“นายท่านโปรดวางใจ อรหันต์ชิงหลงถูกข้ากลืนกินลงไปแม้กระทั่งทารกวิญญาณแล้ว ในโลกนี้ไร้ซึ่งคนผู้นี้อีก แค่ก่อนตายเขาไม่ระงับพิษอีก แต่สำแดงอิทธิฤทธิ์พยายามดิ้นรนสุดกำลังออกมา ทำให้ข้าเองก็สูญเสียปราณแท้ไป จึงจำใจต้องนั่งสมาธิอยู่ด้านนอกสองวันถึงได้แอบกลับมาพร้อมกับสายลับของเมืองเทวะสวรรค์ ผู้คนไม่มีทางพบเห็นข้าแน่นอน” อสูรมิคาทนเบะปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อืม ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว เช่นนี้ข้าก็จะไม่กังวลใจอีก มีสมาธิในการทะลวงจุดคอขวดขั้นปลายแล้ว” หานลี่ได้ยินมุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ฮิๆ จากพรสวรรค์ในการฝึกฝนของนายท่าน ประกอบกับที่เตรียมการไว้มากมาย การทะลวงจุดคอขวดย่อมไม่มีปัญหา ข้าจะแสดงความยินดีกับนายท่านก่อนที่พัฒนาระดับขั้นได้” อสูรมิคาทนกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ในเมื่อเจ้าแปลงกายได้แล้ว ยามปกติก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณอีก ฝึกฝนอยู่ในห้องลับติดกับข้าก็แล้วกัน มีอันใดก็ไปบอกกับพวกชี่หลิงจื่อ ข้าจะออกคำสั่งให้พวกเขาตอบสนองทุกอย่างที่เจ้าต้องการ” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอบพระคุณนายท่าน ข้าไม่อยากอยู่ในกำไลอสูรวิญญาณนานแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปฝึกฝนที่ห้องข้างๆ ก่อน รอนายท่านเริ่มกักตน ข้าจะมาคุ้มกันอีกครั้ง!” อสูรมิคาทนยินดียิ่ง แล้วขอตัวกล่าวลาทันที
หานลี่ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย หลังจากกำชับสองสามประโยค ก็ให้เขาออกไป
หลังจากรอให้เงาร่างของอสูรมิคาทนหายวับไปแล้ว หานลี่ก็สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ ยันต์ถ่ายทอดเสียงใบหนึ่งปรากฏออกมา ชูมือขึ้นปล่อยออกไป จากนั้นก็หลับตาลงนั่งสมาธิต่อ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ด้านนอกห้องลับก็มีเสียงของสตรีดังขึ้น
“พี่หาน เจ้าเรียกหาข้าในยามนี้ หรือว่าจะเริ่มทะลวงจุดคอขวดแล้ว”
น้ำเสียงนี้ไพเราะเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชา นั่นคือเสียงของสตรีนามว่าหงส์น้ำแข็ง
“สหายเฟิงเดาไม่ผิด ผู้แซ่หานคิดจะเริ่มแล้ว” หานลี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น แล้วตอบกลับอย่างราบเรียบ
……
สองสามวันต่อมาภายในห้องลับของเมืองเทวะสวรรค์ สมาชิกสมาคมอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์เจ็ดแปดคนกำลังรวมตัวปรึกษาอันใดกันอยู่ในห้อง
ภิกษุจินเย่ว์หนึ่งในนั้น เซียนหยินกวงและพวกก็อยู่ในนั้น
“เช่นนั้น อรหันต์ชิงหลงก็เพลี่ยงพล้ำไปแล้วจริงๆ! น่าเสียดายนัก ยามนี้เป็นความเสียหายที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองเผ่าของพวกเราจริงๆ” ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวผมสีเงินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำ ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย
“หากไม่ใช่ว่าชิงหลงเข้าสมาคมอาวุโสแล้วทิ้งแผ่นป้ายประจำตัวเอาไว้ในตำหนักลับ ข้าเองก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ ตามที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่คุ้มกันตำหนักกล่าว แผ่นป้ายของเขาน่าจะออกจากเมืองไปได้ครึ่งวัน ก็แตกละเอียดไปเอง” ภิกษุจินเย่ว์ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น
“หึ อรหันต์ชิงหลงรนหาที่ตายเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่ารอบๆ นี้ล้วนเป็นคนของเผ่ามาร ยังกล้าส่งตัวออกไปอีก ข้าว่าคงโทษใครไม่ได้ เขารนหาที่ตายเอง” เซียนหยินกวงเอ่ยพร้อมกับแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
“หึๆ ชิงหลงอาจจะไม่ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่ามาร ไม่แน่ว่าผู้ที่ลงมืออาจจะเป็นคน! ไม่ใช่ได้ยินผู้คุ้มกันบอกว่ายามที่ส่งตัวนั้น ยังมีคนหนึ่งใช้เขตอาคมส่งตัวตามอรหันต์ชิงหลงไปหรือ? ไม่แน่ว่าอรหันต์ชิงหลงอาจจะตายด้วยน้ำมือของเขา” ชายร่างใหญ่สวมชุดหนังสีดำอีกคนหนึ่ง กลับเอ่ยพร้อมกับหัวเราะร่า
“หรือว่าเจ้าสงสัยสหายหาน!” เซียนหยินกวงได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย
“เซียนอิ๋นอย่าพูดจาซี้ซั้ว ข้าน้อยไม่เคยกล่าวเช่นนั้นมาก่อน ข้าแค่พูดว่าชิงหลงอาจจะไม่ได้เพลี่ยงพล้ำภายใต้เงื้อมมือของเผ่ามารเท่านั้น” ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วปฏิเสธเสียงแข็ง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกหวาดกลัวหานลี่และไม่อยากล่วงเกินง่ายๆ
เซียนหยินกวงหัวเราะน้อยๆ ออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอันใด
“ช่างเถิด ในเมื่ออรหันต์ชิงหลงอยากออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์ ก็หมายความว่าเขาไม่อยากเป็นสมาชิกของสมาคมอาวุโสของพวกเราแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสืบสาวอันใดอีก ยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกองทัพเผ่ามารกำลังล้อมเมือง!” ชายชราผมสีเงินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า
“แต่ถึงอย่างไรเสียอรหันต์ชิงหลงก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นกลาง มาเพลี่ยงพล้ำไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้ พวกเราก็อาจอธิบายกับผู้บำเพ็ญเพียรในมือได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อท่าทีของเซียนหลินหลวนที่มีต่อพวกเราหรือ?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่กู้ของหอคอยโตวหยวนผู้นั้นกลับเอ่ยอย่างมีแผนการ
“จะมีอันใดให้อธิบาย หากพวกเราไม่พูด คนอื่นๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าอรหันต์ชิงหลงเพลี่ยงพล้ำไปแล้ว ต่อให้คิดจะสืบสวนเรื่องนี้ ก็ต้องให้เคราะห์มารจบลงก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่สองเผ่าของพวกเรากำลังเผชิญกับหายนะจะถูกทำลายเผ่าในยามนี้ อย่างอื่นต้องเอาไว้ที่หลัง ส่วนสหายหลินนั้น นางเป็นผู้ที่ชาญฉลาดมาก ข้าเชื่อว่านางน่าจะรู้ว่าอันใดถูกอันใดผิด” ชายชราผมสีเงินมีน้ำเสียงเย็นชา แล้วเอ่ยอย่างเข้มงวด
คนอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดคุยได้ยินเช่นนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายก็พยักหน้า
“เยี่ยมมาก ในเมื่อทุกท่านล้วนไม่มีความเห็น เช่นนั้นจากนี้ก็ควรจะบอกเรื่องนี้กับสหายหานแล้ว ภิกษุจินเย่ว์ได้ยินว่าสองวันก่อนเจ้าส่งคนไปเชิญสหายหานให้มาเข้าร่วม เขากลับเริ่มกักตนแล้ว มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ชายชราผมสีเงินมีสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยถามภิกษุจินเย่ว์
“อืม มีเรื่องเช่นนี้จริง เดิมข้าอยากจะทุ่มสุดกำลัง ดูว่าจะชักจูงสหายหานให้ยอมล้มเลิกความคิดที่จะให้สหายชิงหลงออกจากเมืองได้หรือไม่ แต่ลูกศิษย์ใต้อาณัติของสหายหานกลับบอกว่าเขากักตนไม่รับแขก!” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เช่นนี้ เขาคงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าสมาคมจะมาเป็นแขก ถึงได้จงใจหลบเลี่ยงไม่พบหน้า” ชายชราผมสีขาวลูบเครา แล้วเอ่ยอย่างมีแผนการ
“อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ตาเฒ่าเชิญสหายมาเมื่อสองสามวันก่อน เขาได้พบกับเจ้าพวกที่เคยถูกชิงหลงซื้อไปครั้งหนึ่ง ได้ยินว่ายามที่เจ้าพวกนั้นออกมา ทุกคนล้วนมีหน้าซีดขาว ดูเหมือนจะถูกสหายหานเคาะด้วยศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาล และไม่รู้ว่าพวกเขาจะรวบรวมได้ในจำนวนมหาศาลนั้นหรือไม่” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“หึๆ เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังเข้าร่วม ได้รับความทุกข์ยากสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร! ข้าว่าหากไม่ใช่เพราะสหายหานกลัวปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขา จะยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร” ชายชราผมสีเงินกลับหัวเราะอย่างเย็นชาขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ ทว่าสหายหานทำเช่นนี้ ทำให้อาตมาผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ยอมหยุดพักง่ายๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่เล็กเลย” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยด้วยสีหน้าจนปัญญา
“โชคดีที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น! หากไปถึงขั้นนั้นแม้แต่ตาเฒ่าก็คงต้องหัวโตไม่น้อย” ชายชราผมสีเงินหัวเราะแห้งๆ
“ปรมาจารย์ ข้าได้ยินว่าชิงหลงถูกโจมตีสามครั้งก็พ่ายแพ้ให้กับสหายหาน เรื่องนี้มันจะเกินจริงไปหน่อยกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“เป็นเช่นนั้นจริง! สหายหานมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร ในชีวิตของอาตมาก็เพิ่งเคยเห็น เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายทั่วๆ ไป คงไม่ใช่คู่มือของเขา ผู้ที่ได้เห็นเขาประมือกับชิงหลง ไม่ได้มีแค่อาตมา เซียนหยินกวงและสหายกู้ก็อยู่ด้วยเช่นกัน สหายไม่เชื่อก็ไปถามเอาเถิด” ภิกษุจินเย่ว์ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำได้ยินคำตอบนี้ก็ทนไม่ไหวมองไปยังเซียนหยินกวงและชายชราแซ่กู้
เซียนหยินกวงเย็นชาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ส่วนชายชราแซ่กู้ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เขา ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่ไม่เคยพบกับหานลี่ ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเช่นกัน
“เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลาย มันจะเกินไปหน่อยกระมัง แม้ว่าอรหันต์ชิงหลงจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่แม้แต่การโจมตีจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันสามครั้งก็ยังรับไม่ไหว กว่าครึ่งคงเป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอม ผู้ที่เอาชนะเขาได้ ไม่ได้หมายความว่าจะมีอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำฝืนยิ้ม ยังคงหาเหตุผลที่เหมือนไม่ใช่เหตุผลมาเอ่ย
“หากสหายคิดเช่นนั้นก็ผิดแล้ว อรหันต์ชิงหลงมีร่างครึ่งปีศาจ แม้กระทั่งสามารถกายร่างเป็นครึ่งมังกรได้ ประกอบกับเคล็ดวิชาลัทธิขงจื๊อที่ลึกลับ มีพละกำลังไม่น้อยจริงๆ แต่แค่เขาไปล่วงเกินคนผิด สหายหานเองก็เป็นผู้ฝึกตนคู่บำเพ็ญเพียร อสูรยักษ์ที่แปลงกายมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าร่างครึ่งมังกร ถึงได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักได้ด้วยการโจมตีสามครั้ง อาตมากลับมาคิดดู หากเปลี่ยนเป็นอาตมา ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแต่ต้องหนีเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น” ภิกษุจินเย่ว์สวดมนต์ภาษาสันสกฤตเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยความเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นข่าวลือที่สหายหานถูกร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารไล่สังหารก็เป็นความจริง หากมีพละกำลังเช่นนี้จริงๆ หนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว” ชายชราผมสีเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“สหายหานหนีรอดพ้นจากเงื้อมมือของร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้จริงหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้ แต่การสังหารจอมมารเผ่ามารสองสามคนได้ ข้ากลับเห็นด้วยตาของตนเอง” เซียนหยินกวงเองก็เอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร!”
เมื่อได้ยินมนุษย์และปีศาจก็แทบจะมีแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองเผ่ากว่าครึ่งล้วนหน้าเปลี่ยนสี
“ดูแล้วสหายหานคงมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรจริงๆ มีเขาคอยช่วยเหลือเมืองเรา ก็มีโอกาสจะเอาชนะเผ่ามารเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่งแล้ว ปรมาจารย์จินเย่ว์ เจ้าลองดูอีกครั้งเถิด ดูว่าสหายหานจะยอมเข้าร่วมสมาคมอาวุโสหรือไม่ ขอแค่ยอมเข้าร่วม เงื่อนไขทุกอย่างย่อมคุยกันได้” ชายชราผมสีเงินครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“ตกลง มีโอกาสอาตมาจะลองดู ทว่าอาตมาว่าความหวังมีไม่มากจริงๆ” ภิกษุจินเย่ว์พยักหน้าตอบตกลง แต่ก็ตอบกลับอย่างไม่ได้มองในแง่ดี
“หากตาเฒ่ารู้เช่นนี้ มิเช่นนั้นตอนแรกที่เชิญ เขาคงเข้าร่วมเมืองเราแล้ว แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย เอาล่ะ เรื่องเหล่านี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน จากนี้เริ่มถกเรื่องการเคลื่อนไหวของกองทัพเผ่ามารได้เพิ่งได้รับจากสายสืบเถิด หากข่าวสารจากพวกเขาไม่ผิดพลาด กองทัพเผ่ามารอาจจะเริ่มทำการโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราไวที่สุดก็สองสามเดือน สั้นๆ ก็สองสามปี” ชายชราผมสีเงินแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาก
คนอื่นๆ พลันใจหายวาบ ทยอยกันตั้งใจฟัง!