คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์) – ตอนที่ 2214 ธงดาราคล้อยและกระจกพิภพมายาน้อย

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

“เป่าฮวา ไม่ต้องพูดจาสุภาพเช่นนั้นหรอก บอกพวกเราดีกว่าว่าสมบัติสองชิ้นนั้นสามารถต้านทานการระเบิดตัวเองของแมลงพิษได้หรือไม่ เพื่อสมบัติสองชิ้นนี้เหล่าสหายต้องยอมสละวัตถุดิบล้ำค่าจำนวนไม่น้อยให้เจ้า” เสียงแจ่มใสเสียงหนึ่งดังออกมาจากปากของบุรุษที่มีรัศมีลำแสงสีทองปกคลุม

ฟังจากน้ำเสียงของคนผู้นี้ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนสนิทสนมกับเป่าฮวามาก

“ที่แท้ก็เป็นสหายหลีเหมี่ยวจากแดนจันทรายะเยือก สหายวางใจในเมื่อข้ากล้าขอวัตถุดิบสนับสนุนจากสหายคนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมมั่นใจในสมบัติสองชิ้นนี้แปดเก้าส่วน ทุกท่านเชิญชม!”

เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ ออกมา มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้น ชั่วขณะนั้นลูกบอลลำแสงสีดำขาวสองลูกก็บินออกมาจากฝ่ามือ

ใจกลางของลูกบอลลำแสง มีธงปักดวงดาราสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนด้ามหนึ่ง รวมทั้งกระจกลำแสงสีขาวที่สลักลวดลายพยัคฆ์ขาวติดปีก

“สมบัติสองชิ้นนี้ต่อกรกับแมลงพิษที่ปกป้องตนเองได้ ดูแล้วคงไม่ได้มีจุดพิเศษมากนัก?” ผู้แข็งแกร่งจากแดนอื่นที่มีไอสีเขียวปกคลุมใช้น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“หึๆ สหายลี่ว์สือดูผิดแล้ว สมบัติสองชิ้นนี้ดูแล้วธรรมดาๆ แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับสมบัติสวรรค์ทมิฬสองชิ้นอย่างธงจันทราดาราและกระจกพิภพภายาในตำนาน หรือว่าเป็นสมบัติลอกเลียนแบบสมบัติสวรรค์ทมิฬ?” ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดจักรพรรดิ มองสมบัติทั้งสองที่อยู่ในลูกบอลลำแสงแล้วกลับเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหลายส่วน

“ธงจันทราดารา กระจกพิภพมายา”

ระดับมหายานคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านได้ยินสองชื่อนี้ก็เกิดเสียงวุ่นวายขึ้น คนจำนวนไม่น้อยพิจารณาสมบัติสองชิ้นที่อยู่บนมือเซี่ยเหลียนด้วยความตกตะลึง

เป่าฮวาได้ยินกลับพยักหน้าน้อยๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบ

“พี่อวี้เจี้ยนพูดถูก สมบัติสองชิ้นนี้คือสมบัติลอกเลียนแบบธงจันทราดาราและกระจกพิภพมายา ข้าเรียกพวกมันว่า ‘ธงดาราคล้อย’ และ ‘กระจกพิภพมายาน้อย’

“ได้ยินมานานแล้วว่าธงจันทราดาราคือสมบัติสวรรค์ทมิฬ เป็นสมบัติเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถยืมพลังแห่งดวงดาราได้ ส่วนกระจกพิภพมายานั้นมีอิทธิฤทธิ์ในการบดบังท้องฟ้าและดวงตะวัน ไม่ทราบว่าธงดาราคล้อยและกระจกพิภพมายาน้อยของสหายเป่าฮวาสำแดงอิทธิฤทธิ์ของสมบัติสองชิ้นนั้นได้สักสองสามส่วนหรือไม่” เสียงแข็งทื่ออีกเสียงดังขึ้นกลางห้องโถง แต่ที่น่าแปลกก็คือ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำพูดนี้ออกมาจากผู้ใด

“เป็นสหายที่มาจากแดนราตรีทมิฬสินะ มาถึงที่นี่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะยังระมัดระวังตัวเพียงนี้ คู่ควรกับที่เป็นสหายที่ฝึกฝนอิทธิฤทธิ์ด้านชีพจรทมิฬจริงๆ ส่วนสมบัติสองชิ้นนั้นจะสำแดงอิทธิฤทธิ์เหมือนที่ลอกเลียนแบบมาสองสามส่วนได้หรือไม่ สหายก็พูดเล่นแล้ว แม้ว่าธงดาราจันทราและกระจกพิภพมายาจะจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของสมบัติสวรรค์ทมิฬ ธงดาราคล้อยและกระจกพิภพมายาน้อยสำแดงอานุภาพได้ห้าหกส่วน ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ทว่าจากที่ข้าคาดเดา นี่ก็เพียงพอจะต้านทานการระเบิดตัวเองของแมลงพิษแล้ว” เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“ในเมื่อสหายเป่าฮวาามั่นใจในสมบัติสองชิ้นนี้ คิดดูแล้วก็คงไม่ผิด ยามนี้เรื่องระเบิดตัวเองของแมลงพิษก็ถูกแก้ไขแล้ว พวกเราก็ควรจะปรึกษาวิธีการแล้ว ดูว่าหลังจากที่เข้าไปในจุดผนึกจะกดมารดาแมลงตัวนั้นอย่างไร” เสียงระดับมหายานของแดนราตรีทมิฬครุ่นคิดไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยก้องกังวานในห้องโถงอีกครั้งอย่างไร้ความรู้สึก

“ในเมื่อสหายคนอื่นๆ คิดว่าสมบัติสองชิ้นนี้ไม่มีปัญหา เช่นนั้นจากนี้ย่อมต้องปรึกษาว่าจะต่อกรกับมารดาแมลงอย่างไรแล้ว มิเช่นนั้นแม้ว่าพวกเราจะมีจำนวนไม่น้อย แต่หากเข้าไปในจุดผนึกแล้วต่างคนต่างเคลื่อนไหว เกรงว่าคงจัดการกับมารดาแมลงตัวนั้นได้ยาก” เป่าฮวาพยักหน้า เอ่ยพร้อมกับกลอกตาเป็นประกายไปมา

“มารดาแมลงตัวนั้นน่ากลัวจริงๆ สหายที่เข้าไปในจุดผนึกครั้งที่แล้วจำนวนมากกว่าพวกเรามาก แม้กระทั่งหนึ่งในนั้นยังมีผู้ที่เป็นบรรพชนแรกเริ่มเหมือนสหายด้วย และยังถูกแมลงตัวนั้นกักเอาไว้ สหายเป่า

ฮวาได้ยินว่าเจ้าเป็นคนที่ได้รับข่าวสุดท้ายจากจุดผนึก บอกเนื้อหาให้พวกเราฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ระดับมหายานจากแดนจันทรายะเยือกที่เอ่ยในตอนแรกกลับขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า

“ข่าวของจุดผนึกที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เกรงว่าสหายจำนวนไม่น้อยคงอยากเห็นด้วยตาของตนเองสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะเปิดเผยข่าวนี้เป็นสาธารณะ ให้สหายทุกท่านได้ดูด้วยตนเองจะได้วางใจ” เป่าฮวาดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับคำพูดของหลีเหมี่ยว หลังจากที่เอ่ยอย่างราบเรียบ ก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลูกบอลผลึกสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกก็บินออกมา และหมุนวนกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

หลังจากเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น อักษรลำแสงห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ม้วนวนออกมา และหมุนคว้างกลายเป็นอักขระที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์

ระดับมหายานทุกคนไม่ว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แดนมารหรือบรรพชนจากแดนอื่นล้วนใจหายวาบพลางกวาดตามองไปยังตัวอักษรที่ไม่สมบูรณ์

หานลี่ก็จ้องเขม็งมองไปเช่นกัน

ตัวอักษรเหล่านั้นเขียนเหนือห้าเหมือนกับที่เซี่ยเหลียนพูด เป็นข่าวที่หยวนเหยี่ยนส่งมาจริงๆ แค่บอกว่าทุกคนติดอยู่ในจุดผนึก และเอ่ยขอกำลังเสริม ทว่าตัวอักษรเหล่านั้นขาดหายไปจนทำให้บอกรายละเอียดได้ไม่ชัด แต่หากคาดเดาดีๆ กลับเป็นคำเตือนอย่างแน่นอน

บรรพชนระดับมหายานทั้งหมดอ่านจบต่างก็มีสีหน้าหลากหลาย

“ดูแล้วข่าวที่สหายเป่าฮวากล่าวก่อนหน้าคงเป็นความจริง เช่นนั้นทุกท่านก็เริ่มปรึกษาแผนการณ์กันได้แล้ว” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงงามแต่งกายสง่างามคนหนึ่งพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ

“แผนการณ์? ที่นี่มีสหายเป็นร้อยคน เกรงว่าคงมีแผนการณ์เป็นร้อยแน่ หากให้ข้าพูดในเมื่อการชุมนุมครั้งนี้สหายเป่าฮวาเป็นผู้จัดขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นอิทธิฤทธิ์ของนางก็จัดอยู่ในอันดับหนึ่งไม่ก็อันดับสองในบรรดาพวกเรา ไม่สู้ฟังความเห็นของนางแล้วค่อยว่ากันเถิด” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ

“ผู้ใดบอกว่าสหายเป่าฮวาเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์อันดับหนึ่งของที่นี่ หากกล่าวเช่นนี้เอาแดนอีกาสวรรค์ของพวกเราไปไว้ไหน” ชายวัยกลางคนระดับมหายานของแดนอีกาสวรรค์ พลันเบะปากแล้วเอ่ยขึ้น

แทบจะในเวลาเดียวกันชายชราหน้าอีกาที่เดิมหลับตาทั้งสองข้างอยู่พลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นในดวงตา

บรรพชนระดับมหายานคนอื่นๆ ได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เป่าฮวามองชายชราหน้าอีกา กลอกตาไปมาแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ชื่อเสียงของสหายถงหยา เป่าฮวาได้ยินมานานแล้ว ไม่ทราบว่าสหายมีข้อเสนอกับการเดินทางครั้งนี้อย่างไร?”

“ตาเฒ่ามาที่นี่เพราะอยากช่วยคนเท่านั้น แมลงระเบิดตัวเอง มารดาแมลงอันใดนั่น ขอแค่ไม่มารบกวนตาเฒ่า ข้าก็ไม่สนใจ” ชายชราหน้าอีกาเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

คำพูดนี้ทำให้ทั้งห้องโถงเกิดความวุ่นวายขึ้น บรรพชนระดับมหายานจำนวนไม่น้อยมองไปยังระดับมหายานเก้าคนของแดนอีกาสวรรค์ด้วยแววตาแปลกประหลาด

“พี่ถงหยา คำนี้ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง” เป่าฮวาขมวดคิ้วดำขลับ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

“หึ มีอันใดไม่เหมาะสม? ตาเฒ่ามีชนรุ่นหลังสายตรงเพียงคนเดียว เสียเลือดเนื้อไปตั้งเท่าไหร่กว่าจะบ่มเพาะให้กลายเป็นระดับมหายานได้ ผลคือถูกกักเอาไว้เพราะไปช่วยแดนมารอย่างพวกเจ้า ตาเฒ่าไม่สนว่ามารดาแมลงจะมีพลังอันน่ากลัวที่สามารถทำลายเผ่าพันธุ์ได้หรือไม่ แต่ขอแค่ไม่มาล่วงเกินแดนอีกาสวรรค์ของพวกเรา ตาเฒ่าจะเป็นฝ่ายไปล่วงเกินทำไม ย่อมต้องช่วยชนรุ่นหลังก่อน” ผู้เฒ่าถงหยาแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา ใช้น้ำเสียงบ้าเลือดเอ่ยขึ้น

ครานี้บรรพชนระดับมหายานคนอื่นๆ ในห้องโถงพลันมีสีหน้าปั้นยากจริงๆ

“สหายพูดเอาแต่ตัวเองเกินไปหน่อยกระมัง” ระดับมหายานจากแดนอื่นที่มีนามว่าลี่ว์สือผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

“บ้าเลือด ตาเฒ่าก็บ้าเลือดเช่นนี้มาโดยตลอด ผู้อื่นไม่ใช่ไม่รู้ อันใด นายท่านคิดจะชี้แนะตาเฒ่าหรือ?” ชายชราหน้าอีกามีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปที่ลี่ว์สือแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

ลี่ว์สือมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่หลังจากที่สายตาประสานกับถงหยา กลับสะดุ้งโหยงอย่างไม่รู้ตัว คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกเย็นเยียบราวกับหัวใจและปอดถูกแช่แข็ง

ระดับมหายานจากแดนอื่นๆ ผู้นี้ขบคิดอย่างรวดเร็ว แล้วทำได้เพียงมีสีหน้าเขียวคล้ำไม่พูดอันใดอีก

บรรพชนระดับมหายานคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งใจหายวาบ ยิ่งไม่กล้าพูดแทรกอันใดอีก แต่สีหน้าย่อมไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก

แต่ก็มีระดับมหายานจำนวนเล็กน้อยที่มาแดนมารเพราะมีจุดประสงค์ไม่ต่างอันใดกับผู้เฒ่าถงหยา เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกดีใจ

หนึ่งในสี่วิหคที่มีชื่อเสียงไม่น้อยในแดนต่างๆ ลงมือ หากพวกเขาอยากช่วยสหายร่วมเผ่าพันธุ์ย่อมลดแรงขัดขวางไปได้มาก

หานลี่กลับถือโอกาสนี้กวาดสายตาไปบนเรือนร่างของชายชราหน้าอีกา

พิจารณาอย่างละเอียดด้วยความสนใจไม่หยุด

ตั้งแต่แรกเขาก็รู้สึกว่าผู้เฒ่าถงหยาผู้นี้ไม่ต้องพูดถึงอิทธิฤทธิ์ แต่ความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสกลับเหนือกว่าระดับมหายานทั่วไปมาก แม้กระทั่งอาจจะเหนือกว่าบรรพชนแรกเริ่มเป่าฮวา แต่เทียบกับเขาแล้ว กลับเห็นได้ชัดว่ายังด้อยกว่าเท่าหนึ่ง

ถึงอย่างไรเสียเขาก็ผ่านเรื่องราวมหัศจรรย์มามากมาย ประกอบกับฝึกฝนเคล็ดลับวิชาจำนวนมาก ระดับความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสแทบจะเหนือกว่าระดับมหายานทั่วไปสองสามเท่า

แต่เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าถงหยาผู้นี้น่ากลัวกว่าระดับมหายานทั่วๆ ไป

ชื่อเสียงของสี่วิหคกลับเป็นเรื่องที่ไม่ได้หลอกลวง

“สหายถงหยา เจ้ามีใจอยากช่วยคน สหาย ณ ที่นี้ย่อมเข้าใจได้ แต่เหตุใดต้องใช้อารมณ์ ข้าไม่เคยบอกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะไม่อาจประสบความสำเร็จทั้งสองทางได้” ในที่สุดเป่าฮวาก็เอ่ยอย่างเยือกเย็น

ระดับมหายาน ณ ที่นั้นที่สามารถพูดคุยกับชายชราหน้าอีกาอย่างเท่าเทียมได้ก็มีเพียงนางผู้ซึ่งเป็นบรรพชนแรกเริ่มของเผ่ามาร

“เป่าฮวา นั่นมันหมายความว่าอันใด หรือว่าอยากใช้คำพูดล่อลวงผู้เฒ่า” ผู้เฒ่าถงหยาพลันตกตะลึง แต่ก็จ้องเขม็งไปที่เป่าฮวาแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ล่อหลวงหนึ่งในสี่วิหค ข้าจะบังอาจเช่นนั้นได้อย่างไร สหายถงหยามองข้าสูงส่งเกินไปหน่อยกระมัง” เป่าฮวาหัวเราะน้อยๆ อย่างไม่คิดเช่นนั้น

“หึ นั่นก็ไม่แน่ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าในบรรดาบรรพชนแรกเริ่มทั้งสามของแดนมาร เจ้าเป่าฮวาเป็นผู้ที่เจ้าเล่ห์เพทุบายที่สุด และถูกขนานนามว่าเป็นปัญญามารมาแต่ไหนแต่ไร” ชายชราหน้าอีกาหัวเราะอย่างเย็นชา

เป่าฮวาได้ยิน คิ้วดำขลับก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ แต่หลังจากครุ่นคิด ฉับพลันนั้นก็หัวเราะเบิกบาน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย กลับไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถ่ายทอดเสียงไปหาผู้เฒ่าหน้าอีกา

ยามแรกผู้เฒ่าหน้าอีกามีสีหน้าเย็นชา แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ รูม่านตาก็หดเล็กลง คาดไม่ถึงว่าหน้าเปลี่ยนสีแล้วเอ่ยขึ้น

“เป่าฮวา เมื่อครู่ที่เจ้าพูดคือความจริงหรือ หากเป็นเรื่องเท็จล่ะก็…”

“เป็นความจริงหรือไม่ สหายแค่ดูสิ่งนี้ก็รู้แล้ว” เป่าฮวาแววตาเปล่งประกาย ยกมือข้างหนึ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีผลึกลำแสงพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วร่อนลงในมือของชายชราหน้าอีกา

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

คัมภีร์วิถีเซียน (จบบริบูรณ์)

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท