“พี่มั่วคำพูดนี้หมายความเช่นไรกัน…” หานลี่ชั่วครู่เดียวก็ฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของชายชรา จึงเอ่ยถามออกไปอย่างประหลาดใจ
“ด่านเคราะห์ครั้งต่อไปของพี่เซี่ย เกรงว่าคงจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีนี้ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้ากับข้าคงจะไม่อาจเอ่ยออกมาได้ว่าคงจะต้องดูแลปกป้องด้วยตนเอง” มั่วเจี่ยนหลีถอนหายใจออกมา เอ่ยด้วยความเคร่งขรึม
“อะไรนะ ด่านเคราะห์ของนักพรตเซี่ยกำลังจะมาถึงแล้ว” ถึงแม้ว่าหานลี่จะดูสงบเงียบผิดปกติ แต่ว่าหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาของเขาหันไปยังบรรพชนเอ๋าเซี่ยว
“ท่านปู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าค่ะ” อิ๋นเย่ว์ที่แต่เดิมกำลังยิ้มอยู่ ใบหน้าก็ซีดเซียวขึ้นมา
“เอ่อ ด่านเคราะห์เดิมนั้นควรจะมาถึงตั้งแต่พันปีที่แล้ว แต่ว่าถูกชายชราใช้วิธีบางอย่างถึงได้หยุดมันจนถึงตอนนี้ วิธีการนี้ ถึงแม้ว่าจะทำให้ชายชราผู้นี้มีเวลามากขึ้น แต่กลับกันแล้ว ด่านเคราะห์ครั้งนี้เมื่อมาถึงแล้วจะต้องรุนแรงกว่าเดิมแน่นอน แต่ว่าข้าแต่เดิมก็ไม่ได้มองด่านเคราะห์ครั้งนี้ดีนัก วิธีการนี้อย่างไรเสียก็มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย เวลาพันปีมานี้ ในที่สุดแล้วหลิงเอ๋อร์เจ้าก็สามารถถึงขั้นหลอมรวมได้แล้ว แล้วยังมีเจ้าเด็กหานคอยดูแลอีกด้วย ต่อไปข้าก็วางใจได้แล้ว” หลังจากที่บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ท่านปู่ก็ทำไปเพื่อข้า ถึงได้ทำเรื่องที่เหมือนกับการดื่มยาพิษเพื่อดับกระหายเช่นนี้” อิ๋นเย่ว์เอ่ยน้ำเสียงสั่นออกมา
“หลิงเอ๋อร์ นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า และต่อให้ไม่มีเจ้า ในตอนนั้นแดนมารต้องการที่บุกเข้ามายังแดนวิญญาณของพวกเรา ชายชราผู้นี้อย่างไรแล้วก็ต้องเลือกทางนี้เช่นกัน” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกมาเคร่งขรึม
อิ๋นเย่ว์ส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงท่าทีราวกับว่าไม่เชื่อออกมา
“นักพรตเซี่ย ด่านเคราะห์ครั้งนี้ไม่มีหวังที่จะรอดแม้แต่น้อยเลยหรือ หากว่าต้องการสมบัติวิเศษใดๆ ข้าจะหาวิธีช่วยตามหามาให้ท่าน” หานลี่ขมวดคิ้ว เอ่ยออกมาอย่างครุ่นคิด
“หากว่าข้าไม่ได้ใช้วิธีการลับเพื่อเลื่อนด่านเคราะห์ก่อนหน้านั้น ข้าก็คงจะมีโอกาสรอดออกมาส่วนหนึ่ง ตอนนี้ แม้แต่ครึ่งส่วนก็คงจะไม่ถึงเสียแล้ว ส่วนเรื่องสมบัติวิเศษที่ช่วยฝ่าด่านเคราะห์นั้น ชายชราแน่นอนว่าได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ที่สามารถใช้ได้ข้าก็รวบรวมมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ส่วนที่เหลือที่ยังตามหาไม่เจอนั้น ล้วนเป็นของที่พบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอมาได้ ชายชราเองก็ไม่ได้หวังอีกต่อไปแล้ว” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวถอนหายใจออกมาพลางเอ่ย
