บทที่ 984 เอะอะโวยวาย
ขุนพลพินาศหนึ่งแสนคน!
พวกเต้าจื้อจุนหน้าเปลี่ยนสี แค่คนเดียวก็ทำให้พวกเขาขวัญผวาได้ แล้วขุนพลพินาศหนึ่งแสนคนจะแข็งแกร่งปานใดเล่า
ในใจพวกเขาเปี่ยมความด้วยกริ่งเกรง
ตอนแรกที่พวกเขาร่วมมือกับเทวาที่หนึ่ง เป็นเพราะเทวาที่หนึ่งมีปัญญาตื้นเขิน แต่ยิ่งเวลาผ่านนานไป พวกเขาก็เดาใจของเทวาที่หนึ่งไม่ออกแล้ว ตอนนี้ยิ่งได้เห็นว่าพลังห่างชั้นเทียบเทวาที่หนึ่งไม่ติดเช่นกัน นี่มิใช่เรื่องดีเลย!
ขุนพลพินาศรวมตัวทั่วท้องนภาบดบังท้องฟ้าและดวงตะวัน แผ่คลุมฟ้าดินแรงกดดันน่าหวาดหวั่น
เทวาที่หนึ่งมองไปที่เต้าจื้อจุน เอ่ยว่า “ข้าได้ครอบครองพลังเช่นนี้ หากว่าทุกท่านชักจูงบุตรแห่งสวรรค์ฟ้าบุพกาลมาได้ วันหน้าต้องเกรียงไกรในฟ้าบุพกาลแน่นอน ข้าขอรับรองว่า หลังจากผงาดขึ้นในฟ้าบุพกาล โลกมหามรรคอวิชชาจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์ อีกทั้งทุกท่านจะได้เป็นผู้ปกครองโลกมหามรรคอวิชชาด้วย สิ่งที่ข้าปรารถนาคือต้องการให้โลกมหามรรคอวิชชาได้รับอิสระจะได้ฝึกบำเพ็ญอย่างสบายใจ
“ส่วนเรื่องอำนาจข้าไม่สนใจ แต่ฟ้าบุพกาลสะกดโลกมหามรรคอวิชชาไว้ ทำให้การฝึกบำเพ็ญของข้าถูกปิดกั้นอย่างร้ายแรง ข้าคือสิ่งมีชีวิตแรกของโลกมหามรรคอวิชชา ดวงชะตาเชื่อมโยงผูกกับโลกมหามรรคอวิชชา”
น้ำเสียงเทวาที่หนึ่งสงบนิ่งยิ่งนัก แต่ในมุมมองของตัวเขานับเป็นการแสดงความจริงใจของตนอย่างยิ่งแล้ว
จ้าวเซวียนหยวนผายมือพลางเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าพูดถูกแล้ว พวกเราเองก็คิดเช่นนี้ ให้ขุนพลพินาศเหล่านี้ล่าถอยไปเถอะ”
เขาแสร้งทำเป็นสุขุม แต่ลอบเหงื่อตกอยู่ในใจ
เทวาที่หนึ่งโบกมือทันที ขุนพลพินาศทั้งหมดมุดกลับลงไปใต้ดินอีกครั้ง หายลับไป เหลือเพียงฝุ่นดินที่ลอยปกคลุมฟ้าดิน
เทวาที่หนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่ สนทนาปราศรัยกันอยู่สักพักก็จากไป
หลังจากกลิ่นอายของเขาเลือนหายไป จ้าวเซวียนหยวนพรูลมหายใจออกมา เอ่ยงึมงำว่า “คนผู้นี้ทำให้คนเดาทางไม่ออกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
สีหน้าเต้าจื้อจุนตึงเครียดอย่างยิ่ง
เขากำลังคิดว่าหากอำนาจป้องกันสูงสุดของเขาเผชิญหน้ากับขุนพลพินาศหนึ่งแสนคน จะมีโอกาสชนะหรือไม่
เจียงอี้แค่นเสียงกล่าว “ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาไม่น่าไว้ใจ”
เหล่าตานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ มองจากปัจจุบันนี้ เขาก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามพวกเรา ซ้ำยังมอบโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้พวกเรา”
ในใจเขามิได้คิดเช่นนี้เลย แต่เพราะกลัวเทวาที่หนึ่งจะได้ยิน ดังนั้นจึงจงใจเอ่ยถ้อยคำดีๆ
เต้าจื้อจุนนั่งลงอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ เป็นผู้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคเหมือนกัน พวกเราอย่าปล่อยให้เขาทิ้งห่างไปได้!”
