คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 1876 การปรากฏครั้งแรกของหมู่มาร

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

“ขอรับ นายท่าน!” ค้างคาวยักษ์ทั้งห้าตัวโพล่งภาษามนุษย์ออกมา กระพือปีกทั้งคู่ แล้วกลายร่างเป็นสายลมเอื่อยหายลับไปอีกครั้ง

และเมื่อยักษ์หัววัวเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นหนึ่งครั้ง พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ทันใดนั้นกลางฝ่ามือก็มีแตรสัญญาณเขาสัตว์สีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วยกขึ้นมาที่ปากออกแรงเป่า

ทันใดนั้นเสียงให้สัญญาณก็ไปแว่วเข้าไปกลางหลุม เสียงแตรทุ้มต่ำโหยหวน เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันป่าเถื่อนที่ยากจะบรรยาย

พวกวัวยักษ์สีครามที่ตอนแรกอยู่ปะปนร่วมกันกับค้างคาวโลหิต ทันทีที่ได้ยินเสียง ดวงตาทั้งคู่ก็แดงก่ำเป็นสีเลือด พ่นไอขาวออกจากปาก จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาพร้อมกัน แล้ววิ่งตรงไปรวมตัวกันยังที่ซึ่งวัวยักษ์ยืนอยู่

หลังจากนั้นเสียงแตรเขาสัตว์จากปากของวัวยักษ์ทันใดนั้นก็เปลี่ยนไป เสียงที่ทุ้มต่ำค่อยๆ กลายเป็น “เสียงง้าวขอ” กระทบกัน จากนั้นร่างกายก็วูบไหว กลายร่างเป็นแสงสีเงินบินพุ่งไกลออกไปอย่างรวดเร็ว

แต่ด้านหลังเขา โคอสุนีบาตนับหมื่นตัวรวมกันกลายเป็นกระแสคลื่นที่โหมกระเพื่อม ถาโถมพักไกลออกไปด้วยพลังที่ยากจะต้านทาน

ชายหนุ่มอัปลักษณ์ได้เห็นเช่นนั้นก็เผยอปาก รีบส่งเสียงร้องแหลมเสียงหนึ่งออกมาจากปากทันที

ค้างคาวโลหิตเหล่านั้นทันทีที่ได้ยิน ก็โกลาหลขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นก็กลายเป็นเมฆโลหิตหลายสิบลูกราวกับได้รับคำสั่ง บินกระจายไปทั่วทุกทิศ

ค้างคาวโลหิตจำนวนมากกว่าโคอสุนีบาตหลายสิบเท่า ดังนั้นถึงแม้จะแบ่งออกเป็นหลายสิบกระบวน แต่ทุกขบวนก็มีจำนวนค้างคาวโลหิตนับหมื่นตัว

ดังนั้นแม้แต่ทิศทางที่โคอสุนีบาตทั้งหมดเดินทางไป ก็มีค้างคาวโลหิตสองฝูงใหญ่ตามไปติดๆ โดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นหรือไม่

และบนตัวของชายหนุ่ม ปีกทั้งสองหุบเก็บ และก็กลายร่างเป็นแสงสีเลือดลูกหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในเมฆสีเลือดก้อนที่ใหญ่ที่สุด ชั่วพริบตาเดียวก็หายวับไร้ร่องรอย

กลางไอมารที่ยังคงแผ่กระจายออกไปทั่วทุกสารทิศอย่างคลุ้มคลั่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อสัตว์อสูรทั้งสองเผ่าพันธุ์ได้จากไปแล้ว ก็เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่าเงียบวังเวง

แต่ชั่วก้านธูปเดียว ไอมารคุกรุ่นรุนแรงมากยิ่งขึ้น ส่งเสียงดังหวีดหวิวอยู่ภายใน และแล้วงูเหลือมยักษ์ตัวดำสนิทหลายตัวก็ปรากฏขึ้น

และบนหน้าผากของงูเหลือมเหล่านี้ มีดวงตาสีแดงดั่งเลือดสดๆ ดวงหนึ่ง นี่ก็คือฝูงงูเหลือมมารสามตาที่ยากจะได้พบ

