สิ่งมีชีวิตระดับสูงที่อยู่ในบริเวณรอบได้ยินเสียงนี้พลันใจหายวาบ หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ก็ทยอยกันพุ่งหนีไปด้านหลัง
แต่ก็มีสิ่งมีชีวิตของทั้งสองเผ่าจำนวนน้อยที่เผยสีหน้าลังเลออกมา แต่ชายชราผมสีเงินและพวกจำใจต้องล่าถอยออกไปภายใต้สายตาเย็นชาและบีบบังคับ
“หึ คาดไม่ถึงว่าเจ้าพวกนี้คิดจะชิงพลังปราณฟ้าดินของสหายหานในยามนี้ ช่างละโมบเสียจริง” ชายชราผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ จมูกพลันแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชาขณะเอ่ย
“นั่นก็ไม่แปลกหรอก หลังจากที่สหายหานบรรลุระดับขั้นปลายสำเร็จแล้ว อายุขัยของจิตวิญญาณดั้งเดิมจะดึงดูดพลังปราณฟ้าดินที่บริสุทธิ์มากมา หากพวกเขาแอบดูดซับไป ย่อมมีประโยชน์มาก” ภิกษุจินเย่ว์กลับหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาขณะเอ่ย
“แต่เช่นนี้กลับอาจจะส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพของอายุขัยจิตวิญญาณดั้งเดิมของสหายหาน แม้ว่าจะสร้างผลกระทบแค่เล็กน้อย แต่ข้าก็ไม่อยากให้สหายหานไม่พอใจด้วยเหตุนี้” ชายชราผมสีเงินมองไปยังเงาลวงตายักษ์ที่อยู่ไกลออกไป แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า สายตายังคงเต็มไปด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน
“นั่นมันก็ใช่ สหายเหล่านี้ก็ไม่คิด หากอายุขัยจิตวิญญาณดั้งเดิมของสหายหานเกิดปัญหาใดๆ ด้วยเหตุนี้ จะปล่อยเจ้าพวกที่แอบจับปลาในน้ำขุ่นได้อย่างไร ทว่าไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้สหายหานก็บรรลุระดับขั้นปลายสำเร็จแล้ว ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเมืองเรา อาตมายังมีความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝัน แม้ว่าข้าจะมั่นใจในตัวเขามาก แต่คิดไม่ถึงว่าภายใต้เคราะห์สวรรค์ที่ร้ายกาจ จะฟาดเคราะห์สวรรค์สำเร็จได้อย่างราบรื่นปานนั้น” ภิกษุจินเย่ว์ตอบพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
“สหายหานใช้เวลาพัฒนาจากระดับขั้นต้นมาอยู่ในระดับขั้นปลายแค่สองสามร้อยปีเท่านั้น เทียบกับผู้อื่นแล้วตาเฒ่าคิดว่าอายุขนาดนี้ก็มีชีวิตมาถึงสุนัขแล้ว[1] จากนี้เขาอาจจะมีโอกาสกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานอีกท่านหนึ่งของเผ่าเรา!” ชายชราผมสีเงินใช้มือหนึ่งลูบเคราด้วยสีหน้าเคร่งขรึมมาก
“อืม คุณสมบัติที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสจริงๆ ทว่าหลังจากบรรลุระดับขั้นปลายแล้ว แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากแสนเข็ญ แต่เทียบกับการพัฒนาระดับมหายาน กลับไม่อาจเทียบกันได้ สหายหานเองก็พูดได้แค่ว่ามีโอกาสเล็กน้อยเท่านั้น” ภิกษุจินเย่ว์ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่มีโอกาสเพียงเล็กน้อย จากนี้ก็มีโอกาสเข้าสู่หนทางแห่งการเป็นเซียนที่แท้จริงแล้ว ไหนเลยจะเจอทางตันเหมือนพวกเรา ทำได้เพียงรอคอยข้อจัดการอย่างสงบเท่านั้น” ชายชราผมสีเงินมีสีหน้าหม่นหมองลงสองสามส่วน
“สหายกู่เหตุใดต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย ตั้งแต่อดีตกาลทั้งเผ่ามนุษย์ก็มีผู้ที่พัฒนาระดับมหายานได้เพียงหร็อมแหร็มเท่านั้น ยุคของพวกเรามีท่านอาวุโสม่อเจี่ยนหลีได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีแล้ว” ภิกษุจินเย่ว์บริกรรมคถาเบาๆ ตอบ
“หึๆ คิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์จะตื่นรู้อยู่หลายส่วน แต่คำนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ต่อให้พัฒนาระดับขั้นมหายาน แถมยังมีการบรรลุขั้นสุดท้ายก็ข้อขัดขวาง ว่ากันว่าบางครั้งชนต่างเผ่าเหล่านั้นก็มีผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์โชคดีบรรลุสำเร็จ ทั้งสองเผ่าของพวกเราไม่เคยมีบันทึกว่าท่านอาวุโสท่านใดบรรลุสำเร็จมาก่อน การบรรลุกลายเป็นเซียน ไหนเลยจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น!” ชายชราผมสีเงินเหลือบตามองภิกษุแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“สองเผ่าของพวกเรามีบันทึกว่ามีท่านอาวุโสบรรลุขึ้นไปสองสามคน สุดท้ายก็แทบจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ยอมให้คนนอกเห็นสถานการณ์การฟาดเคราะห์ของพวกเขา ไม่แน่ว่าอาจจะมีอาวุโสอีกท่านสองท่านที่ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำภายใต้เคราะห์สวรรค์ และบรรลุระดับสำเร็จแล้ว” ภิกษุจินเย่ว์กลับเอ่ยด้วยความโชคดีเล็กๆ
“ก็อาจจะกระมัง ทว่าไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีประโยชน์กับสถานการณ์ของเมืองเราเลยสักนิด ยามนี้เจ้ากับข้าเองก็ต้องรีบออกไป มิเช่นนั้นหากสหายหานเข้าใจผิดเราสองคน จะเกิดปัญหา” ชายชราผมสีเงินพยักหน้าอย่างไม่คิดเช่นนั้น กวาดตาไปที่เงาลวงตายักษ์ขนาดสามพันจั้งอีกครั้ง อดที่จะเผยแววตาตกตะลึงออกมาขณะเอ่ยไม่ได้
ภิกษุจินเย่ว์ย่อมไม่คัดค้าน ทันใดนั้นทั้งสองก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ กลายเป็นสายรุ้งสองสายพุ่งไปด้านหลัง เงาลวงตายักษ์ที่อยู่ไกลออกไปยังคงรวบรวมพลังปราณฟ้าดินรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง และยิ่งไปกว่านั้นรัศมียังยิ่งกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะดูดซับพลังปราณฟ้าดินของเมืองเทวะสวรรค์ไปจนหมด
สุดท้ายเมื่อเงาลวงตาขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดห้าพันจั้ง สิ่งมีชีวิตทั้งสองเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ก็มองเห็นเงาลวงตายักษ์อยู่ไกลๆ ต่างพากันเกิดความวุ่นวายขึ้น
ไม่ใช่มนุษย์และปีศาจในเมืองที่เห็นเงาลวงตาที่สร้างขึ้นจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของหานลี่ ป้อมปราการและหอคอยยักษ์เผ่ามารที่อยู่ห่างจากเมืองไปไม่ไกล ก็มองเห็นสถานการณ์นี้อยู่รางๆ เช่นกัน และสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นของพลังปราณฟ้าดินในเมืองเทวะสวรรค์
ภายในหอคอยยักษ์เผ่ามารที่สูงที่สุด ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดสวมชุดคลุมสีโลหิตคนหนึ่ง ยืนมองมาทางเมืองเทวะสวรรค์อยู่จากหน้าต่าง แววตาเปล่งแสงสีโลหิตวาววับไม่หยุด
“กลิ่นอายนี้…ไม่ผิด น่าจะผู้ใดได้พัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย หึ นี่มันยุ่งยากไปหน่อยแล้ว กลิ่นอายมหาศาลเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายธรรมดาๆ ดูท่าทางแล้วการโจมตีตลอดแนวหลังจากนี้ ต้องส่งคนไปจัดการกับคนผู้นี้โดยเฉพาะแล้ว” ชายหนุ่มมองอยู่ชั่วครู่ ถึงได้หรี่ตาลงแล้วเอ่ยพึมพำ
เขาก็คือร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงสุดท้ายที่นำกองทัพเผ่ามารอยู่ที่แดนวิญญาณ
“เซวี่ยกวง สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายคนหนึ่งจะมีค่าอันใด หากเจ้าวางใจล่ะก็ มอบให้ข้าไปจัดการก็ได้แล้ว หึๆ เจ้าเชิญข้ามาไม่ได้เพราะอยากให้ข้าจัดการปัญหาแทนเจ้าหรือ!” บนเก้าอี้หินตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าต่าง ชายร่างใหญ่เปลือยแขนครึ่งท่อน เอวรัดหนังอสูรสีเงินเอาไว้ผืนหนึ่ง มือกำลังกำขาหลังของอสูรป่าที่โลหิตหยดติ๋งๆ เคี้ยวอยู่ไปพลาง เอ่ยอู้อี้ไปพลาง
หน้าตาของชายร่างใหญ่นับว่าเรียบร้อย แต่กล้ามเนื้อที่ปูดโปนออกมา ผิวพรรณสีสัมฤทธิ์เป็นมันเงา ราวกับสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าก็ไม่ปาน ทำให้เรือนร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของอสูรเหี้ยมที่ทำให้ผู้คนใจหายวาบออกมา
“อืม เรื่องนี้ไม่ต้องให้พี่ซยงไปทำ ที่ข้าเชิญท่านมาก็เพราะต้องต่อกรกับเจ้าผู้ที่รับมือยากกว่าอีกคนหนึ่ง ทว่าข้าไม่อาจมั่นใจว่าคนผู้นี้กลับมาที่เมืองเทวะสวรรค์แล้วหรือไม่ หากเขาไม่อยู่ สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายผู้นี้ ก็มอบให้พี่ซยงไปจัดการก็ยังไม่สาย” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีโลหิตชักสายตากลับมา แล้วหันกลับไปเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทั้งๆ ที่ชายร่างใหญ่มีอิทธิฤทธิ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย เซวี่ยกวงกลับดูเหมือนจะหวาดกลัวเขามาก และให้เกียรติเหมือนผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน
“อ๋อ ดูก็รู้ว่าเจ้าผู้นี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายธรรมดาๆ เจ้าไม่อยากให้ข้าไปจัดการ หรือว่าผู้ที่เจ้าเตรียมจะให้ข้าไปจัดการรับมือยากกว่าคนผู้นี้?” ชายร่างใหญ่แววตาวาวโรจน์ แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“น่าจะรับมือยากกว่าผู้ที่เพิ่งพัฒนาระดับขั้นกระมัง ส่วนรายละเอียดนั้นข้าก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าร่างแยกทั้งสามของเขาไล่สังหารเขาสองครั้ง ผลคือครั้งแรกไม่ได้ผลกลับมา ครั้งที่สองกลับไปแล้วไม่กลับ สุดท้ายก็เพลี่ยงพล้ำไปอย่างแปลกประหลาด” เซวี่ยกวงขมวดคิ้วขณะเอ่ย
“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! เจ้าพูดเช่นนี้ ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ได้ยินสหายท่านอื่นบอกว่า เจ้าส่งร่างแยกลงมาทีเดียวสามตน แต่ภายใต้การร่วมมือกัน เหตุใดถึงถูกสังหารที่แดนนี้ หรือว่าเจ้าจะให้ข้าไปต่อกรกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน!” ชายร่างใหญ่ไม่มีกะจิตกะใจจะกินอีก โยนขาอสูรที่กัดไปแล้วกว่าครึ่งทิ้งลงบนพื้น แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึๆ พี่ซยงวางใจ ต่อให้ข้าอยากให้เจ้าต่อกรกับสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน ก็ต้องเป็นหลังจากที่เจ้าเองก็บรรลุระดับมหายาน ข้าให้เจ้ารับมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง อิทธิฤทธิ์ของคนผู้นี้ร้ายกาจมาก สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายธรรมดาๆ ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ร่างแยกทั้งสามของข้าล้วนเพลี่ยงพล้ำภายใต้เงื้อมมือของเขา พี่ซยงเลื่องชื่อว่าเป็นจอมมารอันดับหนึ่งของเผ่าศักดิ์สิทธิ์รองจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการต่อกรกับคนผู้นี้” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“เจ้าอย่าหลอกข้าเลย