จ้าวเซวียนหยวนนึกถึงขุนพลพินาศเมื่อครู่นี้ สีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมา
เขานึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่พอเทียบกับเทวาที่หนึ่งแล้วอ่อนด้วยกว่ามากเหลือเกิน
หากขุนพลพินาศเข้าปิดล้อมเขา แค่คิดเขาก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว
เวลานี้ จู่ๆ เขาก็นึกถึงหานเจวี๋ย ท่านอาจารย์ของตนขึ้นมา
ตอนที่หานเจวี๋ยเผชิญหน้ากับขุนพลศักดิ์สิทธิ์สองหมื่นคนจะคิดอย่างไรกันนะ
เฮ้อ
ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้อาจารย์ของเขาแข็งแกร่งมากเพียงใด
จ้าวเซวียนหยวนคิดไปคิดมาก็เริ่มใจลอย
….
หลังสอดส่องฟ้าบุพกาลเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็เริ่มตรวจดูจดหมาย
เขาพบว่าพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่มีแจ้งเตือนถี่ยิ่ง ล้วนเกี่ยวข้องกับโชควาสนาทั้งสิ้น ดูเหมือนพวกเขากำลังรุ่งโรจน์โบยบินจริงๆ
นอกจากพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่แล้ว หานทั่ว หานฮวง เจียงเจวี๋ยซื่อ หานอวี้ พวกลูกหลานอย่างฉินหลิงและเหล่าศิษย์ก็เริ่มมีแจ้งเตือนเกี่ยวกับโชควาสนาหรือตบะเพิ่มพูนขึ้นมาแล้ว
หานเจวี๋ยคิดไปคิดมาก็เคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
เมื่ออู้เต้าเจี้ยนและลี่เหยาเห็นหานเจวี๋ยก็ดีใจนัก รีบล้อมวงเข้ามาหา
แต่หานเจวี๋ยไม่ได้อยู่คุยกับพวกนานมากนัก เรียกเทพมารทั้งหมดมารวมตัวกันหน้าอารามเต๋าอย่างรวดเร็ว
“เรื่องงานชุมนุมฟ้าบุพกาล มีผู้ใดอยากเข้าร่วมหรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม ในเมื่อเป็นงานชุมนุมที่เขาจัดขึ้น เช่นนั้นก็ต้องทำให้ยิ่งใหญ่หน่อย
กวนปู้ไป้เอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้าอยากเข้าร่วมขอรับ!”
เทพมารตนอื่นๆ ก็พากันตอบรับ แต่ละตนมีสีหน้าตื่นเต้น
ตั้งแต่กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล พวกเขาก็กระหายการต่อสู้ยิ่ง หมกตัวอยู่อาณาเขตเต๋าทั้งวันน่าเบื่อหน่ายจริงๆ
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากอยากออกไปก็ยกมือขึ้น ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไปตอนนี้เลย”
พอเขาเอ่ยไปเช่นนี้ เทพมารฟ้าบุพกาลส่วนใหญ่ล้วนยกมือขึ้น พวกเขาอดใจไม่ไหวมานานแล้ว
หานเจวี๋ยส่งตัวพวกเขาออกไปทันที เหลือเพียงไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น จิ้งจอกชาดและต่งจั๋วองครักษ์อาณาเขตเต๋า
ลี่เหยาและอู้เต้าเจี้ยนก็ไม่อยากออกไปเช่นกัน
หานเจวี๋ยมองไปที่ไก่คุกรัตติกาล เอ่ยถามว่า “เจ้ายังไม่ออกไปอีกหรือ ข้างกายข้าเหลือเพียงเจ้าที่ไม่เคยออกจากอาณาเขตเต๋าเลย ตอนนี้ข้าเองก็ไปมาจนทั่วแล้ว เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”
ปัจจุบันนี้ไก่คุกรัตติกาลดูคล้ายหงส์เพลิงสีดำตัวหนึ่ง งามสง่ายิ่ง แค่ยืนบนพื้นก็สูงเท่าตัวคนแล้ว
“ออกไปจะมีอะไรน่าสนใจกัน ตบะของข้ายังคงก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องออกไป!”
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความเย่อหยิ่ง สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นส่งเจ้ากลับไปที่เขตเซียนร้อยคีรี แล้วจับคู่หงส์เพลิงรัตติกาลสักตัวให้แต่งกับเจ้าดีหรือไม่”
“ไม่เอา!”
ไก่คุกรัตติกาลรีบส่ายหน้า
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ในอดีตมันเคยมีความคิดเช่นนี้เพียงแต่ถูกทอดทิ้ง ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าต่อไปจะไม่หาคู่บำเพ็ญแล้วขอรับ”
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว ในอดีตเคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในเขตเซียนร้อยคีรีด้วยหรือ
ไก่คุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าเห่าอันใดออกมา ถึงตาเจ้าพูดแล้วหรือ”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นได้รับความคับข้องหมองใจ ทำได้เพียงหุบปากไป
หานเจวี๋ยมองไปที่จิ้งจอกชาด
จิ้งจอกชาดเป็นจิ้งจอกน้อยที่เขาพบระหว่างออกหาประสบการณ์ก่อนพิสูจน์มรรค ระยะเวลาที่รู้จักกันมานานพอๆ กับชิงหลวนเอ๋อร์ หลังจากนั้นก็ติดตามเขาฝึกบำเพ็ญมาตลอด ไม่เคยร้องขอหรือบ่นอิดออดเลย
“ข้าก็ไม่อยากออกไปขอรับ ข้าเพิ่งพิสูจน์มหามรรคสำเร็จ อยากมุ่งสู่ยอดมหามรรคต่อไป ไม่อยากออกไปให้เสียเวลา” จิ้งจอกชาดเอ่ยตอบ
อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองมีอริยะมหามรรคอยู่สิบราย เนื่องจากล้วนเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสิ้น ยิ่งเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลมานานเท่าไร ตบะก็ยิ่งสูงเท่านั้น
จิ้งจอกชาดก็นับเป็นหนึ่งในศิษย์สืบทอดที่กลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลรุ่นแรกๆ
“เช่นนั้นพวกเจ้าจงฝึกบำเพ็ญให้ดี รอจนงานชุมนุมฟ้าบุพกาลเปิดฉากขึ้น ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปชมเรื่องครื้นเครง” หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อพลางเอ่ย
ไก่คุกรัตติกาล สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นและจิ้งจอกชาดรีบคารวะขอบคุณ
หลังจากหานเจวี๋ยกลับเข้าไปในอารามเต๋า ด้านนอกก็เริ่มมีเสียงดังเอะอะ ไก่คุกรัตติกาลอับอายจนพาลโกรธ กำลังคิดบัญชีกับสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นอยู่
หานเจวี๋ยไม่ได้จากไปในทันที แต่เริ่มสนทนากับลี่เหยาและอู้เต้าเจี้ยน
เขามอบสถานะให้สตรีทั้งสองแล้ว อีกทั้งไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบหน้ากันจึงอยากหล่อเลี้ยงความรู้สึกไว้
คุยไปคุยมาเขาพบว่าสตรีทั้งสองค่อนข้างผิดปกติ
ยามพูดคุยจิตใจก็ไม่จดจ่อ แต่มองตนด้วยสายตาที่ร้อนแรงเป็นพิเศษ
หานเจวี๋ยมีตบะระดับใดแล้ว ย่อมมองทะลุจิตใจของพวกนางได้
“เอาเถอะ ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่อยากคุย พวกเจ้าผู้ใดจะออกไปก่อนเล่า” หานเจวี๋ยส่ายหน้าพลางเอ่ยยิ้มๆ
อู้เต้าเจี้ยนยิ้มหยาดเยิ้มเอ่ยไปว่า “ล้วนจะอยู่ทั้งคู่ ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ลี่เหยาหน้าแดงก่ำ
หานเจวี๋ยตะลึงงัน ประสบการณ์เช่นนี้เขาไม่เคยประสบมาก่อน จะลองดีหรือไม่
หานเจวี๋ยหวั่นไหวแล้ว
….
พอกลับมาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม เวลาผ่านไปห้าแสนปีแล้ว
หานเจวี๋ยนั่งลงบนแท่นบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร จิตใจเบิกบาน
หานหลิงลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ท่านพ่อ เหตุใดบนร่างท่านมีกลิ่นอายสตรีสองสายที่แตกต่างกันอยู่ล่ะเจ้าคะ”
หานเจวี๋ยตอบว่า “ข้าไปหาแม่สี่และแม่ห้าของเจ้ามา”
หานหลิงพลันกระจ่างแจ้ง ไม่ถามมากอีก
หานเจวี๋ยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญในทันที แต่สอดส่องหงจวินที่อยู่นอกอารามเต๋าก่อน
คุณสมบัติของหงจวินโดดเด่น ห้าแสนปีผ่านไป เขาพิสูจน์มรรคแล้ว
ปัจจุบันนี้หงจวินก่อตั้งมรรควิถีขึ้นในจักรวาลโลกดวงดาวแล้ว รับศิษย์ไว้ไม่น้อย ถูกสรรพสิ่งขนานนามให้เป็นอริยะ ส่วนหลิวเป้ยก็เก็บตัวอยู่เบื้องหลัง ไม่เข้าไปยุ่งด้วยตัวเองอีก
………………………………………………………………