วายร้ายจื่อจินตกอยู่ในอาการสาหัส ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในชั่วขณะหนึ่ง
แสงกะพริบวูบหนึ่งกลางหว่างคิ้วของหานลี่ แล้วมนต์ดำที่สะกดดวงตาของเขาอยู่ก็หายไป หลังจากนั้นเขากวาดตามองจื่อจินที่อยู่ที่พื้นแวบหนึ่ง จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า
“ข้ารู้มานานแล้วว่าหลังจากที่เจ้านี่กลายเป็นราชาแห่งแมลง มันก็คงไม่ยึดมั่นคำสาบานเดิมที่เคยให้ไว้อีกต่อไป โชคดีที่ก่อนเจ้าราชาแมลงทั้งสามจะกัดกินกันเอง ข้าได้คิดหาหนทางป้องกันทางอื่นไว้แล้ว หาไม่…หากข้าต้องแสวงหาวิธีรับมือกับพวกมัน คงชวนปวดหัวมิน้อย แต่เพื่อความปลอดภัย ดูเหมือนว่าตอนนี้ข้าจำต้องใช้เคล็ดลับวิชาอีกสักครั้ง”
หานลี่บ่นพึมพำกับตัวเองเสร็จ เขาสะบัดชายแขนเสื้อวูบหนึ่ง พลัน…ธงนับร้อยผืนก็พุ่งทะยานออกมาจากแขนเสื้อของเขาโบกสะบัดไปทั่วบริเวณภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้าใจกลางห้องลับถูกปกคลุมด้วยม่านธงหลายร้อยผืนก่อเกิดเขตอาคมดำทะมึนขนาดใหญ่หนึ่งจั้ง
ที่กึ่งกลางของค่ายกล คือวายร้ายจื่อจินที่ยังนอนหลับไม่ได้สติ
หานลี่บริกรรมคาถาต่อเนื่องกันหลายบท คาถาทั้งมวลต่างพรั่งพรูจากปากหานลี่พุ่งถาโถมกลืนหายเข้าไปยังค่ายกลในชั่วพริบตา
เสียงดัง “พรึ่บ” เส้นใยห้าสีนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทั้งสี่ทิศของค่ายกล แล้วมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปมัดตัววายร้ายจื่อจินที่นอนอยู่ใจกลางค่ายกลอย่างแน่นหนา
เมื่อหานลี่เปิดปากอีกครั้ง พลัน…กระอักเลือดออกมา กลับกลายเป็นอักษรเลือดที่พุ่งไปยังร่างของวายร้ายจื่อจิน
ในขณะเดียวกัน ค่ายกลทั้งค่ายก็คำรามเสียงดัง เปลวเพลิงลุกโหมม้วนกลืนใจกลางของค่ายกล…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ทางเข้าหลักของห้องลับก็ได้เปิดออก หานลี่จึงเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม…เห็นได้ชัดว่า การสังเวยราชาแมลงกลืนทองครั้งนี้ของประสบความสำเร็จถึงสิบส่วน
หนึ่งเดือนต่อมา ชีหลิงจื่อและไป๋กั่วเอ๋อร์ ได้กล่าวลากับหานลี่เพื่อออกเดินทางท่องโลกกว้าง
หลังจากนั้นอีกสิบกว่าวัน หานลี่ได้พาอิ๋นเย่ว์และจูกั่วเอ๋อร์เดินทางออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ แล้วนั่งเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกไปมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปยังอาณาเขตของเผ่าปีศาจ
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ในระหว่างที่เดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึก ก็ได้พบเจอเผ่าปีศาจจำนวนไม่น้อย
แต่ปีศาจเหล่านี้ ไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ำ เมื่อพวกมันเห็นเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกกับหุ่นเชิดผลึกมารที่มีรัศมีน่าประหลาดใจยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พวกมันจะรีบหนีไปให้ไกล…ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเรือเหาะของหานลี่แล่นผ่านเข้าเขตทะเลชั้นใน การมาเยือนของเรือเหาะได้ไปกระตุ้นฌานของปีศาจฝึกตนตนหนึ่ง ซึ่งกำลังบำเพ็ญตนอย่างสงบอยู่ในถ้ำใต้ห้วงทะเลลึก
ปีศาจน้ำฝึกตนตนนี้ดูเหมือนว่าวรยุทธ์ของมันจะอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มันได้อพยพมาพำนักยังถ้ำแห่งนี้ แล้วขับไล่ปีศาจผู้อ่อนแอตนอื่นออกไป จากนั้นจึงสถาปนาตนเป็นใหญ่ปกครองทะเลชั้นในอันอุดมสมบูรณ์นี้เป็นอาณาเขตของตนแต่เพียงผู้เดียว
แม้ว่าปีศาจตัวนี้จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอแต่พลังอำนาจอันแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ของมันเป็นที่คร้ามในหมู่ปีศาจด้วยกัน และมันมีสมบัติล้ำค่าหลายอย่าง ดังนั้นแม้แต่กลุ่มปีศาจในระดับเดียวกันเพียงไม่กี่กลุ่มก็มิหาญกล้ายั่วยุตอแยมัน
แต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าปีศาจตนใดล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน เจ้าปีศาจแห่งอาณาจักรทะเลในก็ต้องออกไปอวดโฉมสำแดงอิทธิฤทธิ์ประกาศอาณาเขตของตนให้ปีศาจเหล่านั้นได้ประจักษ์
แต่วันนี้ ขณะที่ปีศาจน้ำกำลังหลอมยาลูกกลอนอันสำคัญยิ่งอยู่ในห้องลับ ณ ถ้ำใต้ทะเลของมัน ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนดังขึ้นมาจากด้านนอกห้องลับ
เจ้าปีศาจไม่อาจปกป้องจิตของมันไม่ให้ถูกรบกวนได้ ด้วยความตกใจ มันพัดหยกในมือถี่รัวจนเปลวไฟในเตาหลอมยาก็ถูกพัดกระจายออกเป็นสามแฉก
บูม!
เตาหลอมหยกผลึกขาวสูงเพียงไม่กี่ฉื่อด้านหน้าของปีศาจน้ำระเบิดตูม แสงสว่างเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่ง ขณะนั้นเองมันก็ได้กลิ่นยาไหม้โชยออกมา
ปีศาจระดับผสานอินทรีย์ตนนี้เห็นดังนั้น…ก็ส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว สีหน้าของมันเริ่มบิดเบี้ยว มันสะบัดแขนเสื้อส่งพลังโจมตีขึ้นไปเหนือผืนน้ำทันควัน ไม่แม้แต่จะตรวจสอบเขตอาคมเตือนภัยนอกห้องลับมองหาผู้รุกล้ำซะก่อน
ด้วยว่า…ยาลูกกลอนที่มันกำลังกลั่นอยู่นั้นล้วนรวบรวมมาจากสมุนไพรชั้นเลิศผสมกับวัตถุดิบที่มันบากบั่นหามาอย่างยากลำบากทุ่มเทแรงกายแรงใจสุดกำลังเพื่อปรุงยาวิเศษออกมาให้ดีที่สุด
ทว่า…บัดนี้ ยาวิเศษเหล่านั้นได้ถูกทำลายลงเสียสิ้น มันจึงคลั่งแค้นรุ่มร้อนด้วยไฟโทสะ อยากจะเข่นฆ่าผู้บุกรุกให้แหลกราญมลายสูญดับดิ้นไปพร้อมกับสมุนไพรที่มอดไหม้ของมันกระนั้น
แม้จะยังไม่ทันเห็นว่าใครคือผู้บุกรุกที่ทำให้สัญญาณเตือนดังขึ้น แต่ปีศาจน้ำก็บริภาษมันเหล่านั้นในใจอย่างแค้นเคืองว่า
“หากคนเหล่านั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังก็ถือว่าดี ขอเพียงแค่สามารถชดเชยในสิ่งที่เสียไปได้ เรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะไม่เอาความ แต่หากไม่สามารถชดเชยข้าได้ล่ะก็ ข้าจะทำลายพวกมันเพื่อล้างแค้นที่มาทำให้ยาของข้าเสียหาย”
ผู้ฝึกตนนี้เป็นปีศาจน้ำจึงทำให้การเคลื่อนไหวในน้ำรวดเร็วหามีใครเทียบเคียงได้ แค่ขยับเพียงไม่กี่อึดใจ ก็เหยียบลงบนงูทะเลยักษ์สีน้ำเงิน และนำพาตนเองขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ววิ่งฉิวไปบนผิวน้ำพลางตะโกนอย่างฉุนเฉียว
“เจ้าเป็นผู้น้อยจากที่ใดกัน ถึงกล้ามารบกวนการทำสิ่งดีๆ ของข้าฮวาฉื่อตนนี้รีบมาหาข้าและวิงวอนขอชีวิตขอให้ข้าอภัยให้เจ้าเสีย! อ๊ะ พวกเจ้าคือ…”
ปีศาจผู้ฝึกตนผู้สวมชุดเกราะเกล็ดปลาครึ่งตัว ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าโดยมีงูทะเลยักษ์สีน้ำเงินอยู่ใต้เท้าของมัน ฮวาฉื่อเงยหน้าขึ้นและกวาดตามองไปรอบๆอย่างชั่วร้าย ก่อนจะตกตะลึงในทันใด
เมื่อมองเห็นบางสิ่งบนท้องฟ้าในระยะไกลออกไปหลายร้อยจั้ง นั่นคือเรือเหาะยักษ์สีดำขนาดเท่าภูเขากำลังบินอย่างช้าๆ มาแต่ไกลบนเรือเหาะยักษ์ลำนั้นมีหุ่นเชิดนักรบใส่ชุดเกราะยืนกันอยู่อย่างหนาแน่น เมื่อเห็นเช่นนั้น ใจของปีศาจน้ำเริ่มสั่นระรัว
ในบรรดาหุ่นเชิดเหล่านี้ มีบางตัวที่มีกลิ่นอายดูเหมือนจะอยู่เหนือพวกมัน
ปีศาจฮวาฉื่อรีบหยุดคำพูดอันรุนแรงของตนและกลืนมันลงคอเสียงดังทันที
“อ่า…ขอโทษด้วย ข้าจำคนผิด ไม่รบกวนการเดินทางของพวกท่านแล้ว ขอตัวลาไปก่อน” ปีศาจน้ำมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลังจากกรอกตาเพียงสองสามครั้ง ก็เปลี่ยนจากสีหน้าโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่เป็นรอยยิ้มในทันที ขณะเดียวกันเจ้างูทะเลยักษ์สีน้ำเงินที่อยู่ใต้เท้าปีศาจ ก็พากันเคลื่อนตัวกลับลงไปบนผิวทะเลอย่างเงียบเชียบ
“ช้าก่อน…ที่แท้เจ้าก็คือปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อผู้นั้น! ดีเลย…ข้ากำลังคิดที่จะหางูท้องถิ่นที่รู้จักคุ้นเคยกับพื้นที่นี้อยู่พอดี เจ้าอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะ!”
เสียงนี้คุ้นหูยิ่งนัก ที่แท้เป็นเสียงของอิ๋นเย่ว์
ไม่ทันขาดคำ!
บนเรือยักษ์สีดำเกิดการเคลื่อนไหว จากนั้นหุ่นเชิดสี่ตัวที่มีกลิ่นอายไม่ต่างจากปีศาจน้ำ ก็ทะยานมาประจันหน้ากับฮวาฉื่อกลางอากาศ
ปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อได้เห็นสิ่งนี้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก มันใช้เท้าข้างเดียวเหยียบงูสีน้ำเงินใต้เท้า เปลี่ยนงูเป็นลูกบอลแสงสีขาวพุ่งเข้ามาที่มืออย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันมันก็ปล่อยอาวุธป้องกันเวทมนตร์หลายชนิดออกมาพร้อมกันในอึดใจเดียว
แต่ในเวลานี้อีกเช่นกัน หุ่นเชิดผลึกมารทั้งสี่ตัวนั้นก็ส่งเสียงคำรามยาวออกมา มือทั้งแปดข้างก็พุ่งฝ่าอากาศเข้าหาปีศาจฮวาฉื่อพร้อมกัน เกิดเสี้ยงดัง ฟิ้ว!
อาวุธป้องกันของฮวาฉื่อหลายชิ้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้พลังที่มองไม่เห็น
ปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อและงูทะเลยักษ์สีน้ำเงินตัวนั้นตกอยู่ภายใต้คุกอากาศสี่ด้าน และร่างกายพวกมันก็ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และติดอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าของฮวาฉื่อซีดเผือด และมันทำได้เพียงมองดูหุ่นเชิดผลึกมารสี่ตัวนั้นบินมาเท่านั้น
หุ่นตัวหนึ่ง ทันทีที่แขนของมันขยับ ปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อและงูยักษ์สีน้ำเงินก็ถูกจับมือไว้พร้อมๆ กันในมือ หุ่นเชิดจึงหันหลังกลับแล้วลอยไปที่เรือเหาะ แล้วเรือเหาะยักษ์สีดำก็บินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ในห้องโถงบนชั้นสูงสุดของเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณมาร ในที่สุดเขาก็เห็นหานลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำ โดยมีจูกั่วเอ๋อร์และอิ๋นเย่ว์ยืนอยู่ข้างกาย
ตึกตัก…
ทันทีที่นิ้วทั้งห้าของหุ่นเชิดคลายออก มันก็โยนร่างของฮวาฉื่อและงูยักษ์สีน้ำเงินลงบนดาดฟ้าเรือ แล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า
แม้ฮวาฉื่อจะสามารถขยับร่างกายได้อย่างอิสระ แต่มันไม่รู้ว่าหุ่นเชิดพวกนั้นใช้วิธีการอันใดทำให้มันไม่สามารถโคจรพลังปราณแท้ได้
นอกจากนี้รัศมีของอิ๋นเย่ว์ยังแข็งแกร่งกว่ามันมากมายนัก อีกทั้งยังมีรังสีพลังวิญญาณของหานลี่แผ่ออกมากดดันมันอีกทาง ปีศาจฮวาฉื่อกำลังสั่นระริกด้วยความกลัวที่พุ่งเข้าครอบงำสุดขั้วหัวใจ
แม้ในใจของเจ้าปีศาจน้ำผู้ฝึกตนจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็มิกล้าที่จะกระทำการต่อต้านใดใดอีกต่อไป มันแย้มยิ้มอย่างแสนขมขื่นและแสดงความเคารพต่อหานลี่ พลางพูดว่า
“ข้าน้อยฮวาฉื่อขอคารวะ นักพรตทั้งหลาย มิทราบมาก่อนว่าทุกท่านจะมาเยือนที่เซี่ยจวีแห่งนี้ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือไม่”
หานลี่เหลือบมองผู้ฝึกตนขั้นผสานอินทรีย์เล็กน้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ แต่เขามิได้เอ่ยปากตอบสิ่งใดออกไปทันที
กลับเป็นอิ๋นเย่ว์ที่อยู่ด้านข้าง เหลือบตามองมา เอ่ยตอบฮวาฉื่อด้วยรอยยิ้มบางเบา
“ตอนนี้ท่านได้สติแล้ว ทำไมตอนแรกท่านไม่ฟังพวกเราเลย กลับเลือกที่จะหนีล่ะ”
“ขายหน้าพวกท่านแล้ว ตัวข้าแซ่ฮัวเพียงปกป้องตัวเองตามสัญชาติญาณเท่านั้น อีกทั้งพวกท่านยังแลดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เป็นธรรมชาติที่ผู้น้อยอย่างข้าจะหวั่นเกรงต่อท่าน” ปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อ
ตอบด้วยความครั่นคร้ามต่อหานลี่ มันเหลือบตามองหานลี่อย่างระมัดระวังเป็นครั้งคราว
“ฮึ แต่ท่าทีตอนแรกของเจ้ามันไม่เห็นเป็นเช่นที่เจ้าบอกว่าทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเลย หรือว่าเจ้าเพียงแค่ต้องการมาสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกข้า” อิ๋นเย่ว์แค่นเสียงแล้วพูดอย่างไม่พอใจ หน้าของมันเริ่มตึงและเสียงก็เย็นชาขึ้น
“ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาจะมาสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกท่านแม้แต่น้อย เพียง…เพียงแค่ความสับสนครู่หนึ่ง ข้าคิดว่าเป็นเพียงนักพรตรุ่นหลังที่ผ่านทางมา ข้าเสียมารยาทต่อพวกท่านเสียแล้ว” ปีศาจอาวุโสฮวาฉื่อรู้สึกเหมือนเหงื่อไหลท่วมหลัง แล้วรีบร้อนลุกขึ้นยืนเพื่ออธิบาย
อิ๋นเย่ว์ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอันใดต่อ หานลี่ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้มาโดยตลอด ส่งเสียงพูดออกมาเบาๆ ว่า
“ข้าไม่สนหรอกว่าจุดประสงค์เดิมของเจ้าคือสิ่งใด แต่ในเมื่อเจ้ามารบกวนพวกข้าก่อน เจ้าก็ต้องช่วยข้าทำบางสิ่ง ข้าจึงจะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้นแล้ว การลงโทษอย่างหนักคงเป็นสิ่งที่เจ้ามิอาจเลี่ยงได้”
เมื่อปีศาจเฒ่าฮวาฉื่อได้ยินดังนั้น ก็แอบบ่นอยู่ในใจเงียบๆ แต่ไม่กล้าพูดคำว่า “ไม่” ออกไปจึงได้แต่ฝืนยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “พวกท่านวางใจเถอะ! ไม่ว่าพวกท่านจะให้ข้าฮวาฉื่อผู้นี้ทำสิ่งใด ขอเพียงแค่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะทำมันอย่างสุดความสามารถ มิทราบว่า…ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดรือ”
“ท่านไม่ต้องกังวลไป เรื่องที่ข้าอยากให้ท่านช่วยมันง่ายดายมาก เพียงแค่ช่วยข้าหาสถานที่แห่งหนึ่ง ได้ยินมาว่าที่แห่งนี้เหมือนจะมีแท่นบูชาที่ทรุดโทรมจากสมัยโบราณ แต่ว่าดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่ได้เอง และไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” หานลี่พูดยิ้มยิ้ม
ปีศาจชราฮวาฉื่อโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น และรีบพูดขึ้นมาว่า “ที่แท้นายท่านต้องการตามหาแท่นบูชาจตุรทิศแห่งซือหนานนั่นเอง เกี่ยวกับสิ่งนี้ ข้ารู้จักมันเพียงเล็กน้อยเพียงแต่หากต้องการค้นหาสิ่งนี้ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ทั้งหมดที่ข้าทำได้คือพาพวกท่านไปยังสถานที่ที่แท่นบูชามักจะปรากฏขึ้นเท่านั้น”
“งั้นดีเลย ท่านนำพาพวกข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นเถอะ” หานลี่กล่าวโดยไม่ต้องคิด
เมื่อจูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินบทสนทนานี้ ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็สว่างขึ้น!