หากสังหารร่างแยกทั้งสามของเจ้าได้พร้อมกัน พละกำลังของคนผู้นี้ต่อให้ไม่เทียบเท่าข้า แต่ก็คงไม่ต่างกันมากนัก ของตอบแทนที่ให้ข้าลงมือ ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าหนึ่ง มิเช่นนั้นข้าจะไม่ลงมือ” ชายร่างใหญ่ใช้มือหนาๆ ลูบใต้คาง ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ได้ แต่ทุกสิ่งในร่างของคนผู้นี้ต้องมอบให้ข้า” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงตอบรับด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
“ดูแล้วมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ไม่พกสมบัติล้ำค่าก็ต้องมีของที่เจ้าต้องการ มิเช่นนั้นคงไม่รับปากอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เอาเถิด ของตอบแทนที่ให้ข้าเดิมก็นับว่าไม่น้อยแล้ว ยามนี้เพิ่มให้อีกเท่าหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าอันใด ผู้แซ่ซยงไม่มีทางแอบมองดูสถานการณ์แน่ เอาตามนี้แหละ ข้าก็อยากรู้ว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่สังหารร่างแยกทั้งสามของเจ้าได้ จะมีอิทธิฤทธิ์เพียงใดกันแน่ คิดดูแล้วการต่อสู้ครั้งนี้คงทำให้ข้าเพลิดเพลินได้แล้ว หวังว่าวันนั้นจะมาถึงไวๆ” ชายร่างใหญ่กำนิ้วทั้งสิบ คาดไม่ถึงว่าส่งเสียงระเบิดดังกร๊อบๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันก็เบะปากขณะเอ่ย
เขาเผยไรฟันขาวเนียนดังหิมะออกมา เปล่งประกายวาวโรจน์ คาดไม่ถึงว่าร่างทั้งร่างจะกลายเป็นอสูรร้ายที่เลือกกินคน
เมื่อเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้น บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงกลับดูเหมือนจะพึงพอใจมาก ทันใดนั้นก็พยักหน้าแล้วฉีกยิ้มน้อยๆ
“ข้าน้อยเชื่อมั่นในตัวพี่ซยง ถึงได้เรียกพี่ซยงจากแดนศักดิ์สิทธิ์มาโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน กองทัพใหญ่กำลังจะโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ในอีกไม่นานแล้ว ข้าขอพักผ่อนก่อน ฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไปก่อน จะได้ต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่รับมือยากได้”
“พลังปราณที่เสียไปจะมีค่าอันใด ผู้แซ่ซยงไม่จำเป็นต้องพักผ่อนอันใด ยามนี้ในเมื่อเจ้าไม่มีอันใด ข้าก็จะไปสำรวจรอบๆ ก่อน ดูว่ามีเรื่องอันใดที่ผ่อนคลายอารมณ์ได้บ้าง! ในแดนวิญญาณนี้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเจ้าคงไม่หาข้อจำกัดไม่ให้ข้าลงมืออย่างเปล่าประโยชน์หรอกกระมัง” ชายร่างใหญ่เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อนี่คือแดนของชนต่างเผ่า ย่อมไม่มีข้อจำกัดใดๆ อีก พี่ซยงทำตามประสงค์เถิด” บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงพลันหน้าเปลี่ยนสีในยามแรก แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะร่าขณะเอ่ย
ชายร่างใหญ่ได้ยินพลันหัวเราะร่าออกมา ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจากประตูใหญ่ คาดไม่ถึงว่าจะจากไปโดยไม่แม้แต่จะกล่าวลา
ดวงตาทั้งสองข้างของเซวี่ยกวงมองไปที่ประตูที่ชายร่างใหญ่หายลับไป สั่นศีรษะ เผยสีหน้าจนปัญญาออกมาหลายส่วน
[1] อายุขนาดนี้ก็มีชีวิตมาถึงสุนัขแล้ว หมายถึง อายุมากแล้วแต่ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์