คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1426

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน – ตอนที่ 1426 อสูรอัสนี

ลำแสงเจิดจ้าในแววตาหม่นแสงลง หานลี่เบิกตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองอยู่บนจัตุรัสหินสีเขียวแห่งหนึ่ง

เบื้องหน้าไม่ไกลนักคือเหล่าสิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่ไม่เท่ากัน

หานลี่หรี่ตาลงเล็กน้อย รู้สึกคุ้นเคยกับตึกรามบ้านช่องเหล่านี้เล็กน้อย คือสิ่งปลูกสร้างบนภูเขาที่อยู่ในภาพเขาพระสุเมรุ

เมื่อมองไปด้านล่างแวบหนึ่ง เขาพลันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

ดังคาด เขาในครานี้อยุ่บนภูเขาน้อยสีเขียวมรกต กลางอากาศเป็นสีฟ้า มีเพียงเมฆปุยขาวลอยอยู่

เขาอยู่ในห้วงมิติที่เหมือนกับในภาพเขาพระสุเมรุอย่างไรอย่างนั้น ห้วงมิติเวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใหญ่นัก มีขนาดแค่สองสามลี้เท่านั้น รอบด้านถูกกำแพงลำแสงห้าสีปกคลุมอยู่

ไม่ไกลนักคนอื่นๆ ที่เหลือทั้งสามคนก็มาปรากฎตัวบนพื้นเช่นกัน

แต่แค่ไม่เหมือนกับชายร่างใหญ่และพวกทั้งสองที่พิจารณาขึ้นลงด้วยสีหน้าประหลาดใจ เจ้าของร้านพลิ้วไหวร่างกายอย่างไม่ลังเล ตรงไปยังสิ่งปลูกสร้าง

หานลี่และพวกทั้งสามไม่กล้าดูแคลน พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศและบินตามไปเช่นกัน

“พี่อวี๋ ห้วงเวลาพระสุเมรุนี่ดูแล้วไร้ข้อผิดพลาด ไม่มีจุดที่ผิดปกติตรงไหน จุดด่างพร้อยคืออะไรกันแน่” ชายหนุ่มบินมาอยู่ใกล้ๆ กับเจ้าของร้าน แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถาม

“หึๆ นายท่านคิดว่าข้าจะบอกหรือ? จุดด่างพร้อยของภาพพระสุเมรุคืออะไร ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนของพวกเราแม้แต่น้อย” บุรุษร่างกายผ่ายผอมค้อนปะหลักปะเหลือก พลางเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“เหอๆ พี่อวี๋กังวลเกินไปแล้ว น้องแค่สงสัยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้าย” ชายหนุ่มได้ยินสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว แต่สุดท้ายก็เปล่งเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนไป

เจ้าของร้านแค่นเสียงหึ เพราะว่าอีกเดี๋ยวจะต้องอาศัยพลังของคนผู้นี้ จึงไม่ได้เอ่ยอะไรที่ไม่น่าฟังอีก แต่หลังจากที่กระพริบวาบสองสามครั้ง เขาก็มาปรากฎตัวบนหอคอยแค่หนึ่งที่ห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สองมือไพล่หลังหยุดอยู่ตรงนั้น

หอคอยหลังนี้สูงร้อยจั้งเศษ แบ่งออกเป็นสามชั้น รูปทรงเก่าแก่โบราณ ด้านล่างหนาด้านบนแหลม

“อสูรน้อยถูกข้ากักเอาไว้ในหอคอย พวกเจ้าตามข้ามา ไปดูอสูรตัวนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน” บุรุษร่างกายผ่ายผอมรอให้หานลี่และพวกทั้งสามมารุมล้อม ก็ออกคำสั่งอย่างราบเรียบ ทันใดนั้นก็พาร่อนลงไป

หลังจากที่หานลี่และพวกทั้งสามคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็บินตามไป

บุรุษร่างกายผ่ายผอมไม่ได้หยุดลงที่ทางเข้าชั้นหนึ่ง แต่ลอยไปที่หน้าต่างบานหนึ่งของชั้นสอง แล้วหยุดลงอีกครั้ง

หานลี่และพวกรู้สึกแปลกใจ แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มาถึงชั้นสองเช่นกัน

พวกเขามองไปในหน้าต่างบานนั้นแวบหนึ่ง เห็นเพียงม่านลำแสงสีเงินผืนหนึ่ง หอคอยชั้นสองทั้งชั้นถูกอาคมผนึกเอาไว้