“ครึ่งส่วน โอกาสนี้ก็ต่ำเกินไปหน่อย เยี่ยงนี้ไม่ได้แล้ว ท่านปู่ ไม่ทางอื่นแล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือเจ้าค่ะ ที่จะเพิ่มโอกาสทำให้ผ่านด่านเคราะห์ไปได้?” อิ๋นเย่ว์ดวงตาทั้งสองข้างแดงเล็กน้อย ส่ายศีรษะไปมาแล้วเอ่ยถามออกมา
“วิธีการ? หากว่าศิษย์คนนั้นของนักพรตหานที่สำเร็จมหายานแล้วอยู่ด้วย ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ข้าได้อีกส่วนหนึ่ง ตอนนี้นะหรือ สำหรับข้าแล้วนั้นด่านเคราะห์นี้ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอันใดอีก
อิ๋นเย่ว์เมื่อได้ฟังประโยคนี้เข้า ใบหน้าก็ยิ่งซีดเซียวลง
หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีมองสบตากัน ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นไร้คำพูดใดออกมา
หากว่านำพลังบำเพ็ญเพียรของไห่ต้าเซ่ามาเพิ่มระดับหลอมรวมเป็นการชั่วคราวแล้ว พวกเขาที่เป็นถึงมหายานแล้วลองคิดหาวิธีดู บางทีอาจจะยังพอฝืนทำได้ แต่ว่าสำหรับพวกเขาที่อยู่ในระดับมหายานเหมือนกันนั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จะคิดก็ไม่ต้องคิด
สำหรับภูเขาสูงเหล่านั้นของหานลี่ถึงแม้ว่าจะช่วยต้านทานสายฟ้าฟาดของด่านเคราะห์ได้นั้น แต่น่าเสียดายที่พวกมันใช้ได้เพียงแค่ตนเอง ไม่อาจจะเอาออกมาให้ยืมได้
“มีของสิ่งหนึ่งที่บางทีอาจจะช่วยการผ่านด่านเคราะห์เอ๋าเซี่ยวได้ บางทีอาจจะเพิ่มโอกาสได้มากถึงสองส่วนที่จะผ่านด่านเคราะห์ได้สำเร็จ” มั่วเจี่ยนหลีในหน้าเปลี่ยนไปมา จู่ๆ ก็เอ่ยออกประโยคนี้ออกมา
“ผู้อาวุโสมั่ว มันคืออะไรกัน?” อิ๋นเย่ว์เมื่อได้ยินเข้า ก็มีสติขึ้นมาในทันที
บรรพชนเอ๋าเซี่ยวมีท่าทีประหลาดใจขึ้นมาในทันที ราวกับว่าไม่เคยได้ยินมั่วเจี่ยนหลีเอ่ยถึงประโยคนี้มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ท่าทางของหานลี่เปลี่ยนไป เผยท่าทีประหลาดใจออกมา
“นักพรตเอ๋าเซี่ยว บรรพชนสือซินท่านเองคงจะรู้จัก” มั่วเจี่ยนหลีไม่ได้ตอบกลับไปโดยตรง แต่กับถามกลับเปลี่ยนหัวข้อของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวแทน
“บรรพชนสือซินแน่นอนว่ารู้จัก เขาไม่ใช่ว่าเข้าสู่แดนมารพร้อมกันกับมหายานท่านนั้นของเผ่าหยุนกั่งหรอกหรือ ข้าเคยพูดคุยกับเขาอยู่สองสามประโยค แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ตกลงไปในผนึกโบราณ ทำไมอย่างนั้นหรือ ท่านว่าของสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเขาอย่างนั้นหรือ?” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไป
“บรรพชนสือซินถึงแม้ว่าจะไม่มีสมบัติวิเศษที่จะมาต้านทานด่านเคราะห์ได้ แต่ก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับของสิ่งนี้ที่เล่าสืบต่อกันมา ของสิ่งนั้นก็คงจะอยู่ในเผ่าวิญญาณนี้แหละ” ใบหน้าของมั่วเจี่ยนหลีดูแปลกๆ ไปแล้วก็เอ่ยอธิบายออกมาสองสามประโยค
“เผ่าแปลกประหลาดพวกนั้นก่อนที่จะเข้าสู่แดนวิญญาณ เคยไปเผ่าวิญญาณมาก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็หยุดพักอาศัยอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่ามากกว่าครึ่งไม่ใช่เรื่องเท็จ แต่ว่าที่พี่มั่วท่านกล่าวมาครึ่งค่อนวัน ฉะนั้นแล้วของสิ่งนี้ตกลงแล้วเป็นสมบัติวิเศษใดกัน?” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เป็นยันต์ซานชิงเหลยเซียว!” มั่วเจี่ยนหลีหลังจากที่ลังเลอยู่ในที่สุดก็เอ่ยออกมา
“อะไรนะ ยันต์นี้ เป็นของที่เล่ากันว่าเป็นความลับสุดยอด โลกภายล่างมียันต์นี้อยู่อย่างนั้นหรือ” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หานลี่ใช้มือข้างเดียวลูบไล้คางของเขา แล้วขยับตัวเคลื่อนไหวไปมาอยู่เล็กน้อย
ยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้เป็นหนึ่งในสมบัติลับไม่กี่อย่างที่สามารถใช้ต้านทานด่านเคราะห์ของมหายานได้ ในบันทึกบางส่วนนั้น โด่งดังไปทั่วทั้งโลกภายล่าง
แต่ว่ามีบางอย่างแตกต่างจากสมบัติชิ้นอื่นอยู่ เหมือนสิ่งที่เรียกว่ายันต์ลับลัทธิเต๋านั้นเป็นของที่ใช้ทั่วไป มีอยู่มาในคำบอกเล่าอยู่เรื่อยมา และได้ยินว่ามีเพียงแค่เซียนที่แท้จริงในแดนเซียนเท่านั้นที่สามารถจะฝึกควบคุมมันได้ ดังนั้นผู้แดนที่อยู่ต่างแดนจึงไม่มีใครที่จะได้เห็นมันด้วยตาเลยสักครั้ง
และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า บรรพชนขั้นมหายานหลายคนจึงไม่ค่อยที่จะเชื่อมั่นในยันต์นี้ของโลกภายล่างว่ามีอยู่จริง ตอนนี้มั่วเจี่ยนหลีจู่ๆ ก็เปิดปากเอ่ยชื่อของสิ่งนี้ออกมา อีกทั้งยังอยู่ในเผ่าวิญญาณที่ไม่ห่างไปจากเผ่ามนุษย์นักอีกด้วย นี้ทำให้บรรพชนเอ๋าเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจขึ้นมา
“และตามเหตุผลแล้วยันต์ซานชิงเหลยเซียวไม่ควรที่จะปรากฏขึ้นในโลกภายล่าง แต่ว่าบรรพชนสือซินตอนที่อยู่ในเผ่าวิญญาณนั้นเคยเห็นยันต์นี้ด้วยตาของตนเอง อีกทั้งข้ายังรับรองได้ว่าข่าวของเขาไม่มีทางที่จะเป็นเท็จ ส่วนจะทำไมนะหรือ ชายชราเองขอไม่เอ่ยออกมาให้ชัดเจนแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยไปครึ่งคำก็อธิบายไปครึ่งหนึ่ง เอ่ยออกมาอย่างมีความหมาย
“พี่มั่วเมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว! เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเท็จแน่นอน แต่ว่าบรรพชนสือซินเมื่อรู้ว่าของสิ่งนี้มีอยู่ แล้วทำไมเขาจึงได้ไม่พยายามเอามันมาไว้ในมือของตน ถึงแม้ว่าเขาจะยังห่างจากด่านเคราะห์คราวหน้าอีกไกล แต่ไม่มีทางที่จะปล่อยสมบัติชิ้นนี้ไปแน่” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเองก็รู้สึกแปลกใจในคำยืนยันของมั่วเจี่ยนหลีเช่นกัน แต่ก็ไม่มีทางที่จะไปซักไซ้ถามคำถามนี้ออกไป เมื่อความคิดสงบลงแล้ว จึงถามออกมาอย่างจริงจัง
“สมบัติเช่นนี้หากว่าวางอยู่ตรงหน้าของข้าแล้ว หานม่อจะไม่มีทางปล่อยมันไปแน่” หานลี่เอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วย
“ทั้งสองท่านคงจะมีบางอย่างที่ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าบรรพชนสือซินยินยอมที่จะปล่อยสมบัติใกล้มือชิ้นนี้ไป แต่ว่าแต่เดิมเขาได้ตกลงกับเจ้าของยันต์นี้เอาไว้แล้ว และเมื่อกลับมาจากแดนมารก็ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ แล้วก็นำยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้เก็บมันเอาไว้ในมือ” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา
“ในเผ่าวิญญาณ ทำให้แม้แต่บรรพชนสือซินต้องใช้คำมั่นเพื่อแลกเปลี่ยนมานั้น! หรือว่ายันต์นี้จะตกไปอยู่ในมือของคนผู้นั้นแล้ว” ใบหน้าสง่างามของบรรพชนเอ๋าเซียวดูมืดมนลง เผยความหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่คนผู้นั้น แล้วยังจะเป็นใครไปได้อีก!” มั่วเจี่ยนหลีถอนหายใจยิ้มขมขื่นเอ่ยออกมา
อิ๋นเย่ว์เมื่อฟังมาจนถึงตอนนี้ ดวงตาสวยกะพริบไปมา มีความงุนงงแฝงอยู่ แต่ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่ามันเป็นเช่นไร ส่วนหานลี่ก็ยิ้มออกมาในทันที
“นักพรตทั้งสองท่านเอ่ยถึงหรือว่าจะเป็นหลิงอ๋องแห่งเผ่าวิญญาณ”
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงวันนั้นในแดนมารที่ชำระร่างกายในสระวิญญาณ หลิงอ๋องท่านนั้นด้วยความช่วยเหลือจากร่างของไป๋ชีจึงได้ปรากฏกายขึ้นมา
บรรพชนเอ๋าเซี่ยวและมั่วเจี่ยนหลีสีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป แล้วก็มองสบตากันโดยที่ไม่รู้ตัว
“ไม่ผิด ที่พวกข้าสองคนหมายถึงก็คือหลิงอ๋อง ยันต์ซานชิงเหลยเซียวตอนนี้อยู่ในมือของเขา อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่ใบเดียว” หลังจากมั่วเจี่ยนหลีพยักหน้า ก็เอ่ยตอบรับออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่เพียงแค่ใบเดียว?” บรรพชนเอ๋าเซียวตกใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ให้มากอีกต่อไป
ตามบันทึกในตำราแล้ว ไม่ว่าจะมียันต์นี้มากเพียงใด แต่ว่าในด่านเคราะห์ครั้งหนึ่งสามารถใช้ได้เพียงแค่ใบเดียว
“เกี่ยวกับชื่อของหลิงอ๋องนั้น ข้าเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่การมีอยู่ของมหายานในเผ่าวิญญาณเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นไม่ค่อยจะชัดแจ้งนัก ฟังจากน้ำเสียงของนักพรตทั้งสองท่านแล้ว ดูเหมือนว่าไม่ค่อยอยากที่จะไปยั่วยุเสียคนผู้นี้เสียเท่าไหร่” หานลี่สองตาหรี่ลง เอ่ยถามช้าๆ
“ข้าไม่อยากที่จะไปยั่วยุนัก หากว่าเป็นไปได้แล้ว ข้าและพี่เซี่ยเองก็ไม่อยากที่จะเกี่ยวข้องกับจ้าสัตว์ประหลาดนี้แม้แต่น้อย” มั่วเจี่ยนหลียิ้มขมขื่นตอบกลับมา
“โอ้ว เพราะอะไรกัน?” หานลี่แน่นอนว่าจะต้องถามออกมาอีก
“เพราะว่าถึงแม้ว่าเผ่าวิญญาณจะไม่ใหญ่โตนัก และยังแข็งแกร่งน้อยว่าเผ่ามนุษย์และมารของพวกเรา แต่ว่าหลิงอ๋องท่านนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่มีอายุมาแล้วมากกว่าล้านปี” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยตอบออกมาเองสองประโยค
“มีอายุนานนับล้านปี เป็นไปได้อย่างไร?” หานลี่ในนาทีนั้นมาไม่มีเสียงเอ่ยออกมา รู้สึกตกใจขึ้นมาแล้วจริงๆ
“เฮ่อ…เฮ่อ ไม่ต้องพูดถึงเจ้า พวกข้าสองคนในปีนั้นได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็ตกใจเสียยกใหญ่” มั่วเจี่ยนหลีหัวเราะ
“หลิงอ๋องหากว่ามีชีวิตมาแล้วล้านปีขึ้นไปจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเขาผ่านด่านเคราะห์มาแล้วนับครั้งไม่ใช่ว่า…” หานลี่ยังไม่ทันได้เอ่ยจนจบ แต่ว่าความหมายในนั้นแน่นอนว่าใครก็เข้าใจได้
“เรื่องนี้ไม่ชัดเจนนัก เพราะว่าไม่มีผู้ใดที่เคยเห็นหลิงอ๋องผู้นี้ฝ่าด่านเคราะห์มาด้วยตาของตัวเองเลย และก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับการฝ่าด่านเคราะห์เลย มีคนเคยเอ่ยเอาไว้ว่า หลิงอ๋องท่านนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ ระยะห่างของด่านเคราะห์ของเขานั้นนับแสนปี และยังมีคนเอ่ยเอาไว้อีกว่า หลิงอ๋องนั้นจริงๆ แล้วก็เหมือนๆ กันกับข้า จริงๆ แล้วก็เปลี่ยนไปหลายรุ่นแล้ว เพียงแต่คนภายนอกไม่รู้ก็เท่านั้น ส่วนที่ว่านั้นแบบไหนถึงจะเป็นเรื่องจริงนั้น เรื่องนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่ชัดเจนกับมัน” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม
“หากว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีอายุมานานกว่าล้านปีแล้ว เจอเข้าเกรงว่าจะหวาดกลัวจนถึงขีดสุด” หานลี่ใบหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง มองออกไปอย่างครุ่นคิด
“แต่ว่าที่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน ล้านปีมานี้ รูปลักษณ์หน้าตาของหลิงอ๋องแห่งเผ่าวิญญาณจากมหายานของสองเผ่าเราที่เคยได้ยินมานั้น แน่ชัดว่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป เหมือนกับเป็นคนๆ เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น โชคดีที่การถือกำเนิดของเผ่าวิญญาณนั้นยากยิ่งนัก ถึงแม้ว่าพลังของหลิงอ๋องจะยากแท้หยั่งถึง แต่ก็ไม่มีทางที่จะขยายอาณาเขตของเผ่าวิญญาณให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ทำได้เพียงแค่รักษาขนาดปัจจุบันไว้เท่านั้น และนอกจากนี้แล้ว ในช่วงหลายล้านปีมานี้ลงมือไปจริงๆ เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยอธิบายออกมาต่ออีกไม่กี่ประโยค