จระเข้ดำร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว กระบองเขี้ยวหมาป่ายักษ์ในมือหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะขยายใหญ่ขึ้นสิบเท่า
เงากระบองปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นพายุมารสีดำ ม้วนเข้าไปข้างในเป็นรัศมีสองสามหมู่
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น และบางครั้งก็มีซากของเผ่ามารที่ไม่สมบูรณ์ร่วงลงมาจากพายุสีดำ
แม้ว่าเผ่ามารสองเขาเหล่านี้จะมีพลังยุทธ์ไม่อ่อนแอ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจระเข้ดำ เมื่อสัมผัสก็เพลี่ยงพล้ำไปทันทีหลายคน
ทว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เผ่ามารระดับสูงเหล่านี้กลับดูเหมือนจะไม่รู้จักความหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีท่าทีจะถอยหนีเลยสักนิด
แม้ว่าจระเข้ดำจะมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าเผ่ามารเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะผ่านสงครามที่ดุเดือดมาอย่างต่อเนื่อง พลังปราณในร่างจึงเหลือไม่เท่าไหร่ ภายใต้การสำแดงเคล็ดวิชามารเต็มอัตรา อีกเดี๋ยวก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณไม่พอ
แม้ว่ากระบองเขี้ยวหมาป่าในมือของเขาจะโหดเหี้ยมหาที่เปรียบ ไม่อาจต้านทานได้ แต่ใบหน้าอัปลักษณ์กลับมองเห็นคราบเหงื่อกาฬได้รางๆ
เมื่อเผ่ามารรอบด้านถูกโจมตีเป็นจำนวนหนึ่งในสามส่วน ในที่สุดกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือของจระเข้ดำก็เริ่มช้าลง และไม่อาจต้านทานการโจมตีรอบด้านได้ เรือนร่างเริ่มโจมตีด้วยลูกบอลลำแสงอย่างต่อเนื่อง
ลูกบอลลำแสงสีดำเหล่านั้นเองก็ไม่รู้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ใด เมื่อสัมผัสกับเกราะมารบนร่างของจระเข้ดำ คาดไม่ถึงว่าจะละลายจนกลายเป็นรูทะลุ และไม่มีผลในการต้านทานนัก
ยามนั้นร่างของชายร่างใหญ่เกราะสีดำพลันระเบิดเสียงดังอย่างต่อเนื่อง ชั่วพริบตาลำแสงสีดำสองสามกลุ่มก็ระเบิดออก
เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น!
ร่างจระเข้ดำพลิ้วไหวไปมาท่ามกลางเสียงดังสนั่น แต่ร่างกายกลับขวางอยู่หน้าเป่าฮวา ไม่มีเจตนาจะถอยเลยสักนิด
จากกายเนื้อที่แข็งแกร่งของเผ่ามังกร กระบี่บินทั่วๆ ไปย่อมไม่อาจสร้างบาดแผลได้ แต่เมื่อถูกลูกบอลลำแสงสีดำโจมตีอย่างต่อเนื่องหนังกลับเปิดออก ชั่วพริบตาโลหิตสดๆ ก็สาดกระเซ็น
เป่าฮวาเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ยังคงยืนอยู่ด้านหลังจระเข้ดำ ยืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่มีเจตนาจะลงมือเลยสักนิด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากที่เผ่ามารสองเขาตนสุดท้ายถูกจระเข้ดำโจมตีจนตาย ก็ดูเหมือนว่าจะสูญเสียพลังปราณสุดท้ายไปจนหมด สองมือโยนกระบองเขี้ยวหมาป่าออกไป แล้วพลิกตัวล้มลงกับพื้นราวกับโลหิต ร่วงลงสู่ด้านล่าง
เป่าฮวาถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วถึงได้สะบัดแขนเสื้อ
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น รัศมีลำแสงสีชมพูม้วนวนออกมา รองร่างของชายร่างใหญ่เอาไว้
อักขระยันต์สีเงินในรัศมีลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ร่างของจระเข้ดำหดเล็กลง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นจระเข้ขนาดจิ๋วความยาวสองสามชุ่นตัวหนึ่ง
ตัวเป็นสีดำสนิท มีบาดแผลทั่วเรือนร่าง สลบไสลไม่ได้สติ
รัศมีลำแสงสีชมพูม้วนวนกลับมา!
เป่าฮวาเก็บจระเข้จิ๋วเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ทั้งสองดูความครึกครื้นอยู่ด้านข้างมาเนิ่นนานแล้ว น่าจะลงมือได้แล้วกระมัง”
“หึ ข้ารู้อยู่แล้วว่าปิดบังหูตาของเจ้าไม่ได้ เพื่อวันนี้ทหารมารห้าร้อยคนใต้อาณัติของข้าต่างตายเกลี้ยง แต่ยามนี้เจ้าก็ไม่มีผู้ช่วยเลย ค่าตอบแทนนี้ก็เพียงพอแล้ว”
สิ้นเสียงกลางอากาศก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หญิงชราและชายร่างใหญ่ร่างกายบึกบึนพลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
หญิงชราผู้นั้นสวมชุดคลุมสีแดง สายตาที่มองเป่าฮวาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น คำพูดเมื่อครู่ก็ออกมาจากปากของนาง
ทั้งสองคือบรรพชนมารผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงเกรียงไกรในแดนมารเทียนชี่ เฮ่อเหยียน
จอมมารทั้งสองมีพลังลึกล้ำยากจะคาดเดา และเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการร่วมมือกัน มีชื่อเสียงความชั่วร้ายโหดเหี้ยมในแดนมาร ชื่อเสียงแทบจะไม่ด้อยไปกว่าบรรพชนมารแรกเริ่มทั้งสาม
แม้ว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นๆ ก็ต้องเคารพสองคนนี้
ทว่ายามนี้เป่าฮวากลับเผยร่องรอยออกมาเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้ จึงถูกมารทั้งสองตามรอยเจอ และส่งลูกสมุนจำนวนมากมาล้อมโจมตี
ส่วนเป่าฮวาที่กำลังแอบดูมารทั้งสองอยู่ใกล้ๆ และไม่อยากลงมือง่ายๆ จนเปิดเผยข้อบกพร่องออกมา ดังนั้นจึงให้จระเข้ดำลงมือต่อกรกับศัตรูตรงหน้าเพียงคนเดียว
ผลคือหลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดสองสามครั้ง ในที่สุดก็จระเข้ดำก็พลังปราณแห้งเหือด ทำให้เป่าฮวาในยามนี้เหลือเพียงตัวคนเดียว
มารทั้งสองถึงได้ปรากฏตัวออกมา!
“สหายเป่าฮวา ไม่ได้พบกันหลายปี เจ้ายังงดงามไม่น้อยไปกว่าปีนั้นเลย” ชายร่างใหญ่ร่างกายบึกบึนมองเป่าฮวาด้วยแววตาเปล่งประกาย และเอ่ยคำพูดจากใจออกมา
“กลับเป็นสหายเทียนชี่ที่นิสัยเปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่หัวร้อนเหมือนแต่ก่อนแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีด้วย เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ของสหายเพิ่มขึ้นอีกขั้นแล้ว” เป่าฮวาพิจารณาเทียนชี่ แล้วตอบกลับด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่กลับทำเป็นมองไม่เห็นหญิงชรา
หญิงชราเฮ่อเหยียนเห็นเช่นนั้น ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกโกรธเกรี้ยว ไม้เท้าในมือชี้ไปด้านล่าง กลางอากาศด้านล่างมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ปากก็เอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม
“เป่าฮวา เจ้าไม่ต้องมาทำดัดจริต ยามนี้พลังยุทธ์ของเขายังไม่ฟื้นฟู จะเป็นคู่ต่อสู้กับข้าและศิษย์พี่ที่ร่วมมือกันได้อย่างไร หากรู้ตัวก็ยอมโขกหัวเสีย หากข้าอารมณ์ดีก็อาจจะเหลือศพที่สมบูรณ์ของเจ้าเอาไว้”
“ดูแล้ว สหายเฮ่อยังไม่ลืมเรื่องในปีนั้นสินะ วันนี้จึงมาแก้แค้นโดยเฉพาะ เทียนชี่ เจ้าเองก็มีเจตนานั้นหรือ?” เป่าฮวาหน้าไม่เปลี่ยนสี มือเรียวลูบไล้เส้นผมที่ปรกใบหน้าแล้วถามย้อน
“เคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าของเขาใกล้จะมาถึงแล้ว ต้องการของจากเจ้าชิ้นหนึ่ง” เทียนชี่เองก็ไม่มีเจตนาปิดบัง พลางตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“เจ้าต้องการเซียมซีกันอัสนีของข้า!” เป่าฮวาเป็นผู้ที่ชาญฉลาดขนาดไหน กลอกตาไปมาก็เข้าใจทันที
“ใช่แล้ว หากข้ามีสมบัติชิ้นนี้อยู่ในมือ คงมีหวังที่จะฟาดเคราะห์สวรรค์ครั้งหน้าได้ หวังว่าสหายจะทำให้สมปรารถนาได้” น้ำเสียงของเทียนชี่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่สายตากลับค่อยๆ เยือกเย็นขึ้น
“เจ้าต้องการเซียมซีกันอัสนี? ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ทว่าตั้งแต่ที่ได้มาสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติที่ติดตัวข้ามาโดยตลอด ไม่อาจมอบให้ผู้อื่นง่ายๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากเจ้ารับการโจมตีของข้าได้ ข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติชิ้นนี้หมื่นปี สหายคิดว่าอย่างไร?” เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยอย่างผ่อนคลายมาก
“เจ้าจะให้ข้ารับการโจมตีจากเจ้า!” เทียนชี่ได้ยินคำนี้ รูม่านตาก็หดเล็กลง
หญิงชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นกำลังจ้องมองใบหน้าของเป่าฮวาเขม็งไม่ยอมละสายตาอยู่ด้านข้าง พลันหน้าเปลี่ยนสี เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนฉงนออกมา
หรือว่าความจริงแล้วนางฟื้นฟูพลังปราณแล้ว การเคลื่อนไหวก่อนหน้าเป็นแค่การจงใจล่อให้พวกเราปรากฏตัว?
มารทั้งสองอดที่จะขบคิดเช่นนั้นไม่ได้
ยามนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ยอมเอ่ยปากง่ายๆ
“อันใด สหายเทียนชี่กลัวหรือ?” เป่าฮวามองเห็นฉากนี้ แววตาคู่งามก็กลอกไปมา แล้วฉีกยิ้มเบิกบานพลางเอ่ยขึ้น
“ได้ ให้ข้าดูสิว่าที่ผ่านมาสหายเป่าฮวาฝึกฝนอิทธิฤทธิ์อันใดได้ ถึงได้โอหังเช่นนี้!” เทียนชี่ขบคิดอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง แววตาเปล่งประกาย แล้วพลันตอบรับอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ศิษย์พี่โปรดระวังด้วย ข้าจะวางเขตอาคมอยู่ด้านข้างเจ้า” หญิงชรามีสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ แล้วฝืนกำชับโดยไม่โต้แย้งออกมาสองประโยค
เทียนชี่พยักหน้าสาวเท้าไปข้างหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ หลังจากที่ร่างกายรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะไปยืนอยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษได้อย่างไรก็สุดจะรู้ได้
ยามนี้เขาเอาสองมือไพล่หลัง ยืนตัวตรงนิ่ง ท่าทางเหมือนรอให้เป่าฮวาลงมือ
หญิงสาวชุดขาวมุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา มือเรียวข้างหนึ่งรองอยู่ด้านหน้าเบาๆ อ้าปากออกเป่า คาดไม่ถึงว่าจะพ่นลูกบอลลำแสงสีชมพูออกมา
ในลูกบอลลำแสงดูเหมือนจะธรรมดาๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด คาดไม่ถึงว่าจะมีอักขระยันต์สีชมพูขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารก่อตัวกันจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากหมุนคว้างก็ร่อนลงมาที่ใจกลางฝ่ามือราวกับหยก
ยามนี้นิ้วอีกนิ้วของเป่าฮวาพลันชี้ไปที่ลูกบอลลำแสงอย่างแผ่วเบา
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าลูกบอลลำแสงจะระเบิดออก อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนบินวนโคจรในบริเวณรอบราวกับกลีบบุปผาสีชมพู เปล่งแสงสว่างวาบระยิบระยับงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ในยามนี้ลูกบอลลำแสงระเบิดที่ใจกลาง แต่กลับเปล่งแสงสีเขียวมรกตสว่างวาบ!
จากนั้นกลางฝ่ามือพลันมีต้นหญ้าสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ และขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แค่ชั่วสองสามอึดใจก็กลายเป็นต้นไม้ขนาดจิ๋วสีเขียวมรกตขนาดครึ่งฉื่อ และขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
ยามนั้นต้นไม้สีเขียวมรกตพลันก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของเป่าฮวา และบดบังร่างกายอรชรอ้อนแอ้นเอาไว้ด้านล่าง
กิ่งและใบของต้นไม้ต้นนี้เป็นสีเขียวมรกต ส่วนรากหลอมรวมเข้ากับฝ่ามือของเป่าฮวา และดูดซับพลังปราณในร่างของนางไปไม่หยุด
“ต้นสวรรค์ทมิฬศักดิ์สิทธิ์ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะหลอมรวมกับสมบัติชิ้นนี้ หรือว่าพลังปราณของเจ้าฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว แถมยังฝึกอิทธิฤทธิ์นี้ได้จริงๆ?” เทียนชี่ที่เดิมมีสีหน้าเคร่งขรึมเห็นต้นไม้สีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าร้องอุทานออกมา จากนั้นก็มีสีหน้าเขียวคล้ำ
ส่วนหญิงชราที่มองอยู่ด้านหลังพลันหน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
“ใช่หรือไม่ สหายรับการโจมตีนี้ไม่นานก็รู้เอง!”
“แดนบุปผาสวรรค์ทมิฬ!”
เป่าฮวาร้องตะโกน ต้นไม้สีเขียวมรกตในมือพลันรางเลือน บนกิ่งก้านมีลำแสงสีชมพูปรากฏขึ้น และครู่ต่อมาก็ทยอยกันกลายเป็นช่อดอกตูมๆ สีชมพู ชั่วพริบตาก็แผ่ไปทั่วกิ่งก้านทั้งต้น
ยามนี้เสียงบริกรรมคาถาอันไพเราะพลันดังออกมาจากปากบางของเป่าฮวา ช่อดอกไม้ตูมๆ เองก็เริ่มผลิกลีบบานออก กลิ่นหอมของบุปผาโชยตลบอบอวลไปทั่ว
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือในเวลาเดียวกันดอกสีชมพูทั้งต้นเริ่มผลิกลีบ ผิวของมันก็เปลี่ยนจากสีเขียวมรกตเป็นสีชมพู
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้ ราวกับว่าเกิดขึ้นแค่ชั่วครู่เท่านั้น
ยามนี้กลางอากาศพลันมีเสียงสวดอาคมภาษาสันสกฤตดังแว่วมา ทุกแห่งที่สายตากวาดไปล้วนเป็นเงาดอกไม้สีชมพู กลางอากาศในรัศมีพันจั้งกลายเป็นทะเลสีชมพู ราวกับว่าฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียวก็ไม่ปาน
“แย่แล้ว นางฝึกฝนแดนสวรรค์ทมิฬได้จริงๆ! พวกเราต้องรีบไป!” ยามนี้เทียนชี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าตกตะลึงได้ พลางร้องออกมา ผิวมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นลำแสงโลหิตสายหนึ่งที่พุ่งหนีไปด้านหลัง
การเคลื่อนไหวของเฮ่อเหยียนก็ไม่ได้ช้าไปกว่าเทียนชี่เท่าใดนัก แค่วาดไม้เท้าในมือไปกลางอากาศเบื้องหน้า ชั่วครู่ก็สร้างรอยแยกมิติเวลาสีขาวขึ้นมาสายหนึ่ง ร่างกายพลิ้วไหวแล้วบินหายเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองไม่สนใจสงครามตัดสินของเป่าฮวาเลยสักนิด
“จะไปยามนี้ ไม่คิดว่าสายไปหน่อยหรือ!”
เป่าฮวากลับหรี่ตาทั้งสองข้างลง ปากก็เอ่ยอย่างไร้ความรู้สึกออกมา จากนั้นมือเรียวข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปหน้าต้นไม้ เด็กดอกไม้ยักษ์สีชมพูออกมา และโยนออกไปด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน