บุรุษชุดดำถูกลำแสงสีทองห่อหุ้มเอาไว้พลางปรากฏตัวขึ้นที่เดิม มองปราดหนึ่งดูเหมือนร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดก็จะพบว่าตรงแขนเสื้อข้างหนึ่งมีโลหิตที่ไม่สะดุดตาปรากฏขึ้นสองสามหยด มีขนาดแค่เท่าหัวแม่มือ ปรากฏอยู่บนแขนเสื้อสีดำ ดูไม่สะดุดตาเลยจริงๆ
แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาปรากฏตัวที่พื้น อย่างน้อยก็อยู่ในระดับก่อกำเนิดขึ้นไป จะไม่เห็นคราบโลหิตบนแขนเสื้อของบุรุษชุดดำได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นเสียงพึมพำพลันดังขึ้นจากด้านล่างแท่นทันที
คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าตกตะลึงระคนประหลาดใจออกมา
ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นของตระกูลเฟิงทั้งสองคนก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเผยสีหน้าดูไม่ได้ออกมา
กลับเป็นเซียนเสี่ยวเฟิงและอาวุโสเซียวที่อดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมาไม่ได้
หานลี่ที่อยู่กลางอากาศกลับไม่ได้ลงมืออีก แค่เหยียบไปบนภูเขาสีเขียวใต้ฝ่าเท้าแล้วมองคู่ต่อสู้ด้านล่าง ท่าทางสบายอารมณ์
แต่ภูเขาลูกน้อยพลันเปล่งแสงสีเขียวที่เดี๋ยวมืดมนเดี๋ยวสดใสออกมา กลับกลายเป็นไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนได้อีกครั้ง แล้วห่อหุ้มลงมาด้านล่าง
“นี่ไม่ใช่ลำแสงเทวะดูดปราณ น่าจะเป็นลำแสงเขียวไท่อี! ไร้สีไร้รูปร่าง แหลมคมหาที่เปรียบ แม้แต่สมบัติป้องกันตัวของข้าน้อยก็ไม่อาจต้านทานได้ น่ากลัวดุจในตำนานดังคาด”
บุรุษชุดดำยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือสีเขียวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากแขนเสื้อ ผิวมีคราบโลหิตปรากฏอยู่ ถูกไอกระบี่สองสามสายทำร้ายจนกลายเป็นรูเล็กๆ
“สหายฮุยอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา คาดไม่ถึงว่าจะใช้กายเนื้อต้านทานลำแสงเขียวไท่อีตรงๆ เกรงว่าความแข็งแกร่งของฝ่ามือสหายคงไม่ด้อยไปกว่าสมบัติป้องกันตัวธรรมดาๆ” หานลี่มองฝ่ามือสีเขียวของบุรุษชุดดำ แต่กลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หึๆ ฝ่ามือของข้าน้อยมีความพิเศษเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าในเมื่อเผยออกมาแล้ว ก็จำต้องให้สหายหานชี้แนะแล้ว” บุรุษชุดดำหัวเราะอย่างเย็นชา รูโลหิตบนฝ่ามือเปล่งแสงสว่างวาบ ผสานเข้าหากันอย่างแปลกประหลาด
แทบจะในเวลาเดียวกันบุรุษพลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ผิวเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ผิวหนังปรากฏลายสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
ลวดลายเหล่านี้หมุนวนโคจรอยู่บนผิวของบุรุษชุดดำ ไล่ไปตาแขนขาทั้งสี่ใบหน้าและทั่วสรรพางค์กาย ราวกับว่ามีชีวิตก็ไม่ปาน
มองจากไกลๆ ราวกับว่าบุรุษผู้นี้กลายร่างเป็นมารปีศาจ กลิ่นอายแปลกประหลาดยิ่ง!
หานลี่เห็นเช่นนั้น ก็เผยสีหน้าสนอกสนใจออกมา และตะปบฝ่ามือไปกลางอากาศ ไม้บรรทัดสั้นๆ สีเงินอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
แต่ในยามนั้นบรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่นอกลำแสงกลับแววตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยว่า
“อาวุโสฮุย ข้าช่วยเจ้าฝึกฝนอิทธิฤทธิ์นี้ ไม่ใช่เพื่อเอามาใช้ยามประลอง สหายหานผู้นี้มีกำลังไม่อ่อนแอ เจ้าไม่อาจโจมตีเขาให้พ่ายแพ้ได้ง่ายๆ ให้ตาเฒ่าลงมือเองเถิด อาวุโสฮุยลงมาก่อน”
สิ้นเสียงใต้ฝ่าเท้าของบรรพชนตระกูลหล่งก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินดีดตัวออกไป เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วปรากฏขึ้นด้านข้างบุรุษชุดดำโดยไม่สนใจลำแสงขนาดยักษ์ที่ห่อหุ้มอยู่
บุรุษชุดดำเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ แต่เมื่อสายตาประสานกับสายตาไร้ความรู้สึกของบรรพชนตระกูลหล่งก็ใจหายวาบ แล้วถึงได้พยักหน้าอย่างไม่ยินยอมนัก
“พี่หล่งไม่ต้องกังวล ข้ารู้ตัวดี ทว่าในเมื่อพี่หล่งอยากขึ้นเวที เช่นนั้นข้าน้อยก็จะยอมปล่อยสหายหานให้”
เอ่ยจบบุรุษชุดดำก็เก็บฝ่ามือข้างหนึ่งที่กำลังร่ายอาคม ลวดลายสีดำทั่วเรือนร่างค่อยๆ เบาบางลง สุดท้ายก็ทยอยกันหายไปจากผิวหนัง
จากนั้นบุรุษชุดดำพลันมองลึกเข้าไปในแววตาของหานลี่แวบหนึ่ง แล้วกลายเป็นไอสีดำบินออกจากลำแสงไป
“สหายหล่ง คิดจะลงมือเองหรือ? ข้าน้อยได้รับความโปรดปรานที่คาดไม่ถึงจริงๆ!” หานลี่เห็นบรรพชนตระกูลหล่งกวาดสายตามองตนเอง ใบหน้าไม่เพียงไม่เผยความหวาดกลัวอันใดออกมา กลับหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยถาม
“ผู้แซ่หล่งอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้ว สหายเพิ่งจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ได้ไม่นาน อย่าหาว่าบรรพชนรังแกผู้อ่อนแอ ขอแค่นายท่านรับได้สามกระบวนท่า ข้าก็จะกระโดดลงจากเวทียอมแพ้ทันที!” บรรพชนตระกูลหล่งเอาสองมือไพล่หลัง แต่เมื่อเอ่ยปากก็มีน้ำเสียงเย็นชา
“สามกระบวนท่า! เยี่ยม ผู้แซ่หานคงต้องลองดูหน่อยแล้ว” หานลี่ได้ยิน ยามแรกพลันตกตะลึง ทันใดนั้นมุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างเวทีได้ยินคำพูดของทั้งสอง พลันเกิดความวุ่นวายขึ้น
ก่อนหน้านี้คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะสำแดงพละกำลังที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลางออกมา นั่นก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยชำเลืองตามอง ยามนี้ได้ยินอาวุโสตระกูลหล่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลายผู้นี้ จะตัดสินแพ้ชนะในสามกระบวนท่า ก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
สำหรับศิษย์ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ธรรมดาๆ เหล่านี้ พิธีจิตวิญญาณเที่ยงแท้ครั้งนี้ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ แม้แต่อิทธิฤทธิ์ของระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายก็ยังได้เห็น นับว่าไม่เสียเปล่า
ถึงอย่างไรเสียจากพิธีในอดีต ปกติแล้วตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้อย่างตระกูลหล่งมักจะยอมสละสิทธิ์ แน่นอนว่าจึงไม่มีผู้ใดเห็นผู้บำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ลงมือ
“กระบวนท่าที่หนึ่ง”
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนตระกูลหล่งผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะพูดอันใดกับหานลี่ให้มากความ หลังจากที่ตะโกนออกมาเบาๆ มือข้างหนึ่งที่ไพล่อยู่ด้านหลัง ก็ตะปบออกไปด้านหน้า
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งมืดมน ไอวิญญาณฟ้าดินรอบๆ หมุนวนอย่างรุนแรง คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นมือยักษ์สีทองขนาดสองสามจั้งที่เหนือศีรษะของหานลี่ อักขระห้าสีบนผิวหมุนวน เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังขึ้น พลางตะปบมาทางหานลี่
ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ทันร่อนลงมา หานลี่ก็รู้สึกว่าอากาศรอบกายตึงแน่น คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อราวกับเหล็กกล้า ทำให้เขาไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิดกระผีกริ้น
แววตาของหานลี่เปล่งประกาย อากาศเหนือศีรษะมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ภูเขาขนาดย่อมสีดำปรากฏขึ้นอย่างแปลกประหลาด
หมอกลำแสงสีเทาม้วนวนลงมา หานลี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายผ่อนคลายลง แล้วกลับมาเป็นอิสระทันที เขาใช้ฝ่ามือแวววาวดุจหยกข้างหนึ่งตบไปกลางอากาศเบาๆ
ชั่วพริบตานั้นลำแสงห้าสีพลันพ่นออกมาจากนิ้วทั้งห้า จากนั้นก็ผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นฝ่ามือห้าสีที่ดูเหมือนผลึกวารี และพุ่งออกไปกลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น กรงเล็บยักษ์สีทองและฝ่ามือห้าสีปะทะเข้าด้วยกัน
ทั้งสองแค่ยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อกันเล็กน้อย กรงเล็บยักษ์เปล่งแสงสีทองสว่างวาบแล้วบีบให้กรงเล็บทั้งห้าแตกออกเป็นผุยผง
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา แค่มุมปากกระตุก แล้วยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปกลางอากาศ
กระดูกของฝ่ามือห้าสีแตกออกเป็นชิ้นๆ แค่กะพริบวาบก็กลายเป็นเปลวเพลิงห้าสีห่อหุ้มกรงเล็บสีทองเอาไว้
ครู่ต่อมากรงเล็บยักษ์สีทองที่ร่อนลงมาพลันแข็งตัว จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถูกน้ำแข็งผนึกเอาไว้จนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งห้าสี ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
บรรพชนตระกูลหล่งเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หางตาพลันกระตุก แต่ปากก็ร้องตะโกนออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
“กระบวนท่าที่สอง!”
สิ้นเสียงก็เห็นเขาใช้มือหนึ่งตบศีรษะ ชั่วขณะนั้นเสียงมังกรคำรามพลันดังขึ้น
จากนั้นลำแสงพลันสว่างวาบ เงาลวงตาของมังกรวารีสีทองตัวหนึ่งบินออกมาจากหน้าผากของเขา แล้วหมุนวนโคจรอยู่กลางอากาศ สะบัดหัวสะบัดหางพลางกระโจนเข้ามาหาเขา
ครู่ต่อมาร่างของบรรพชนตระกูลหล่งพลันเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ แขนและขาทั้งสี่ล้วนมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น เหนือศีรษะมีเขาสีทองความยาวสองสามชุ่นงอกออกมา
คาดไม่ถึงว่าเขาจะกลายเป็นครึ่งคนครึ่งมังกร และสองเท้าพลันขยับเล็กน้อย เสียงฟ้าร้องดังขึ้น คนเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปจากที่เดิม
แทบจะในเวลาเดียวกันที่หานลี่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่เหนือศีรษะ เงาร่างของบรรพชนตระกูลหล่งก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น และยกมือขึ้น ฝ่ามือสีทองที่มีเกล็ดปกคลุมกางนิ้วทั้งห้าออก แล้วตะปบลงมาด้านล่างอย่างช้าๆ
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น พลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งกดลงมาหาตน
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ฝ่ามือห่อหุ้มแท่นหมื่นวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกได้
และหากถูกกรงเล็บที่มีพลังมหาศาลผสมอยู่กดลงมา แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้
เมื่อขบคิดอีกที หานลี่ก็แทบจะเคลื่อนไหวจิตสัมผัสอย่างไม่ต้องขบคิด ยอดเขาสีดำเหนือศีรษะพลิ้วไหว กดลงมาที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบ เงาสีทองทะลักออกมาจากแผ่นหลัง กลายเป็นเงาลวงตาสีทองสูงสองสามจั้ง สามเศียรหกกร หน้าตาน่ากลัว
ยามนี้กลางอากาศพลันมีเสียงดังขึ้น!
ชั่วพริบตาที่ยอดเขาสีดำและฝ่ามือสีทองสัมผัสกัน ราวกับปะทะกับยอดเขามหึมาอีกลูก สั่นเทาแล้วบินออกมา
ฝ่ามือสีทองยังคงตะปบมาทางหานลี่อย่างไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม รูปปั้นพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเทวะที่แผ่นหลังชูมือทั้งหกขึ้นพร้อมกัน กำปั้นทั้งหกโจมตีไปกลางอากาศราวกับพายุฝนกระหน่ำ
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ ไม้บรรทัดสีเงินในมือของหานลี่โบกสะบัด เงาไม้บรรทัดสีเงินความยาวสองสามจั้งสับลงมาตามกำปั้นเงาติดๆ
ชั่วขณะนั้นครู่ต่อมาพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง อานุภาพที่สร้างขึ้นจากกำปั้นเงาสีทองและไม้บรรทัดเงาสีเงินกลบไปทั่วศีรษะ
ไม้บรรทัดเงาในมือหานลี่หม่นแสงลง จากนั้นไม้บรรทัดสีเงินก็เปลี่ยนรูปไปไม่หยุด
จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย จากร้อยเป็นพัน…
ชั่วพริบตานั้นไม้บรรทัดสั้นสีเงินที่แบ่งออกเป็นพันหมื่นอันพลันทะลักออกมาจากมือของหานลี่ กลายเป็นดาวตกสีเงินหมุนวนไปกลางอากาศ
ทุกคนที่อยู่นอกม่านลำแสงเห็นหานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์ที่น่าหวาดกลัวออกมา คนกว่าครึ่งล้วนมองจนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ส่วนคนส่วนน้อยพลันสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่หยุด
แต่ในยามนั้นเอง เหนือหานลี่กลับมีเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาของบรรพชนตระกูลหล่งดังขึ้น จากนั้นพลันสั่นเทาอย่างรุนแรงราวกับภูเขาสะเทือนแผ่นดินถล่ม!
กำปั้นเงาสีทองและไม้บรรทัดสั้นสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งโจมตีลงมา แล้วทยอยกันสลายหายไป
ฝ่ามือสีทองข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ปรากฏห่างจากศีรษะของหานลี่ไปสองสามจั้ง และตะปบลงมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
แต่ในยามนั้นกลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น กำปั้นสีเขียวอีกข้างยื่นออกมา เละโจมตีไปที่ฝ่ามือสีทองอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ฝ่ามือสีทองที่ดูเหมือนไม่อาจต้านทานได้ จึงถูกกำปั้นสีเขียวโจมตีจนกระเด็น
และถือโอกาสนี้ หานลี่หยักไหล่ หายวับไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวอีกที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ และเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของกำปั้นสีทอง
สายตาเยือกเย็นดุจสายธาร!