“ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโส!” เห็นเชียนจีจื่อมีท่าทีรอคอย หานลี่พลันตกตะลึง ปากกลับเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม
“ฮ่าๆ สหายหานไม่ต้องเกรงใจ เอ๋ สหายพลังยุทธ์อยู่ในขั้นที่เก้าแล้ว!” เชียนจีจื่อพลันโบกมือให้หานลี่พร้อมกับหัวเราะคิกคัก แต่หลังจากที่กวาดจิตสัมผัสไปเล็กน้อย ก็เอ่ยถามด้วยหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ชนรุ่นหลังได้พบวาสนาเล็กน้อยในแดนกว้างเย็น ถึงได้โชคดีบรรลุระดับขั้นได้” หานลี่ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งในใจ แต่ยังคงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าราบเรียบ
แม้ว่าเขาจะบรรลุมาถึงระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดของระดับขั้นปลาย แต่เป็นเพราะเคล็ดวิชาอำพราง หลิวสุ่ยเอ๋อร์และพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันจึงไม่อาจมองเห็นความเปลี่ยนแปลงพลังยุทธ์ของเขาได้
หลังจากที่ออกมาแม้ว่าเซียนเย่ว์และพวกจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ แต่เป็นเพราะเพิ่งบรรลุระดับขั้น พลังจิตสัมผัสจึงไม่ได้เหนือกว่าหานลี่นัก แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองอันใดออกเช่นกัน
ส่วนชายหนุ่มแซ่เวิง แม้ว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่าพลังยุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้น แต่จากพลังยุทธ์ระดับมหายานย่อมไม่มีทางสนใจเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้
ยามนี้ได้พบเชียนจีจื่อที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย กลับถูกเขามองออก
“พัฒนาได้ทีเดียวสองขั้น จะบอกว่าเป็นวาสนาเล็กๆ ได้อย่างไร หึๆ ทว่าตาเฒ่าอยู่ที่นี่ก็เพราะสหายหาน สหายตามข้ามาเถิด มีอีกสองท่านที่อยากพบสหาย” สีหน้าตกตะลึงของเชียนจีจื่อหายวับไป แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มดังเดิม
“อีกสองคน?” หานลี่ได้ฟังย่อมรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้
“ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลอันใด สองคนนี้ล้วนเป็นผู้ที่สหายหานรู้จัก!” เชียนจีจื่อเอ่ยอย่างมีเลศนัย
หานลี่พลันขบคิดอย่างรวดเร็ว แต่กลับตอบรับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ในเมื่อท่านอาวุโสมีรับสั่ง ชนรุ่นหลังย่อมต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้วขอรับ”
“เยี่ยม เช่นนั้นก็ตามตาเฒ่ามาเถิด” หลังจากที่เชียนจีจื่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้ว ก็หันกายเดินเข้าไปในหอคอย
หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วเดินตามไป
เขากลับไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาไม่ดีอันใด
ถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็มีหูตามากมาย อีกฝ่ายเป็นอาวุโสของเผ่า ไม่มีทางทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงของตนเองในหอคอยดาราเมฆาแน่
และการมีอาวุโสเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้นำทาง ผู้พิทักษ์ชุดสีเงินทั้งสองข้างทางย่อมไม่อาจเข้ามาขัดขวางอันใด
ผลคือในหอคอยมีฟ้าดินอีกแห่ง
ในห้องโถงนอกจากเขตอาคมส่งตัวขนาดเล็กสองสามแห่งแล้ว ทุกแห่งล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอีก
เชียนจีจื่อพาหานลี่ตรงเข้าไปในเขตอาคมเขตหนึ่ง
ลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้า หลังจากที่หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ก็มาปรากฏตัวในห้องโถงอีกแห่งหนึ่ง
ห้องโถงนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก มีขนาดยี่สิบสามสิบจั้งเศษ เขตอาคมส่งตัวใต้ฝ่าเท้าอยู่ตรงใจกลางของห้องโถง
รอบด้านของห้องโถงกลับมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งเรียงอยู่ เพดานมีผลึกศิลาขนาดยักษ์เท่าศีรษะฝังอยู่ แผ่แสงสีขาวเรืองๆออกมาส่องสว่างทำให้ทั้งห้องโถงเหมือนอยู่ในยามกลางวันก็ไม่ปาน
ทว่าทุกอย่างย่อมไม่สำคัญ หานลี่กวาดสายตาไป ตกอยู่บนเรือนร่างของทั้งสี่คนในห้องโถง
บุรุษสองสตรีสอง สองคนนั่งอยู่ อีกสองคนยืนเอามือประสานกันอยู่
สี่คนนี้ล้วนเป็นคนที่เขารู้จัก
นั่นก็คือไฉ่หลิวอิง หลิวสุ่ยเอ๋อร์ รวมทั้งต้วนเทียนเริ่นและสือคุน ศิษย์และอาจารย์สองคู่
หานลี่เห็นทั้งสี่คน ก็พึมพำในใจ แต่ยังคงคารวะสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์สองคนด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นท่านอาวุโสต้วนและท่านอาวุโสไฉ่ คารวะท่านอาวุโสทั้งสอง”
“หึๆ สหายหานไม่ต้องมากพิธี ครั้งนี้ข้าและสหายหลิวได้สิ่งที่ต้องการมา ก็ต้องขอบคุณสหายที่ช่วยเหลือ” ต้วนเทียนเริ่นหัวเราะร่าขณะเอ่ย แต่หลังจากพิจารณาหานลี่ขึ้นลงสองแวบ แววตาก็ฉายแววประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าอาวุโสของเผ่าศิลารังไหมผู้นี้มองออกว่าพลังยุทธ์ของหานลี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกตะลึงเช่นกัน
แม้ว่าไฉ่หลิวอิงที่อยู่ด้านข้างจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่แววตาก็เปล่งประกายวาวโรจน์เช่นกัน
“ชนรุ่นหลังแค่ทำตามสัญญาเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าขอความดีความชอบอันใด” ใบหน้าของหานลี่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างถ่อมตัว
ทว่าเขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เชียนจีจื่ออยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจต่อคำพูดของต้วนเทียนเริ่นเลยสักนิด ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาและทั้งสองมีสัญญาต่อกันอยู่แล้ว
“เหตุใดสหายหานจะต้องถ่อมตนด้วย ฟังจากคำพูดของศิษย์ อิทธิฤทธิ์ของสหายเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ หากไม่ใช่เพราะสหายลงแรงเป็นอย่างมากในแดนกว้างเย็น จะได้ของมาอย่างราบรื่นได้อย่างไร ยามนี้พลังยุทธ์ของสหายพัฒนาขึ้นมากแล้ว เกรงว่าอิทธิฤทธิ์คงไม่ด้อยไปกว่าระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น เทียบได้กับพวกเราแล้ว” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
เมื่อได้ยินไฉ่หลิวอิงกล่าวเช่นนั้น หานลี่พลันตกตะลึง สายตาอดที่จะกวาดไปทางใบหน้าของเชียนจีจื่อและต้วนเทียนเริ่นไม่ได้
พวกเขามีสีหน้าราบเรียบ ไม่ได้แย้งคำพูดของไฉ่หลิวอิง
หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม และกลับเอ่ยถามอย่างไม่ได้โต้แย้ง “ท่านอาวุโสทั้งสามต้องการพบข้าน้อย น่าจะมีเหตุผลสินะ หรือว่าเป็นเรื่องเขตอาคมส่งตัวข้ามแผ่นดินใหญ่ มีอุปสรรคใดหรือ?”
“ในเมื่อตาเฒ่าและอาวุโสเผ่าอื่นๆ ตอบรับเรื่องนี้ไว้แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางกลับคำ ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาวุโสเวิงยังออกคำสั่งเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ” เชียนจีจื่อลูบเคราขณะตอบกลับ
“ท่านอาวุโสสองสามท่านหมายความว่า…” หานลี่เดาอันใดได้รางๆ แต่ยังคงเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“สหายอย่าเข้าใจผิด ผู้แซ่ต้วนได้ยินศิษย์กล่าวว่า สหายดูเหมือนจะทำลายเขตอาคมสวนสมุนไพรในซากปรักหักพังได้ และยังกวาดเอาสมุนไพรไปจนเกลี้ยง คิดดูแล้วหากเป็นสมุนไพรแห่งแดนเทพเซียน จะต้องเป็นสิ่งที่ล้ำค่าหายากแน่ กว่าครึ่งคงมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปอย่างพวกเรา แม้ว่าสหายจะมีอิทธิฤทธิ์มาก แต่ถึงอย่างไรเสียก็ยังไม่ได้บรรลุระดับศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพรเหล่านี้คงไม่มีประโยชน์มากนัก หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เราสามคนอยากแลกเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายกับสหายหานสักหน่อย!” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย! ท่านอาวุโสทั้งสามคิดจะแลกเปลี่ยนอย่างไร?” หานลี่ได้ยินก็มีสีหน้าราบเรียบ และตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น
หานลี่มีสีหน้าราบเรียบ ทำให้เชียนจีจื่อและพวกรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ทั้งสามคนล้วนไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ต้วนเทียนเริ่นก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “จากฐานะของเราทั้งสาม แน่นอนว่าย่อมไม่ให้สหายเสียเปรียบแน่ พวกเราสามคนมียาลูกกลอนจำนวนหนึ่งอยากแลกเปลี่ยนกับสหายเป็นอย่างไร? แม้ว่าสมุนไพรแดนเซียนเหล่านั้นจะหายากมาก แต่เทียบกับการพัฒนาระดับขึ้นไปอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว สิ่งไหนสำคัญกว่า คิดดูแล้วสหายหานก็น่าจะรู้ดีสินะ?” เชียนจีจื่อครุ่นคิดแล้วเอ่ยตรงๆ
“มียาลูกกลอนที่ช่วยทะลวงจุดคอขวดระดับศักดิ์สิทธิ์!” หานลี่ได้ฟังก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วมีท่าทีสนใจเล็กน้อย
“ทว่า ตอนนั้นที่พวกเราสามคนพัฒนาระดับศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเตรียมยาลูกกลอนเอาไว้จำนวนมาก แม้ว่ากว่าครึ่งจะถูกใช้ไปจนเกลี้ยง แต่ในมือของเราสามคนก็ยังเหลืออยู่บ้าง เมื่อนำมารวมกันจำนวนก็ยังคงไม่น้อย สหายมียาลูกกลอนนี้คงเพิ่มอัตราการทะลวงจุดคอขวดระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน้อยสองสามส่วน” ต้วนเทียนเริ่นเอ่ยอย่างมั่นใจ
“แน่นอน พวกเราหยิบยาลูกกลอนและสมบัติมาได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูว่าสหายได้สมุนไพรแดนเทพเซียนมาจากสวนสมุนไพรนั้นเท่าไหร่ รวมทั้งชนิดของสมุนไพร” ไฉ่หลิวอิงเอ่ยเสริม
แม้ว่าหลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนที่อยู่ด้านข้างจะรู้ว่าต้วนเทียนเริ่นและพวกตามหาหานลี่เพราะเหตุใด ยามนี้สายตาที่มองหานลี่ก็อดที่จะเผยสีหน้าอิจฉาขึ้นมาไม่ได้
แม้ว่าครั้งนี้หลังจากที่พวกเขากลับมาจากแดนกว้างเย็นจะได้ประโยชน์มากมายจากต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิง แต่เทียบกับคำสัญญาในยามนี้ แน่นอนว่าย่อมเทียบกันไม่ได้
หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แววตาเปล่งประกายไม่แน่นอน ท่าทางครุ่นคิด
เชียนจีจื่อและพวกทั้งสามเองก็ไม่ได้เอ่ยปาก ให้หานลี่ได้ชั่งน้ำหนักข้อได้เปรียบเสียเปรียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่จึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจ เอ่ยกับเชียนจีจื่อและพวก “ชนรุ่นหลังได้สมุนไพรวิญญาณมาจากสวนสมุนไพรในเขตต้องห้ามจริงๆ จำนวนก็นับว่าไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจแยกแยะความเป็นมาได้ สามารถแลกเปลี่ยนยาลูกกลอนกับท่านอาวุโสทั้งสามได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่แค่ไม่รู้ว่าท่านอาวุโสทั้งสามจะสนใจสมุนไพรเหล่านี้หรือไม่”
“สหายหานโปรดวางใจ เราสามคนนับว่ามีประสบการณ์ คิดดูแล้วคงแยกแยะได้กว่าครึ่ง ต่อให้ไม่อาจแยกแยะได้ ก็จะให้ราคาที่สมเหตุสมผลกับสหายแน่” เมื่อได้ยินหานลี่ยินดีจะแลกเปลี่ยน เชียนจีจื่อก็เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
ต้วนเทียนเริ่นและไฉ่หลิวอิงเองก็ดีใจ แล้วเอ่ยรับประกันเช่นกัน
“ท่านอาวุโสทั้งสามกล่าวเช่นนี้ ชนรุ่นหลังจะนำสมุนไพรออกมาให้ท่านอาวุโสทั้งสามวินิจฉัยก็แล้วกัน”
หานลี่พยักหน้า แล้วสะบัดข้อมือ
กำไลเก็บของเปล่งเสียงหึ่งๆ ออกมา ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวก็พ่นออกมากลางอากาศ
หลังจากลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ กลางอากาศก็มีกล่องหยกหลากหลายรูปแบบจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทุกกล่องล้วนเปล่งแสงเรืองๆ
ต้วนเทียนเริ่นแววตาเปล่งประกาย มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ กล่องหยกที่อยู่ใกล้เขาที่สุดถูกดูดเข้ามาในมือ
ปัดนิ้วผ่านไป กล่องหยกเปิดออกโดยอัตโนมัติ ด้านในมีสมุนไพรวิญญาณสีแดงสดราวกับปะการังปรากฏขึ้น
ยามสองสามฉื่อเปล่งแสงเรืองๆ
“หญ้าปะการังเพลิง! คาดไม่ถึงว่าจะใหญ่ขนาดนี้!” ต้วนเทียนเริ่นร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตกตะลึง
หานลี่เห็นเช่นนั้น รูม่านตากลับหดเล็กลง จากนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
สมุนไพรวิญญาณต้นนี้เป็นหนึ่งในชนิดที่เขาเก็บมาแต่ไม่รู้จักชื่อ
หากจำไม่ผิดละก็ น่าจะเก็บสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้มาห้าหกต้น
และยามนี้แน่นอนว่าย่อมเอาออกมาแค่ต้นเดียว
ไฉ่หลิวอิงและเชียนจีจื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แววตาอดที่จะเต็มไปด้วยความเร่าร้อนไม่ได้
ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นดูดกล่องหยกเข้ามาในมือเช่นกัน และเริ่มแยกแยะอย่างละเอียด
พวกเขาสามคนคู่ควรกับสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปที่อยู่มามากกว่าหมื่นปีจริงๆ สมุนไพรที่หานลี่รู้จักนั้นไม่ต้องพูดถึง อันอื่นที่เดิมไม่อาจรู้ความเป็นมา คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเขาสามคนรู้จักไปห้าหกส่วน
และเห็นได้ชัดว่าสมุนไพรเหล่านี้ล้วนมีที่มาที่ไปทุกต้น ทำให้ทั้งสามคนดีใจอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ากล่องหยกกลางอากาศจะมีมากกว่าร้อยต้น แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งมื้ออาหาร ก็ถูกทั้งสามคนวินิจฉัยไปแล้วเกือบหมด
“ไม่เลวสมุนไพรเหล่านี้เป็นสมุนไพรที่หายากจริงๆ ทว่าตามกฎของสวนสมุนไพร น่าจะไม่ได้มีแค่ต้นเดียวกระมัง สหายหานยังมีสมุนไพรอีกเท่าไหร่ เอาออกมาเถิด” เชียนจีจื่อวินิจฉัยสมุนไพรในกล่องหยกกล่องสุดท้ายเสร็จ ก็เก็บสมุนไพรเข้าไปในกล่องหยกอย่างเสียดาย ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้มจางๆ