จำนวนงูเหลือมยักษ์เหล่านี้น้อยกว่าโคอุสนีบาตและค้างคาวโลหิตอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงห้าหกพันตัวเท่านั้น แต่เมื่อรวมอยู่ด้วยกัน ก็แผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์อสูรสองเผ่าพันธุ์ก่อนหน้านี้

บนตัวของงูเหลือมมารตัวที่ใหญ่ที่สุดซึ่งยาวถึงสามร้อยจั้ง มีเผ่าพันธุ์มารระดับสูงคนหนึ่งสวมชุดเกราะดูโหดเหี้ยมใส่หน้ากากสีดำยืนอยู่

เขากอดอกด้วยมือทั้งสอง ใช้สายตาคาดคะเนมองไปรอบด้านอย่างเย็นชา แต่ดูเหมือนเป็นเพราะไม่เห็นร่องรอยของสัตว์อสูรทั้งสองเผ่าพันธุ์ก่อนหน้านี้ รูม่านตาจึงหดลงเล็กน้อย สีหน้าดูประหลาดใจ

แต่ครั้นแล้วเขาก็ย่ำเท้าลงไปบนงูเหลือมมาร

งูเหลือมตัวนี้ชูลำตัวส่วนบนขึ้นมาทันที จากนั้นก็ส่งเสียงทุ้มต่ำดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้องออกมาจากปาก จากนั้นหัวของงูเหลือมยักษ์ก็ส่องประกายแสงสีแดงเลือด ชั่วพริบตาเดียวเขาสีเลือดหน้าตาแปลกประหลาดสองกิ่งก็ปรากฏออกมา พร้อมกันนั้นบริเวณหลังก็บิดเบี้ยวพองยุบ ปีกเนื้อสีครามคู่หนึ่งก็เหยียดออกมาจากร่างกาย

งูเหลือมมารสามตาตัวอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเช่นนั้น ต่างก็กรูกันขยับเคลื่อนพุ่งออกมาจากไอมาร จากนั้นก็ชูหัวขึ้นส่งเสียงร้อง ประหนึ่งว่ามาเข้าเฝ้ากษัตริย์

มีเพียงเผ่าพันธุ์มาในชุดเกราะสีครามผู้นั้น ยืนนิ่งอยู่บนหัวของงูเหลือมยักษ์ ดวงตาทั้งคู่เยือกเย็นอย่างถึงที่สุด ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

“ไม่เจอกันเพียงไม่กี่หมื่นปี งูเหลือมเทพเจ้าชะตาตัวนี้ของพี่เว่ยพัฒนาขึ้นมาถึงขนาดนี้ ดูท่าตอนนี้คงจะสู้กับระดับเทพช่วงต้นได้แล้วสินะ” ฝูงงูเหลือมทั้งหมดเมื่อพุ่งออกมาจากไอมารแล้ว ก็รีบตามเสียงดังกังวานของชายหนุ่มไปติดๆ

จากนั้นสายลมอันชั่วร้ายก็พัดหวนขึ้นหอบหนึ่ง แมลงประหลาดตัวยาวกว่าจั้งตัวหนึ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางไอสีดำ

แมลงตัวนี้ยาวถึงสองจั้ง ทั่วทั้งตัวเป็นสีม่วงอ่อน บนหัวมีหนวดยาวเรียวบาง ในปากมีเขี้ยวโง้งยาวโผล่ออกมา ขาคู่หน้าเป็นรูปใบมีดขนาดมหึมา ดูราวกับตั๊กแตน

และบนตัวของแมลงยักษ์ตัวนี้ มีคนตัวเล็กสูงประมาณสามศอกคนหนึ่งยืนอยู่

คนตัวเล็กผู้นี้ดูเหมือนว่าจะอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปี เปียผมชี้ยาวขึ้นท้องฟ้า สวมชุดนักพรตสีเขียวอ่อนตัวหนึ่ง บนไหล่แต่ละข้างมีกระบี่ด้ามเล็กสีทองสามด้ามเสียบอยู่ ดวงตาสีขาวตัดดำกวาดมองไปมา ดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง

“ที่แท้ก็คือสหายหุนจูนี่เอง ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ข้าได้โอสถวิญญาณหายากอันหนึ่งมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อให้งูเหลือมวิญญาณเจ้าชะตา มันจึงสามารถทะลุข้ามมาถึงระดับนี้ได้ แต่สหายเองไม่เจอกันหลายปี ร่างกายดูบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น!” มารในชุดเกราะสีครามกวาดสายตามองเด็กน้อยด้วยแววตาเย็นชา

“เพื่อการเดินทางมายังแดนวิญญาณในครั้งนี้ ข้าได้เตรียมการมาล่วงหน้าหลายปีแล้ว ระดับการบำเพ็ญเพียรย่อมต้องทะลุผ่านระดับขึ้นมาอย่างแน่นอน” เด็กน้อยหัวเราะร่าแล้วพูดขึ้น

“ในเมื่อเผ่าสหายหุนมาถึงแล้ว ก็มาร่วมกันเถอะ เมื่อคิดดูถึงแม้ว่าแถวนี้ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรมากมาย และไม่มีทางที่จะต้านทานการร่วมมือของพวกเราสองเผ่าพันธุ์ได้” มารเกราะสีครามพูดเสนอน้ำเสียงเรียบ

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เด็กๆ ทั้งหลาย ออกมาเดี๋ยวนี้!” เมื่อเด็กน้อยได้ยิน ก็ตอบรับด้วยใบหน้าที่เต็มอาบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังไปยังกลางไอมาร!

ทันทีที่พูดจบ ท่ามกลางทะเลมารที่ก่อตัวขึ้นจากไอสีดำก็ส่งเสียงดังอื้ออึง ในตอนแรกเสียงยังไม่ดังเท่าไรนัก แต่ชั่วครู่เดียวก็ดังขึ้นมาราวกับคลื่นที่พวยพุ่งโหมกระหน่ำ

ชั่วครู่เดียวแมลงมารที่เบียดเสียดกันก็บินพุ่งออกมาจากไอมาร

แมลงมารเหล่านี้ตัวใหญ่พอๆ กับศีรษะ นอกจากร่างกายที่เล็กแล้ว รูปร่างก็ไม่ต่างจากตั๊กแตนยักษ์ที่อยู่ใต้เท้าของเด็กน้อย แต่ด้วยจำนวนที่มหาศาล จนแทบจะพูดได้ว่าปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า เพียงชั่วเวลาอันสั้นก็โหมพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดจากไอมาร และในที่สุดก็หยุดลง

ในเวลานี้เผ่าแมลงมารนี้ดูเหมือนจะแผ่ไอมารปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ปีกสั้นสีม่วงแต่ละคู่ขยับกระพือ จำนวนมากมายถึงเจ็ดแสนแปดแสนคู่ และฝูงแมลงอันใหญ่โตมหาศาลเช่นนี้ เมื่อมองจากที่ไกล ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ย่อมต้องรู้สึกขนพองสยองเกล้าอย่างแน่นอน!

มารชุดเกราะสีครามกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร พูดสั่งเสียงต่ำ งูเหลือมยักษ์สามตาที่เบียดเสียดออกกันอยู่รอบด้านเหล่านั้น ก็พุ่งตัวลงไปบนพื้นด้านล่าง จากนั้นก็เปล่งแสงวิญญาณ แล้วซึมแทรกเข้าไปกลางโคลนดินหายลับไร้ร่องรอยอย่างน่าอัศจรรย์

แต่ตัวของมารระดับสูงผู้นี้ ก็เอาปลายเท้าแตะไปบนตัวงูเหลือมที่อยู่ด้านล่างโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วกลายเป็นแสงสีน้ำเงินพุ่งออกไปยังทิศทางหนึ่ง

เด็กน้อยเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะคิกๆ จากนั้นก็ส่งเสียงผิวปากยาว บังคับให้แมลงมารตัวเขื่องก็บินพุ่งไปยังทิศทางเดียวกัน

ฝูงแมลงที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดเหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงผิวปาก ก็ขยับเคลื่อนโกลาหลขึ้นมาทันที จากนั้นก็กลายเป็นทะเลแมลงขนาดใหญ่พุ่งตามไป

ในเวลาต่อมา ฝูงสัตว์อสูรที่แยกกลุ่มออกเป็นจํานวนแตกต่างกัน ก็ทยอยกันพุ่งออกมาจากไอมาร จากนั้นก็บินม้วนไปยังทิศทางต่างๆ ด้วยความฮึกเหิมตามการสั่งการของเผ่าพันธุ์มารระดับสูง

ดูฉากขบวนที่วุ่นวายไร้ระเบียบของพวกมัน เหมือนกับว่าไม่มีเป้าหมายชัดเจนอะไรแม้แต่น้อย

เมื่ออสูรมารสิบสามระลอกบินจากไปแล้ว ไอมารที่ลอยม้วนอยู่กลางท้องฟ้า ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ในครั้งนี้ เว้นช่วงไปราวครึ่งชั่วยาม กลางไอมารจึงได้มีความเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง

เริ่มจากเสียงกลองทุ่มต่ำที่ดังออกมาแว่วๆ จากภายใน จากนั้นเสียงก็ดังขึ้น ทั่วทั้งทะเลมารม้วนพัดซัดสาดขึ้นมา และอุสนีบาตสีเงินหลายสายก็ปรากฏขึ้นยังไม่มีที่มา เสียงฟ้าร้องเริ่มดังขึ้น

ในเวลานั้นเองความว่างเปล่าก็เริ่มกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แผ่ออกมาจากส่วนลึกของไอมารอยู่เป็นระลอก

ทะเลมารที่ใหญ่โตมากอยู่แล้วในตอนแรกก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าอีกสามส่วน

ตามด้วยวัตถุขนาดใหญ่โตจำนวนนับร้อย ในที่สุดก็ปรากฏตัวตามกันออกมาจากส่วนลึกของไอมาร

วัตถุเหล่านี้เป็นสีดำสนิท บนผิวประทับด้วยอักษรยันต์ขนาดใหญ่ส่องประกายสีเงิน ก่อร่างเป็นรูปหอสามเหลี่ยมขนาดมหึมา ที่ฐานกว้างนับร้อยลี้ ทะลุผ่านมิติออกมาท่ามกลางแรงกระเพื่อมที่รุนแรงไม่ขาด ดูราวกับเมืองปราการขนาดย่อมๆ หลายลูกลอยลงมาจากท้องฟ้า

แต่ทว่าวัตถุขนาดมโหฬารเหล่านี้ ไม่ได้จบเพียงแค่นี้!

ในวินาทีที่วัตถุแต่ละที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำ ก็ถูกสายฟ้าสีเงินในไอมารโจมตีอยู่ไม่ขาดสาย และยังเคลื่อนที่บิดม้วนไปทั่วผิวภายนอกของมันยังไม่หยุด ราวกับว่าจะฉีกถึงมันออก

อักษรยันต์สีเงินบนผิวหอยักษ์ทรงสามเหลี่ยมส่องสว่างขึ้นอย่างมาก จากนั้นก็กดทับทุกอย่างกลายสภาพเป็นเขาพระสุเมรุ แล้วร่อนลงสู่พื้นผิวแผ่นดินด้านล่าง ส่งเสียงดังกึกก้องสนั่นแผ่นดิน

ที่ซึ่งพวกมันร่อนลงนั้น ไม่ว่าจะเป็นทิวเขายอดดอย หรือจะหนองบึงป่าไม้ ก็ถูกทับหายไปในพริบตา เสียงดังสนั่นน่าตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!

เวลาขึ้นชั่วยามเต็มๆ ผ่านพ้น วัตถุยักษ์เหล่านี้ในที่สุดก็ร่อนตามกันลงมาจนเสร็จ

แล้วตามด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

ผนังขนาดมหึมาด้านหนึ่งของหอยักษ์คอยสามเหลี่ยม ยันต์เวทสีเงินก็ส่องแสงขึ้น จากนั้นประตูขนาดยักษ์สีเงินแต่ละบานก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ เบียดเสียดแน่นหนา และค่อยๆ แง้มสู่ภายนอก

เสียงกลองรบที่แว่วออกมาจากหอคอยยักษ์ที่เห็นอยู่รำไร ทันใดนั้นก็ดังก้องขึ้นมา

ตามด้วยเรือรบไม้แต่ละลำดำสนิทเป็นเงา ก็เบียดเสียดกันออกมาจากประตูขนาดยักษ์สีเงิน

เรือรบเหล่านี้ความยาวเพียงไม่เกินสิบกว่าจั้ง ทั่วทั้งตัวลำเรือถูกคลุมไปด้วยแสงสีดำอีกชั้นหนึ่ง แต่ปลายสุดของเรือรบแต่ละลำต่างมีรูปสลักเทพมารหน้าตาโหดเหี้ยมผิดสามัญสลักติดเอาไว้ สองกราบเรือมีใบมีดแหลมคมรูปร่างยาวอย่างน่าประหลาดหลายสิบเล่มโผล่ยื่นออกมา

ทะลุผ่านแสงสีดำ เห็นมารในชุดเกราะสีน้ำเงินดำห้าหกตนกำลังนั่งอยู่บนเรือรบแต่ละลำอยู่รำไร แต่ละตนต่างถืออาวุธมีคมนั่งอยู่หัวเรือ

เรือรบเหล่านี้ไม่ได้บินลอยออกไปไกลๆ แต่บินลอยไปมากลางอากาศ วนเวียนอยู่รอบหอคอยยักษ์ที่มันสังกัดอยู่

และเมื่อหอคอยยักษ์แต่ละแห่งปล่อยเรือรบสีดำออกมานับร้อยลำแล้ว นักรบชุดเกราะเผ่ามารที่มีปีกคู่หนึ่งงอกอยู่บนหลังสวมเกราะหนังสีแดงทั้งตัวแต่ละกองก็เดินออกมาจากหอยักษ์

ในมือของพวกมันบ้างก็ถือง้าวขอ บ้างก็ถือคันธนู และในวินาทีที่กรูกันเดินออกมาจากประตูเงิน ปีกพลันกระพือไหว กรูกันบินพุ่งสู่ท้องฟ้า แล้วกระจายตัวไปทั่วทุกทิศ ดูราวกับกำลังตื่นตัวระวัง

ประตูเงินที่อยู่ด้านล่างเปล่งแสงวิญญาณ รุ้งโค้งน่าหวาดกลัวสีต่างๆ หลายสายก็ยิ่งพุ่งออกมาจากด้านใน

ทันทีที่แสงดับลง ทันใดนั้นเงาร่างที่ไม่ได้แตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์หลายร่างก็ปรากฏขึ้นอยู่กลางอากาศ

ผู้คนเหล่านี้มีทั้งหญิงและชาย สวมชุดแตกต่างกัน บางคนสวมชุดคลุมยาว บางคนใส่เกราะรบ และบางคนยังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

แต่ทั่วร่างของทุกคนปกคลุมไปด้วยไอมาร ดวงตาฉายแววเล่นยะเยือก บางคนส่ายหัว ทั่วทั้งร่างกายสั่นสะเทือนส่งเสียงดังวุ่นวาย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างมนุษย์อสูรสองหัวสี่แขน

หน้าตาไม่ได้แตกต่างจากศีรษะเดิมในตอนแรก แต่ศีรษะที่สองที่จำแลงขึ้นนั้น ต่างมีใบหน้าที่โหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัว ไม่ต่างจากอสูรกาย

มนุษย์อสูรที่กลายร่างแล้วเหล่านี้ต่างฮึกเหิม เงยหน้าทั้งคู่ขึ้นบนท้องฟ้าส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ราวกับว่าไม่สามารถสะกดจิตสังหารที่อยู่ในใจไว้ได้อีกต่อไป

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท