บทที่ 970 กองทหารจักรพรรดิหนึ่งหมื่นนาย
ดาวจักรพรรดิอนธการหรือ
เปลือกตาหานเจวี๋ยกระตุกเล็กน้อย ดูเหมือนจะยอดเยี่ยมอยู่บ้าง
เขาตรวจสอบข้อมูลของหานหลิงอย่างละเอียด ดาวจักรพรรดิอนธการเป็นเพียงมหาโชคประเภทหนึ่งเท่านั้น มิใช่สายเลือด แต่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติชะตาอนธการ
พิจารณาจากจุดนี้แล้ว ถึงแม้ในยุคอนธการจะมีเทพมารอนธการเพียงตนเดียว แต่ก็เคยมีสิ่งมีชีวิตอนธการ มิเช่นนั้นคงไม่มีฟ้าบุพกาลทั้งเก้าถือกำเนิดขึ้น
หานเจวี๋ยจ้องมองบุตรสาวของตน รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวคนหนึ่งจะได้รับมหาโชคจักรพรรดิแต่กำเนิด
เนื่องจากหานหลิงเป็นคนเก็บตัวไม่ชอบพูด หานเจวี๋ยจึงเมตตาเอ็นดูนางยิ่ง ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป นับว่าทำถูกยิ่งนัก
หากเขาหมางเมินหานหลิง หลังจากหานหลิงได้รับมหาโชคไปอาจจะเข้าสู่เส้นทางชั่วร้ายก็เป็นได้
ผู้เป็นจักรพรรดิมักจะเกิดความหวาดระแวงได้ง่าย
พลังวิญญาณในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเริ่มถูกดึงดูดเข้าสู่ร่างของหานหลิง
หานหลิงในอาภรณ์สีขาวมีบุคลิกบริสุทธิ์หลุดพ้นโลกีย์อย่างยิ่ง นางรับสืบทอดรูปโฉมจากหานเจวี๋ย ดวงหน้างามล่มเมือง แต่สีหน้าและบุคลิกเยือกเย็น มีปราณสีม่วงพันพัวร่าง ลวดลายสีม่วงสายหนึ่งค่อยๆ รวมตัวกันที่หว่างคิ้วของนาง
เวลาผ่านไปหลายปีหานหลิงถึงได้ตื่นขึ้นมา
หลายปีมานี้ตบะของนางบรรลุถึงระดับเซียนทองอย่างรวดเร็ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเหยียบย่างสู่ระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว
นางลืมตาขึ้น รับรู้ได้ถึงความพิเศษในร่างกาย ในใจนึกปรีดา แต่ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างกังวล
นางมองผู้เป็นบิดา เอ่ยถามเสียงค่อย “ท่านพ่อ ดูเหมือนข้าจะเกิดความผิดปกติขึ้นเจ้าค่ะ”
หานเจวี๋ยตอบโดยไม่ลืมตาขึ้น “นั่นคือโชคของตัวเจ้าเอง ตระหนักรับรู้ให้ดี ไม่จำเป็นต้องกังวล นับจากนี้ไปเจ้าจะร่วมปิดด่านไปพร้อมกับพ่อ ปิดด่านแต่ละครั้งมีกำหนดหนึ่งแสนปี”
หนึ่งแสนปี!
หานหลิงมีสีหน้าตกใจ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ยอมรับการจัดการนี้โดยปริยาย
….
เหนือฟ้าบุพกาล ดวงจิตมหามรรคมากมายมารวมตัวกันที่นี่ เทวีตราวินัย เทพมหาทัณฑ์และห้าเทวทัณฑ์ก็มาด้วย
มหามรรคสามพันวิถีมีอาการผิดปกติมาหลายปี ในที่สุดก็สงบลง
เทพมหาทัณฑ์มองเทวีตราวินัยพลางเอ่ยถาม “เทวีทำนายพบสิ่งใดหรือไม่”
เทวีตราวินัยตอบว่า “พบผู้มีชะตามหาโชคแต่กำเนิดมาจุติ ส่วนรายละเอียดที่ว่าเป็นผู้ใดหรืออยู่ที่ไหน ข้าทำนายไม่ได้”
วาจานี้เป็นเหตุให้เหล่าดวงจิตมหามรรคเริ่มพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“หลายปีมานี้มิใช่เพียงอริยะมหามรรคที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บุตรแห่งสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน”
“ดูเหมือนอริยะสวรรค์เกรียงไกรจะไม่ใช่กรณียกเว้นเสียแล้ว เขาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเปิดฉากยุคสมัยใหม่ขึ้นเท่านั้น”
“พวกเราต้องคอยตรวจสอบอาณาเขตต่างๆ ให้ดี จะต้องตามตัวผู้มีชะตามหาโชคเหล่านี้มาให้ได้”
“ถูกต้อง”
“น่าเสียดาย เด็กคนนี้พลาดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลครั้งแรกไปเสียแล้ว”
หานทั่วและอี๋เทียนก็กำลังพูดคุยกันอยู่
อี๋เทียนกล่าวอย่างสะท้อนใจ “คนเก่งกาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้องชายเจ้ามีคู่ต่อสู้แล้ว”
ตอนนี้หานฮวงได้ชื่อว่าเป็นยอดบุตรแห่งสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งฟ้าบุพกาลแล้ว เสรีแต่กำเนิด ยามนี้สูงส่งเป็นถึงอริยะมหามรรค หากว่ากันในแง่คุณสมบัติแล้วไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย แม้แต่อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็ไม่เว้น
หานทั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องดี ต้องมีการแข่งขันบ้างถึงจะไม่เกียจคร้านหย่อนยาน”
อี๋เทียนยิ้มแล้วถามว่า “สตรีก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ถูกใจจริงๆ น่ะหรือ”
สามเทวทัณฑ์ที่เหลือก็เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาเช่นกัน
หานทั่วถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ข้าไม่มีใจใฝ่หารัก อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ส่วนทางท่านพ่อของข้านั้น ข้าจะไปขอขมาเขาเอง”
อีกด้านหนึ่ง
เทพมหาทัณฑ์ถ่ายทอดคำสั่งสองสามประโยคก็หายตัวไป ส่วนเทวีตราวินัยก็จากไปเช่นกัน
หลังจากมหามรรคสามพันวิถีสงบลง เหล่าดวงจิตมหามรรคย่อมไม่มีเหตุผลที่ต้องอยู่ต่ออีก อย่างไรก็ตามข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วฟ้าบุพกาล เมื่อผู้ทรงพลังในอาณาเขตต่างๆ ล้วนทราบแล้วว่ามีบุตรแห่งสวรรค์ผู้เลิศล้ำคนหนึ่งที่คุณสมบัติไม่อ่อนด้อยไปกว่าหานฮวงปรากฏตัวขึ้นแล้ว
ข่าวแว่วไปถึงวังสวรรค์ด้วยเช่นกัน
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมาหาหานฮวง เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
หานฮวงเอ่ยอย่างดูแคลน “ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้ ข้าก็อยากเห็นนักว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน รอจนเขาเติบใหญ่ขึ้นมา ข้าจะไปท้าประลองเขาด้วยตัวเอง!”
ขาดอีกเพียงก้าวเดียวหานฮวงก็จะบรรลุสู่ยอดมหามรรคแล้ว รัศมีอำนาจในปัจจุบันนี้แกร่งกล้ากว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายด้วยซ้ำ มิใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนเช่นในวันวานอีกต่อไป
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยิ้มออกมา รู้นิสัยของหานฮวงดี ได้แต่ไว้อาลัยแก่บุตรแห่งสวรรค์ลึกลับคนนั้นเงียบๆ
“บิดาเจ้ากล่าวว่าต้องการหาคู่วิวาห์ให้เจ้า องค์หญิงจิ่วหลงธิดาของเราเป็นอย่างไรบ้าง นางสืบสายเลือดจากเรา ซ้ำยังกราบอริยะมหามรรคเป็นอาจารย์ คุณสมบัติของนางก็ไม่นับว่าด้อยเลย ยามนี้อยู่ห่างการพิสูจน์มรรคผลเบิกฟ้าไม่ไกลแล้ว ในแง่ของรูปโฉมก็นับว่าเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่พระธิดาของเรา” จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หานฮวงขมวดคิ้ว
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “เจ้าก็เติบใหญ่แล้ว สมควรสืบทายาทขยายตระกูลหานได้แล้ว นี่คือคำพูดของบิดาเจ้า ถึงอย่างไรนับตั้งแต่พี่ใหญ่เจ้าสูญเสียภรรยาไปในปีนั้น ชีวิตนี้ก็ไม่คิดแต่งภรรยาอีก หากว่าเจ้าปฏิเสธ ตระกูลหานคงไร้คนสืบทอดแล้ว”
หานฮวงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยในความหวังดีของฝ่าบาท องค์หญิงจิ่วหลงยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ข้าไม่ต้องการสตรี ข้าไม่อยากมีตัวถ่วง”
แววตาของเขาเด็ดเดี่ยวยิ่ง
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ต่อให้ไม่อยากมีตัวถ่วง แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องมีสตรีสักคนกระมัง นี่คือเรื่องธรรมชาติของมนุษย์”
หานฮวงขมวดคิ้วแน่น “ไม่ต้องการพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พูดกันตามจริง ในสายตาข้าสตรีไร้ซึ่งแรงดึงดูด เว้นแต่คนในครอบครัวตนแล้ว ในสายตาข้าสรรพสิ่งล้วนเป็นพวกระดับต่ำ การพูดคุยคลุกคลีกับพวกเขาทำให้ข้าอึดอัดนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำเรื่องอย่างว่าเลย…”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตะลึงงัน
หานฮวงลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าเตรียมจะช่วยท่านเผด็จศึกดินแดนขนาดใหญ่ที่อยู่ในละแวกวังสวรรค์แล้ว คอยก่อนเถิด!”
พอกล่าวจบ เขาก็กลายเป็นลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไป พริบตาเดียวก็หายลับไปนอกประตูใหญ่ของตำหนักแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแน่น พึมพำว่า “หรือว่าเด็กคนนี้จะมีปัญหา”
ไม่ได้การแล้ว!
ต้องคิดหาทางแก้!
หากว่าหานฮวงเบี่ยงเบนไป เขาคงสู้หน้าหานเจวี๋ยไม่ได้
….
หนึ่งแสนปีต่อมา
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น มองหานหลิงที่อยู่ข้างกาย
ตลอดระยะเวลาหนึ่งแสนปีเต็ม สองพ่อลูกไม่ได้คุยกันเลย หากเปลี่ยนเป็นหานชิงเอ๋อร์คงเป็นบ้าไปนานแล้ว แต่นิสัยของหานหลิงมีความอดทนมากอยู่แล้ว
เพิ่งอายุเต็มสิบแปดก็เริ่มปิดด่านแสนปี ไม่มีผู้ใดทนรับไหว
หานเจวี๋ยพอใจในทัศนคติของหานหลิงยิ่ง
หานหลิงพึ่งพามหาโชคดาวจักรพรรดิอนธการพิสูจน์มรรคผลเบิกฟ้าแล้ว
หานหลิงรับรู้ได้ถึงสายตาของบิดาจึงลืมตาขึ้น มีสีหน้าดีใจ
“ท่านพ่อ…”
หานหลิงเอ่ยเรียกเบาๆ
หานเจวี๋ยยื่นมือไปลูบเรือนผมยาวสลวยของบุตรสาว เอ่ยยิ้มๆ “ทำได้ไม่เลวเลย พ่อพอใจมาก”
หานหลิงยิ้มแย้มเบิกบาน นางยกมือขึ้นมา เงาร่างสีม่วงร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างกายนาง
“ท่านพ่อ ข้าค้นพบว่าทุกครั้งที่ฝ่าระดับขั้นเล็กๆ สำเร็จ จะมีทหารจักรพรรดิเช่นนี้ปรากฏขึ้นในวิญญาณเจ้าค่ะ มีพลังเทียบเท่ากับข้า ตอนนี้ในส่วนลึกของวิญญาณข้ามีกองทหารจักรพรรดิหนึ่งหมื่นรายแล้วเจ้าค่ะ” หานหลิงอธิบาย ถึงแม้เสียงยังคงเบายิ่ง แต่กลับปกปิดความภาคภูมิใจในน้ำเสียงไว้ไม่มิด
กองทหารจักรพรรดิหนึ่งหมื่นนายอย่างนั้นหรือ
หานเจวี๋ยตกใจ
เขาพินิจดูทหารจักรพรรดิอย่างละเอียด พบว่าถึงแม้ทหารจักรพรรดิจะเทียบได้กับอริยะ แต่ไม่มีพลังเวทลึกล้ำไร้สิ้นสุดเช่นเดียวกับอริยะ มีเพียงพลังทำลายล้างระดับอริยะเท่านั้น ไม่มีรากฐานของอริยะ
ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี
สวรรค์ประทานโชคค่อนข้างยอดเยี่ยมนัก
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “กองทหารจักรพรรดินี้ต้องปกปิดให้ดี ถ้าไม่ถึงคราวคับขันอย่าได้เผยออกมา ทันทีที่เผยออกมาจะต้องสังหารศัตรูให้สิ้น”
สังหารหรือ
หานหลิงตกใจ นางไม่เคยพบคนนอกด้วยซ้ำ ย่อมไม่เคยนึกถึงเรื่องสังหารศัตรู
หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “มาเถอะ พ่อจะพาเจ้าออกไปเที่ยวเล่น เลี่ยงไม่ให้วันหน้าพอเจ้าออกท่องฟ้าบุกาลแล้วเผชิญเหตุไม่คาดฝันเข้า”
หานหลิงลุกขึ้นมาเช่นกัน แต่นางกลับเอ่ยไปว่า “หลิงเอ๋อร์ยินดีฝึกบำเพ็ญอยู่ข้างกายท่านพ่อไปตลอดกาลเจ้าค่ะ หาได้อยากออกไปท่องฟ้าบุพกาลไม่”
………………………………………………………………