองเศียรอีกต่อไป มีเพียงหัวของเซียนพเนจรเท่านั้น ส่วนชิงเทียนเสวียนจีไปปรากฏอยู่ที่บริเวณทรวงอกของร่างปราณม่วงใหญ่มโหฬารแทน เขาแตกต่างจากเงาร่างอื่นๆ ที่ดิ้นรนเอาตัวรอด ดวงตาเขาปิดสนิทราวกับตกอยู่ในห้วงนิทรา ร่างกายผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในระลอกปราณม่วง
หยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวชิ้นนั้นลอยสูงขึ้นไป ประทับเข้าที่หว่างคิ้วของเซียนพเนจร ดูราวกับเขามีดวงตาที่สามงอกเพิ่มขึ้นมา
“เขากำลังจะทำอะไร”
หานชิงเอ๋อร์ถามด้วยความกระวนกระวาย
หานเจวี๋ยไม่ตอบ เขาคร้านจะสนใจการกระทำของเซียนพเนจรแล้ว
นับว่าให้เวลาเขาได้ผสานรวมกับร่างจำลองเทพมารพอดี
เขายืนขวางอยู่หน้าคลื่นวนสีดำ ป้องกันไม่ให้เซียนพเนจรแทรกซึมเข้าสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
“ฮ่าๆๆ อริยะสวรรค์เกรียงไกร สัมผัสได้หรือไม่ กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่นี้ นี่คือพลังมรรคของผู้สร้างมรรคาอย่างไรเล่า ข้าชื่นชมในตัวเจ้ายิ่ง แต่น่าเสียดาย เจ้าเป็นตัวประหลาด เจตจำนงแห่งสรรพสิ่งต้องการสังหารเจ้า ข้าก็เก็บเจ้าไว้ไม่ได้เช่นกัน
“ตายเสียเถอะ!”
เซียนพเนจรหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ซัดฝ่ามือเข้าใส่หานเจวี๋ย ร่างใหญ่นับสิบล้านจั้งกลายเป็นพายุหมุนสีม่วง กวาดม้วนเข้าหาหานเจวี๋ย ซากศพรอบข้างสลายเป็นเถ้าธุลีไปในชั่วพริบตา
เจียงเจวี๋ยซื่อและหานฮวงมีสีหน้าตื่นตระหนก ส่วนหานชิงเอ๋อร์หน้าซีดไปแล้ว
แรงกดดันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง!
พวกเขาไม่เคยสัมผัสถึงพลังที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้มาก่อน!
กลิ่นอายนี้แกร่งกล้ายิ่งกว่าตอนที่หานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้เสียอีก!
พวกเขาอดมองไปทางหานเจวี๋ยไม่ได้
หานเจวี๋ยหันหลังให้พวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะมีพายุโหมกระโชกกวาดม้วนเข้ามาเช่นไร ร่างกายเขาก็ไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ จิตใจของทั้งสามผ่อนคลายลง
มีหานเจวี๋ยคอยขวางอยู่ด้านหน้าเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง
“โอหัง!”
เสียงของหานเจวี๋ยแว่วดังขึ้นมา น้ำเสียงต่างไปจากก่อนหน้านี้ เย็นชาและเข้มงวดอย่างยิ่ง ทั้งยังเปี่ยมด้วยเจตนาสังหารสุดขีด
ร่างจำลองเทพมารสามพันตนผสานรวมกับพลังปฐมยุค ตราปฐมยุคประทับนภาก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย
ปฐมยุคประทับนภาแผ่แสงสีแดงฉานไร้สิ้นสุดออกมา แผ่ขยายออกไปด้านหน้าอย่างไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้
เร็วมาก!
พวกเจียงเจวี๋ยซื่อรู้สึกเพียงว่าเห็นแสงสีแดงพุ่งออกไปด้านหน้า จากนั้นพายุปราณม่วงที่น่าหวาดกลัวนั้นพลันระเบิดกระจายออกไปในชั่วพริบตา ทุกอย่างที่ลอยอยู่ด้านหน้าสลายหายไปทันที เหลืออยู่เพียงความว่างเปล่าขาวโพลนในดินแดนเวิ้งว้าง
ปฐมยุคประทับนภาพัดกวาดผ่านไป เซียนพเนจรเหลืออยู่เพียงเศียรเดียวแล้ว
บุตรแห่งสวรรค์เหล่านั้นที่ถูกเขาผสานร่างล้วนถูกปฐมยุคประทับนภาดูดตัวไปจนหมดสิ้น
เซียนพเนจรเบิกตากว้าง ใบหน้าสั่นกระตุก ริมฝีปากก็สั่นระริก
“เป็นไปได้อย่างไร…
“ข้าคือผู้สร้างมรรคาเชียวนะ…
“เป็นไปไม่ได้…”
เซียนพเนจรเอ่ยเสียงสั่นมีสีหน้าไม่อยากจะเชี่อ
พอเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ จิตใจของพวกเจียงเจวี๋ยซื่อพลันชื่นมื่นยิ่งนัก
หานชิงเอ๋อร์ยิ้มพลางเอ่ยไปว่า “ผู้สร้างมรรคาอย่างนั้นหรือ ก็เท่านี้เองสินะ”
นางเอ่ยเยาะเย้ยเซียนพเนจรอย่างไม่ไยดี
เซียนพเนจรโมโหยิ่ง ดวงตากลายเป็นสีแดงฉาน ร้องด่าว่า “เจ้ากล้ามาหยามเกียรติข้า! รนหาที่ตาย!”
เขาควบรวมกายเนื้อขึ้นใหม่อีกครั้ง ยกมือขึ้นคว้าหยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่อยู่บนหน้าผากลงมา บีบให้แตกทันที หยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวกลายเป็นละอองมากมายนับไม่ถ้วนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายเขา
ทันใดนั้นเขาพลันเลือนหายไป หานชิงเอ๋อร์รู้สึกเพียงว่ามีเจตนาสังหารแรงกล้าโจมตีเข้ามา นางตกใจจนดวงหน้างามซีดเผือด
หานเจวี๋ยพลันชูมือขวาขึ้น เซียนพเนจรเผยร่างออกมาทันที ถูกมือขวาของเขากุมลำคอเอาไว้
“เจ้า….”
เซียนพเนจรเบิกตากว้าง ตระหนกอยู่ในใจ กัดฟันถามออกไป “เจ้าก็เป็นผู้สร้างมรรคาเช่นนั้นหรือ พลังเวทของเจ้า…”
หานเจวี๋ยปรายตามองเขา เอ่ยไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้สร้างมรรคาเป็นแบบไหน ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไม่ควรมาทำร้ายบุตรธิดาและลูกศิษย์ของข้า ยิ่งไม่สมควรจับตัวชนรุ่นหลังในฟ้าบุพกาลไปด้วย อีกอย่างข้าก็ไม่ทราบถึงนามของเจ้าเช่นกัน แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเลย”
ตูม!
เซียนพเนจรพลันระเบิดสลายเป็นหมอกควัน ปฐมยุคประทับนภาสายหนึ่งพลันลอยออกมาจากฝ่ามือของหานเจวี๋ย ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากมองเผินๆ จะดูเหมือนเซียนพเนจรถูกปฐมยุคประทับนภาบดขยี้เป็นชิ้นๆ ทำให้พวกเจียงเจวี๋ยซื่อตกใจจนตัวสั่น
หานเจวี๋ยมือไม้ว่องไว เก็บหยกชาดจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่เพิ่งกลับสู่สภาพเดิมเข้าไปทันที
นี่คือสุดยอดสมบัติเชียวนะ ต้องเก็บไว้แน่นอน!
หานเจวี๋ยเหลือบมองพวกเจียงเจวี๋ยซื่อ ใช้พลังปฐมยุคเคลื่อนย้ายพวกเขาเข้าสู่คลื่นวนสีดำ ส่งกลับไปที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม
จากนั้นก็เขาไปที่หน้าคลื่นวนสีดำ เตรียมจะเดินทางกลับ
“อริยะสวรรค์โปรดหยุดก่อน!”
เสียงหนึ่งแว่วลอยเข้ามา
หานเจวี๋ยปรายตามอง เงาร่างใหญ่มหึมาร่างหนึ่งถลาเข้ามา
นั่นคือ….
เทวีตราวินัย!
หานเจวี๋ยมีความทรงจำเกี่ยวกับนางค่อนข้างลึกล้ำ ดวงจิตโบราณที่ปกครองอยู่เหนือเหล่าดวงจิตมหามรรค เคยทะลวงเกราะป้องกันของมรรคาสวรรค์ด้วยวารีหยดเดียว ยามนั้นทำเอาเขาตกใจยิ่ง
“สหายเต๋าคือผู้ใดหรือ”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม แม้ว่าจะทราบอยู่แล้วก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้
เทวีตราวินัยหยุดลงพลางเปิดปากเอ่ย “ข้าคือดวงจิตมหามรรคฟ้าบุพกาล นามเทวีตราวินัย มุ่งหน้ามาครานี้บังเอิญเห็นอริยะสวรรค์ทำลายล้างเซียนพเนจรพอดี ข้าอยากคุยเรื่องเซียนพเนจรกับเจ้าเล็กน้อย เซียนพเนจรยังไม่ตาย”
เซียนพเนจรหรือ
เป็นนามของเจ้าคนเมื่อครู่กระมัง
หานเจวี๋ยถาม “เช่นนั้นเขาไปหลบอยู่ที่ใด”
เขาไม่ได้รับแจ้งเตือนความเกลียดชังจากเซียนพเนจรและสัมผัสถึงกลิ่นอายของเซียนพเนจรไม่ได้ จึงนึกว่าอีกฝ่ายดับสูญไปแล้ว
เทวีตราวินัยกล่าวว่า “เดิมทีเซียนพเนจรเคยเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกของฟ้าบุพกาล แต่เขาได้สละพลังมรรคเพื่อความเป็นอมตะมิวางวาย ผสานรวมกับเจตจำนงฟ้าบุพกาล มีชะตาเป็นอมตะหลุดพ้นมีเสรี เมื่อกาลเวลาผันผ่านไปในแต่ละยุคสมัยเขาถึงจะปรากฏตัวขึ้น การปรากฏตัวของเขาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลกำลังจะฟื้นตื่นขึ้นมา ข้าเดาว่าเจตจำนงฟ้าบุพกาลจะพุ่งเป้ามาที่เจ้า ครั้งก่อนที่เจตจำนงฟ้าบุพกาลฟื้นตื่นขึ้นมาได้ทำให้บรรพชนเต๋ากลายเป็นศัตรูของสรรพสิ่งทั้งปวง”
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เทวีตราวินัยเอ่ยต่อว่า “ข้าอยากจะเตือนให้อริยะสวรรค์ทราบไว้ เจตจำนงฟ้าบุพกาลเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่อาจเผชิญหน้าตรงๆ ได้ ผานกู่และบรรพชนเต๋าแห่งมรรคาสวรรค์ล้วนเคยพ่ายแพ้มาแล้ว”
หานเจวี๋ยหรี่ตาลงพลางเอ่ยถาม “หรือว่าในอดีตกาลที่ผานกู่เผชิญการปิดล้อมโจมตีจากเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตนก็เป็นเพราะเจตจำนงฟ้าบุพกาล”
“ถูกต้อง ถึงแม้ตอนนั้นผานกู่จะยังไม่บรรลุสู่ระดับมหามรรค แต่เจตจำนงฟ้าบุพกาลจะพุ่งเป้าไปยังสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาลเท่านั้น บางคนก็ดับสูญไป บางคนก็ยอมสยบให้” เทวีตราวินัยเอ่ยตอบ น้ำเสียงเรียบเฉยไร้ระลอกอารมณ์
………………………………………………………………