แต่ฉากที่ทำให้หานลี่ตกใจจนสะดุ้งโหยงพลันปรากฏขึ้น
ในเวลาเดียวกันที่ลำแสงสีเขียวห่อหุ้มหุ่นเชิดตรงหน้า หุ่นเชิดพลันเปล่งแสงเจิดจ้า แผ่กลิ่นอายอันตรายออกมา
คาดไม่ถึงว่าแค่กลิ่นอายนี้ จะบีบให้ลำแสงสีเขียวแตกกระจายออกไป
หานลี่พลันตกตะลึง ร่างกายพลิ้วไหวอย่างไม่ต้องขบคิด เงาที่ไม่สมบูรณ์พุ่งออกไป
หลังจากกะพริบวาบสองสามครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกแท่นสูง
ชั่วพริบตานั้นหุ่นเชิดทั้งเก้าก็โบกสะบัดขวานสีเงินในมือพร้อมกัน ลำแสงสีเงินที่น่าตกตะลึงสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพ่นออกมา คาดไม่ถึงว่าจะแยกกันสับไปยังหุ่นเชิดอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนที่สุด
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้นสองสามครั้ง หุ่นเชิดทั้งเก้าตัวก็ถูกสับออกเป็นสองส่วนในเวลาเดียวกัน และทยอยกันล้มลงแล้วระเบิดตัวออก
บนแท่นสูงเต็มไปด้วยเศษซากการระเบิดของหุ่นเชิด หุ่นเชิดทั้งเก้าตัวสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่มองดูทุกอย่างแน่นอนว่าย่อมรู้สึกเสียดาย สายตากวาดไปบนเศษซากของหุ่นเชิด ครุ่นคิดเล็กน้อย ลำแสงหลีกหนีเคลื่อนไหวล้อมรอบแท่นสูงอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง
ภายใต้หมอกลำแสงที่หมุนวน หุ่นเชิดทั้งหมดบนแท่นถูกกวาดไปจนเกลี้ยง
ลำแสงหลีกหนีบนแท่นสูงหม่นแสงลงแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะถูกหลอมขึ้นอย่างหยาบๆ แต่วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้กลับเป็นของที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หานลี่จึงตัดสินใจเก็บเอาไว้ศึกษาหรือไม่ก็เอาไว้ใช้ประโยชน์ภายหลัง
แต่หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ก้มหน้าลงมองด้านล่าง
บนแท่นสูงนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอีก แต่ภาพวาดดวงดารายักษ์บนแท่นกลับยังคงไม่เป็นอันใด
เคล็ดวิชาลวงตาบนรูปภาพนี้ร้ายกาจมาก หานลี่ประสบมากับตาตัวเองแล้ว แม้ว่ายามนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่กล้ามองนานนัก
หลังจากที่เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก็พลิกฝ่ามือ ฉับพลันนั้นม้วนคัมภีร์สีขาวก็ปรากฏขึ้น
สะบัดแขนเสื้อแล้วโยนไปด้านล่าง
ม้วนคัมภีร์กลายเป็นลำแสงสีขาวร่อนลงไปด้านล่าง แต่เมื่ออยู่ห่างจากแท่นสูงไปสิบกว่าจั้ง ก็หยุดชะงักแล้วลอยต่ำอยู่อย่างนั้น
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม ปากก็บริกรรมคาถา และชี้ไปด้านล่าง
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
กรงล้อกางออกอีกครั้ง เผยภาพวาดว่างเปล่าขนาดสองสามฉื่อออกมา
จากนั้นม้วนภาพวาดก็เปล่งเสียงบริกรรมคาถาแล้วขยายใหญ่ขึ้น ชั่วครู่ก็มีขนาดเท่าแท่นหิน ราวกับมีม้าสีขาวลอยอยู่กลางอากาศ
หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ปากที่บริกรรมคาถาพลันหยุดชะงัก นิ้วทั้งสิบร่ายคาถาไปด้านล่าง
ชั่วขณะนั้นพลันร่ายอาคมออกไปเป็นสายๆ กะพริบวาบแล้วจมหายเข้าไปในม้วนภาพวาดว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย
อาชาสีขาวเปล่งแสงหลากสีสันออกมา และค่อยๆ ร่อนลงมาด้านล่าง ยามนั้นก็ปกคลุมแท่นศิลาเอาไว้
ภายใต้การร่ายคาถากระตุ้นกลางอากาศ ม้วนภาพวาดที่ว่างเปล่าก็หมุนวนไปมาไม่หยุด เผยท่าทีงดงามออกมา ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หมอกลำแสงถึงได้ค่อยๆ สลายหายไปจากม้วนภาพวาด สุดท้ายก็หายวับไป
แต่สีขาวหิมะเดิมพลันเปลี่ยนเป็นห้าสี
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักออกไปโดยไม่ปริปาก
ม้วนภาพวาดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วบินขึ้นไปจากแท่น แล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาก็มีขนาดสองสามฉื่อเท่าเดิม
บนภาพวาดที่ว่างเปล่ามีรูปภาพขนาดจิ๋วที่เหมือนกับด้านล่างทุกระเบียบนิ้วปรากฏขึ้น
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะใช้เคล็ดวิชาลับถูตราประทับดวงดาราบนแท่นหิน
ม้วนภาพวาดหมุนวน กลายเป็นม้วนภาพวาดที่แผ่ลำแสงห้าสีออกมา มันสั่นเทาแล้วพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่
เมื่อมีภาพวาดดวงดาราที่คัดลอกมา เขาก็มั่นใจว่าจะศึกษาพวกมันได้ สิ่งที่ไม่ดีก็คือความรู้ในเคล็ดวิชาลวงตาของเขา มันจะช่วยได้เป็นอย่างมาก
เช่นนั้นที่นี่ก็นับว่าไม่มีของมีค่าใดๆ แล้ว
แต่หานลี่ก็ยังคงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอันใดซ่อนอยู่แล้ว ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกไปด้านนอก
เขาอยู่ในห้วงมิติเวลามาเกือบหนึ่งวัน แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมอยู่ที่นี่ต่ออีก
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น
ฉากกั้นขนาดยักษ์ในตำหนัก พลันปริแตก ลำแสงสีดำขนาดสองสามจั้งปรากฏขึ้นบนฉากกั้น และยิ่งไปกว่านั้นยังหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นระลอกคลื่นขนาดเล็ก
เสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น สายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากระลอกคลื่น หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ในตำหนักก็มีเงาร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น
เขาหันหน้ากลับไปมองฉากกั้นแวบหนึ่ง หว่างคิ้วมีเนตรสีดำสนิทที่สามปรากฏขึ้น มันกำลังหลับตาสนิท แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป
“น่าเสียดายสมบัติชิ้นนี้ถูกคนอื่นหลอมไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเก็บไปได้ มิเช่นนั้นหากได้สมบัติชิ้นนี้ล่ะก็ ก็คงมีประโยชน์มาก” หานลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กๆ สายตากวาดมองไปรอบๆ
ไม่เกินที่คาดไว้ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
เขามีสีหน้าเย็นชาแต่กลับไม่ได้เผยสีหน้าร้อนใจอันใดออกมา แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก็สาวเท้าเดินออกมาจากนอกวิหาร
เขาอยู่ในวิหารเขาพระสุเมรุนานขนาดนี้ คิดดูแล้วจุดต่างๆ ในวิหารคงถูกทั้งสองสำรวจหมดแล้ว ยามนี้ไปหาทั้งสองก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากไปจากที่นี่เร็วหน่อยเท่านั้น จากนั้นค่อยหาที่นั่งสมาธิอย่างสงบสักสองสามวัน ฟื้นฟูพลังปราณของตนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่หานลี่เพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนัก ขณะที่กำลังคิดจะเปล่งเสียงร้องยาวๆ ติดต่อกับหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง พื้นดินพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น จากนั้นก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
หานลี่พลันตกตะลึง แต่ไม่รอให้ค้นหาอันใด กลางอากาศก็มืดมน เมฆสีดำสนิทปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
สายฟ้าในเมฆหมอกเปล่งเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น!
พายุหมุนสีเทาเป็นสายๆ ราวกับมังกรวารีพุ่งออกมาจากพื้นดิน จมหายเข้าไปในเมฆสีดำสนิท
มองจากไกลๆ ราวกับท้องฟ้ามีเสายักษ์สูงค้ำฟ้าเพิ่มขึ้นมาสองสามต้น ดูโอ่อ่าสง่างามยิ่งนัก
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
ยามนี้ไม่ต้องตรวจสอบอันใด ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่ก่อตัวขึ้น พลังแรงกดต่างๆ ทอตัวทั่วท้องฟ้า
สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ บรรยากาศรอบๆ มีระลอกคลื่นเขตอาคมจำนวนมากปรากฏออกมา เดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอ ไม่มั่นคงเลยสักนิด
นั่นก็คือสัญญาณที่เขตอาคมต้องห้ามของที่จะถูกสูญเสียการควบคุม
หานลี่ไม่ทันได้ขบคิด ผิวพลันเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ บินสูงจากพื้นดินไปห้าหกจั้ง แล้วถึงได้หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าพลังของเขตอาคมห้ามเหาะเหินจะไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมด แต่พลังเขตอาคมก็มีไม่ถึงครึ่งเท่านั้น
หากเป็นเช่นนั้นหากเหาะเหินต่ำๆ ก็ไม่มีปัญหาอันใด
ในยามนั้นพื้นดินพลันสั่นเทาอย่างรุนแรง แม้แต่ด้านหลังวิหารหลักก็เริ่มเปล่งแสงสีม่วงออกมา ฉับพลันนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
กลางหอคอยในวิหารหลัก ลำแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปยอดหลังคา เปล่งเสียงร้องยาวๆ แล้วพุ่งไปทางหน้าวิหาร
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ในวิหารข้างด้านข้างวิหารหลักก็มีลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกมาทางเดียวกัน
นั่นก็คือหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคงไม่ได้คิดถึงความเปลี่ยนแปลงนี้มาก่อน ใบหน้าพลันเผยแววหวาดกลัวออกมา
หางตาของหานลี่กระตุก ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก
ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแฉลบผ่านด้านหน้าวิหารหลักไป กะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็มาอยู่ตรงทางเดินภูเขาด้านนอกประตูวิหาร จากนั้นก็แทบจะพุ่งลงไปด้านล่างทันที
เดิมเขายังกังวลว่าทางเดินบนภูเขาจะยังมีแรงดูดอยู่ เพื่อไม่ให้ลงจากภูเขา
แต่หลังจากที่บินไปได้สิบกว่าจั้ง ก็วางใจแล้ว
ไม่รู้เพราะความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ หรือว่าเขตอาคมบนทางเดินภูเขามีผลแค่การขึ้นภูเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ขัดขวางลำแสงหลีกหนีเลยสักนิด ยามนั้นสายรุ้งสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กะพริบสองสามครั้งก็ลงมาถึงตีนเขา
พอเท้าแตะพื้นลำแสงหลีกหนีของสือคุนและหลิวสุ่ยเอ๋อร์ก็มาอยู่ด้านข้างหานลี่
“นี่มันเรื่องอันใดกัน? เหตุใดห้วงเวลาที่นี่จะพังทลาย ข้ายังมีสมบัติสำคัญที่เกือบจะได้มาแล้ว” สือคุนปรากฏกายขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างโกรธเกรี้ยว
“หึ จะไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร ข้าเพิ่งจะทลายเขตอาคมในห้องลับได้ กำลังจะเข้าไปข้างใน” หลิวสุ่ยเอ๋อร์เองก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่มั่นใจคำพูดของผู้ใด แต่สายตากลับจ้องเขม็งไปยังหานลี่อย่างอดไม่ได้
“อันใด หรือว่าสหายทั้งสองคิดว่าเกี่ยวข้องกับผู้แซ่หาน ข้าเองก็เพิ่งออกมาจากเขตต้องห้ามมิติเวลา จะทำเรื่องนี้เช่นนี้ได้อย่างไร” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมเป็นแพะรับบาป
“แต่ว่า…”
“มีอันใดออกไปค่อยคุยกัน หากยังไม่หนี แล้วห้วงเวลาพังทลาย พวกเราจะตายโดยไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ”
สือคุนยังคิดจะเอ่ยอันใด แต่กลับถูกหลิวสุ่ยเอ๋อร์ชิงตัดบทล่วงหน้าไปก่อน
เมื่อได้ยินคำนี้สือคุนก็หุบปาก หานลี่ย่อมไม่เอ่ยอันใดอีก
ทั้งสามคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง ลำแสงหลีกหนีผสานกัน ความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า
แค่สองสามอึดใจ ทั้งสามคนก็มาถึงเขตอาคมส่งตัวบนแท่นหินที่อยู่ไม่ไกลนัก
ร่างของทั้งสามคนพลิ้วไหว แล้วเดินเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวพร้อมกัน
หานลี่พลันชูมือขึ้น อาคมสายหนึ่งโจมตีไปยังขอบของเขตอาคม
เขตอาคมเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ
เงาร่างของหานลี่และพวกทั้งสามเปล่งประกาย ชั่วขณะนั้นพลันถูกลำแสงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้
เมื่อเสียงกรีดร้องหายไป ลำแสงหม่นแสงลง เขตอาคมส่งตัวก็ว่างเปล่า
……
สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากที่หมุนวนโคจรอยู่สูงไปสองสามพันจั้ง ร่างของหานลี่ก็ปรากฏตัวออกมา
หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนเองก็ปรากฏตัวห่างออกไปสิบกว่าจั้งเช่นกัน
ทั้งสามคนไม่ปริปาก แววตาเปล่งประกายจ้องเขม็งไปยังหลุมลำแสงขนาดยักษ์ด้านล่าง
ในหลุมมีหมอกลำแสงหลากสีสันเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย และยิ่งไปกว่านั้นขอบยังมีลำแสงวิญญาณกะพริบวาบๆ ดิ้นไปดิ้นมา ราวกับว่าจะพ่นภูเขาไฟออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ไป! อยู่ที่นี่นานไม่ได้ ด้านล่างจะพังทลายแล้ว หากถูกม้วนเข้าไปในระลอกคลื่นห้วงเวลา จะอันตรายมากเช่นกัน” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก และไม่สนใจการกระทำของหลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกทั้งสอง หันกายบินแหวกอากาศไป
สือคุนและพวกทั้งสองมองสบตากันแวบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม กลายเป็นลำแสงหลีกหนีโดยไม่ได้ปริปาก ไล่ตามหานลี่มาติดๆ
จากความเร็วของทั้งสามคน ชั่วครู่ก็บินออกมาสองสามพันลี้
และในยามนั้นเองเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก็ดังมาจากด้านหลังไกลๆ