ชายหนุ่มหน้าหวานแววตาเปล่งประกาย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก ฉับพลันนั้นเสียง “ตูมๆๆ” ก็ดังขึ้น ม่านลำแสงเบื้องหน้าสั่นไหว แม้แต่หอคอยก็ยังสั่นกระเพื่อมสองสามครั้ง

ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องอย่างต่อเนื่องราวกับพายุฝนกระหน่ำก็ดังออกมาจากม่านลำแสง ครานั้นในโสตประสาทหูของทั้งสี่คนมีแต่เสียงฟ้าร้อง ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ราวกับว่าอยู่ในแดนที่ฟ้าระเบิดโทสะ ทำให้พวกเขารู้สึกมึนงง

“แย่แล้ว”

หานลี่คือสิ่งมีชีวิตระดับใด ภายใต้ความตกตะลึงพลันโคจรคาถาขับเคลื่อนในร่าง ชั่วพริบตาก็ได้สติขึ้นมาเป็นคนแรก

เจ้าของร้านและพวกของชายร่างใหญ่ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญ ต่างก็สำแดงความสามารถต่างๆ ออกมาและไม่ได้ถูกทำอันตรายเช่นกัน

แต่เช่นนั้นชายหนุ่มหน้าหวานและชายร่างใหญ่ทั้งสองคนก็หน้าซีดขาวไปเช่นกัน

“นี่คืออสูรที่พี่อวี๋ต้องการให้กำราบหรือ?” ครั้งนี้ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำพลันเอ่ยถาม สายตาจ้องเขม็งไปยังที่หน้าต่าง

“ใช่แล้ว อสูรตัวนี้แหล่ะ เหล่าสหายไม่ต้องกังวล มันถูกลงอาคมกักเอาไว้ หากยังไม่ปล่อยมันออกมา ก็ไม่มีทางทำอันตรายได้” เจ้าของร้านมีสีหน้าสุขุมขึ้น สองตากลับฉายแววตื่นเต้นดีใจออกมา

ทันใดนั้นก็เห็นบุรุษพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ลำแสงเปล่งประกายบนฝ่ามือ ม้วนภาพปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือ

นั่นก็คือม้วนภาพเขาพระสุเมรุ

ครั้งนี้เขาไม่ได้คลี่ม้วนภาพนี้ออก มือหนึ่งพลันตะปบไปที่ม้วนภาพ อีกมือหนึ่งกลับชี้ไปที่ม่านลำแสงเบาๆ

สถานที่แปลกประหลาดพลันปรากฎขึ้น! ม่านลำแสงในหน้าต่างแตกออกราวกับกระจก ทันใดนั้นก็สลายหายไป

เจ้าของร้ายขยับปีกทั้งสอง พาเงาร่างคนสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายเข้าไปในหอคอย

ชายร่างใหญ่และชายหนุ่มหน้าหวานที่ทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว ก็พากันพลิ้วกายตามไปอย่างไม่ต้องคิด

หานลี่ลูบใต้คางไปมา ขบคิดชั่วครู่ แล้วถึงได้บินเข้าไปในหน้าต่างอย่างช้าๆ

เสียง “ตูม” ดังขึ้น ทั้งหอคอยสั่นเทาอีกครั้ง พลังแรงกดธาตุอัสนีกลุ่มหนึ่ง โผเข้ามาราวกับสสาร

หานลี่ที่เพิ่งบินเข้ามาพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย จนเกือบจะทนไม่ไหวหมายจะพลิ้วกายหลบหลีก

แต่สุดท้ายก็ยังคงลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แค่ใช้ม่านลำแสงสีเทาเบื้องหน้าต้านทานเอาไว้

ครานี้เขาถึงได้มองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน

ชั้นสองของหอคอยนั้นใหญ่กว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก

มีพื้นที่ประมาณสองสามร้อยจั้ง ทำให้ที่นี่ดูเหมือนจัตุรัสขนาดเล็ก ใจกลางกลับมีเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นตั้งตระหง่านอยู่ ทุกต้นเป็นสีเหลืองอร่าม ทั้งต้นสลักรูปอสูรปีศาจต่างๆ เอาไว้

เสาสำริดเหล่านี้ล้อมพื้นที่ขนาดสามสิบจั้งเศษเอาไว้ ตัวเสามีประจุไฟฟ้าสีแดงเปล่งแสงระยิบระยับ เปล่งเสียงเปรี๊ยะๆ ออกมา กลายเป็นกรงขังขนาดยักษ์

ในกรงขังมีหมอกสีดำขนาดสองสามจั้งกลุ่มหนึ่งหมุนวนอยู่ ด้านในมีเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นไม่หยุด บางครั้งก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินขาวเป็นสายๆ แลบออกมาจากหมอกสีดำ แต่เมื่อโจมตีไปยังตาข่ายไฟฟ้าสีดำ ก็สลายหายไปราวกับดาวตก

“ในนั้นคืออสูรวิญญาณธาตุไฟตัวนั้นหรือ?” ชายร่างใหญ่เกราะสีดำเห็นหมอกสีดำที่ไม่สะดุดตาเลยสักนิด ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

“อันใดพวกเจ้าดูถูกอสูรตัวนี้หรือ อสูรอัสนีตัวนี้ร้ายกาจมาก ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะได้มากง่ายๆ” เจ้าของร้ายเหลือบตามองชายร่างใหญ่แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“อสูรอัสนี?” หานลี่พลันขมวดคิ้ว เอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“ใช่ นี่คือชื่อของอสูรตัวนี้ ประวัติของอสูรอัสนีนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ในใต้หล้านี้ก็มีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ไม่มีตัวที่สอง” เจ้าของร้ายจ้องเขม็งไปยังตาข่ายไฟฟ้าสีดำเขม็ง ใบหน้าเผยสีหน้าบ้าระห่ำออกมา

“พูดเกินจริงไปหน่อยแล้ว การโจมตีของอสูรตัวนี้ก็ไม่เท่าไหร่หรอก” ชายหนุ่มหน้าหวานขมวดคิ้ว มองประจุไฟฟ้าสีเงินที่พ่นออกมาจากม่านหมอกด้วยท่าทีไม่เชื่อถือ

“การโจมตี? อสูรอัสนีตัวนี้ไม่ทำการโจมตีใดๆ ประจุไฟฟ้าเหล่านี้เป็นแค่ของที่ติดมาโดยกำเนิดของมันเท่านั้น โฉมหน้าที่แท้จริงและอานุภาพการโจมตีของอสูรอัสนีตัวนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองเองก็แล้วกัน” บุรุษร่างกายผ่ายผอมหยักรอยยิ้มดูแคลนออกมาขณะเอ่ย

ฉับพลันนั้นพลันชูมือขึ้น ลำแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบ ก็ร่อนลงบนส่วนยอดของเสาสำริดที่หนาที่สุด

เป็นอสูรน้อยติดปีกเรือนกายสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่ง รอบกายเต็มไปด้วยหนามแหลมๆ ยาวสองสามชุ่น ราวกับเม่นบินอย่างไรอย่างนั้น

ไม่รู้ว่าถูกเจ้าของร้านร่ายอาคมอะไรลงไป เมื่ออสูรน้อยตัวนี้ร่อนลงบนเสาสำริด ก็ร่างกายอ่อนปวกเปียกไม่อาจบินได้เลยสักนิด แค่หมอบอยู่ตรงนั้นด้วยกายที่สั่นเทาน้อยๆ

“อสูรขนแหลม”

เมื่อเห็นรูปร่างของอสูรน้อยตัวนี้ ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำและชายหนุ่มหน้าหวานก็รู้ชื่อในเผ่าวิญญาณเหาะเหินของอสูรตัวนี้ทันที แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง

อสูรตัวนี้โหดเ**้ยมมาก แม้แต่ระดับหลอมสูญมาพบเข้าก็ยังไม่กล้าทำการโจมตี แม้นว่าจะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่แค่คิดก็รู็ถึงความน่ากลัวของอสูรตัวนี้แล้ว แต่ตอนนี้เมื่ออยู่บนเสาสำริด ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนแอ ช่างทำให้พวกเขาประหลาดใจจริงๆ

และเมื่อทุกคนคิดเช่นนี้ ฉับพลันนั้นในหมอกสีดำพลันมีมือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งพุ่งออกมา ตะปบไปที่อสูรหนามแหลมอย่างแรง นิ้วทั้งห้าไม่ทันได้สัมผัสกับอสูรน้อย ก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินเป็นสายๆ ปรากฎขึ้นเสียง “ตูม” ดังขึ้น ด้านนอกตาข่ายไฟฟ้าสีดำนอกกายอสูรน้อย แม้ว่าจะไม่อาจขยับตัวได้ แต่เมื่อมือสีเขียวสัมผัสกับตาข่ายสีดำ ก็ถูกดีดออก

เสียงคำรามต่ำๆ ดังออกมาจากม่านหมอก ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยโทสะ ฉับพลันนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ลำแสงสีเงินเจิดจ้าระเบิดออกมาจากหมอกสีดำ จากนั้นลำแสงอัสนีที่ห่อหุ้มอะไรสักอย่างอยู่ ก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางม่านหมอก ชั่วครู่ในที่สุดหมอกสีดำก็ถูกอัสนีลำแสงกำจัดไปจนเกลี้ยง ปีศาจที่่เหมือนกับวิหคตัวหนึ่งปรากฎขึ้นในตาข่ายไฟฟ้า

หัวเป็นนกเขาผิวสีเขียว มีปีกขนนกสีฟ้าคู่หนึ่ง กายท่อนบนเหมือนมนุษย์ท่อนล่างเหมือนวิหค แขนคู่หนึ่งถือสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนค้อนและกรวยเอาไว้ ดวงตาทั้งสองเป็นสีเหลืองทอง เปล่งประกายโหดเ**้ยมออกมา

เมื่อเห็นรูปร่างของอสูรอัสนีอย่างชัดเจน แม้แต่หานลี่และพวกทั้งสามที่มีความรู้มากมาย ก็ยังอดที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่งไม่ได้

ไม่รอให้พวกเขาได้สติกลับมาจากการตกตะลึง อสูรอัสนีหัวนกเขาก็เปล่งเสียงร้องคำรามประหลาดๆ ออกมา ทันใดนั้นปากก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ลูกบอลอันสีสีขาวขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนติ้วๆ ออกมา

แทบจะในเวลาเดียวกัน แผ่นหลังของอสูรตัวนี้ก็สยายปีกออกพร้อมกัน ขนนกสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นธนูไฟฟ้าสีฟ้าขนาดความยาวครึ่งฉื่อ กระโจนมาเบื้องหน้าเต็มท้องฟ้า

เสียง “ตูม” ดังขึ้น มือที่ถือค้อนและกรวยทั้งสองของอสูรอัสนีพลันปะทะกัน ประจุไฟฟ้าสีทองหนาๆ สายหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายแหลมของกรวย ชั่วครู่ก็กลายเป็นมังกรวารีไฟฟ้าสีทอง กระโจนเข้ามาอย่างโหดเ**้ยม

ชั่วพริบตาอสูรอัสนีตัวนี้ก็สำแดงความสามารถธาตุอัสนีที่ไม่เหมือนกันออกมาสามชนิด ดูจากอานุภาพแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ธรรมดา

หานลี่และพวกทั้งสามคนพลันตกตะลึง ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามจิตสำนึก จากการโจมตีด้วยความสามารถธาตุอัสนีทั้งสาม ไม่ว่าจะดูอย่างไรตาข่ายไฟฟ้าสีดำบางๆ ผืนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด

มีเพียงบุรุษร่างกายผ่ายผอมแซ่อวี๋ที่ยิ้มน้อยๆ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างมีแผนการในใจ

ผลคือชั่วพริบตาที่ประจุไฟฟ้าที่ไม่เหมือนกันสามชนิดโจมตีไปยังตาข่ายไฟฟ้า ฉับพลันนั้นเสาสำริดแปดสิบเอ็ดต้นก็เปล่งเสียงร้องออกมา ประจุไฟฟ้าสีดำบางๆ แต่เดิมหนาขึ้นสองสามเท่า

ชั่วขณะนั้นลำแสงไฟฟ้าเจิดจ้าจนแสบตาพลันตัดสลับกัน ตาข่ายไฟฟ้าสีดำรับการโจมตีจากลำแสงสีขาวฟ้าและทองทั้งสามชนิดของไฟฟ้าอัสนีเอาไว้ได้

อสูรอัสนีเห็นเช่นนั้นปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโมโหยิ่งกว่าเดิมออกมา แต่ดวงตาสีทองสองดวงพลันเปล่งประกายจ้องเขม็งไปยังอสูรหนามแหลมที่อยู่บนเสาสำริด แต่ไม่ได้ทำการโจมตีอะไรอีก ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญาแล้ว

“วางใจเถิด เขตอาคมลำแสงผูกอัสนีนี้ เป็นสิ่งที่ข้าทุ่มเทวางเอาไว้ สามารถกักพลังธาตุอัสนีของอสูรตัวนี้ได้ แม้ว่าอสูรอัสนีตัวนี้จะร้ายกาจ ก็ไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นได้” บุรุษร่างกายผ่ายผอมหัวเราะต่ำๆ ออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันโบกไปทางอสูรหนามแหลมบนเสาสำริด

ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันม้วนวนพุ่งออกมา คาดไม่ถึงว่าม้วนเอาอสูรน้อยที่ไม่อาจต้านทานได้ส่งเข้าไปในตาข่ายไฟฟ้าสีดำ จนไปอยู่ห่างจากอสูรอัสนีแค่คืบ

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท