ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่ฉีหลิงจื่อรับมาเป็นศิษย์ และคนอื่นๆ อีกบางส่วนเป็นคนในสำนักที่ไห่ต้าเซ่าไปเปิดรับสมัครมาใหม่จากพื้นที่ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจในระหว่างสามปีมานี้
ตามแผนการของหานลี่ ไม่เพียงแต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา แต่ทุกๆ สิบปีหลังจากนี้ เขาวางแผนที่จะเพิ่มจำนวนคนในสำนัก
ด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าในเวลาไม่กี่ร้อยปี จำนวนคนในสำนักของเขาจะเพียงพอที่จะไปถึงพรรคทั่วไปขนาดใหญ่ หลังจากที่ใส่ใจพัฒนามาเป็นเวลาหลายพันปี ศิษย์บนเกาะที่อยู่ในระดับเทพแปลง หลอมสุญตาและอื่นๆ จะโผล่ออกมาเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มีศักยภาพสูง การที่จะเข้าสู่ระดับหลอมสุญตาไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปมิได้
ในเวลานี้ หานลี่ยังได้ตั้งชื่อพระราชวังที่เขาอาศัยอยู่ว่า ‘วังปราณมรกต’
เชื่อว่าไม่นานหลังจากนี้ชื่อเสียงของวังปราณมรกตแห่งเกาะรวมปราณนี้จะโด่งดังไปทั่วแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน
ในเวลานี้ ภายใต้การจับตามองของศิษย์วังปราณมรกต หานลี่ได้พาอิ๋นเย่ว์ จูกั่วเอ๋อร์และไห่ต้าเซ่าผู้เป็นศิษย์สายตรงเดินออกมาจากพระราชวังสีเงินอย่างช้าๆ
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด ข้าจะออกจากเกาะเพื่อเดินทางไกลในไม่ช้า ตั้งแต่วันนี้ไปเย่ว์เทียนจะเป็นพ่อบ้านจัดการเรื่องทั่วไปบนเกาะทั้งหมด ส่วนเรื่องภายในวังปราณมรกต อาจารย์หญิงอิ๋นเย่ว์ของพวกเจ้าจะเป็นคนดูแล พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร” หานลี่หันกายมาพูดกับคนที่อยู่ด้านหลัง
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งของท่านอาจารย์” ไม่ว่าจะเป็นไห่ต้าเซ่าหรือว่าหลานเย่าและศิษย์คนอื่นๆ ที่เข้ามาใหม่ ล้วนแต่โค้งตัวตอบรับคำสั่ง
“เจ้าจะไม่ให้ข้าไปด้วยจริงๆ หรือ แม้ว่าระดับของข้าจะลดลงไปยังหลอมสุญตา ทว่าอิทธิ์ฤทธิ์ของข้ายังมีอยู่ อีกทั้งยังมีร่างจำแลงวิญญาณระดับผสานอินทรีย์อยู่ด้วย ถึงแม้จะพบเจอกับระดับมหายานธรรมดา ก็ยังมีพลังส่วนหนึ่งที่จะปกป้องตนเองได้” อิ๋นเย่ว์พูดอย่างช้าๆ จ้องไปที่หานลี่
“มิได้ ร่างจำแลงวิญญาณของเจ้าเพิ่งจะถูกถ่ายโอนพลังของปราณแท้สำเร็จ จำเป็นต้องใช้เวลามากกว่าสิบปีถึงจะถือว่ามีเสถียรภาพอย่างแท้จริง เจ้าจำเป็นต้องอยู่ที่วังปราณมรกต ข้าถึงจะเบาใจ” หานลี่ส่ายหน้าปฏิเสธออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ในเมื่อพี่หานตัดสินใจเช่นนี้แล้ว น้องสาวคนนี้จะไม่พูดให้มากความ ดูแลตัวเองให้ดีนะ!” ดวงตาของอิ๋นเย่ว์เป็นประกายเล็กน้อย พูดพลางถอนหายใจ
“วางใจเถิด หากการเดินทางในครั้งนี้ราบรื่น อาจจะไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก ไม่แน่ว่าจะเวลาแค่ไม่กี่ร้อยปีก็กลับมาแล้ว…ฮวาสือ จูกั่วเอ๋อร์ ออกเดินทางกันเถอะ” สีหน้าของหานลี่อ่อนลงเล็กน้อย ปริปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับจูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือ
ในเวลาถัดมาเกิดการสั่นไหวขึ้นเหนือพระราชวังสีเงิน เรือยักษ์ขนาดใหญ่สีดำราวกับน้ำหมึกโผล่ออกมา
หลังจากที่ร่างของหานลี่สั่นเล็กน้อย ก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่หัวเรืออย่างเลือนราง
จูกั่วเอ๋อร์และฮวาสือหลังจากน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ ก็แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งสายยาวพุ่งไปไปยังเรือยักษ์
เวลาผ่านไปไม่นาน เรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกก็ส่งเสียงดังสนั่นเคลื่อนตัวไปในอากาศ ท่ามกลางการคุกเข่าคำนับจากกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรที่ยอดเขา
เพียงได้ยินเสียง “หึ่งๆ” แหวกอากาศ เรือยักษ์ก็หายลับไปยังเส้นขอบฟ้าโดยสิ้นเชิง
…
ที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อันเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง กลุ่มอสูรที่มีศีรษะเป็นวัวร่างเป็นม้านับหมื่นตัว กำลังพยายามวิ่งหนีบางสิ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต
ส่วนใหญ่อสูรชนิดนี้ล้วนแต่เป็นอสูรทั่วไป แม้แต่จิตวิญญาณในตัวของมันเองก็ยังไม่เปิดออก มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะสามารถเป็นอสูรระดับต่ำ บ้างบินด้วยปีกบนหลังทั้งสองข้างของมันเอง บ้างใช้ลมกรรโชกห่อหุ้มร่างกายเพื่อเคลื่อนตัว
ทันใดนั้นมีเสียงคำรามแปลกประหลาดดังผ่านลงมาจากบนท้องฟ้า ตามมาด้วยรัศมีแสงสีแดงฉานม้วนตัวอยู่บนท้องฟ้า ศีรษะขนาดใหญ่ราวกับภูเขาสามหัวโผล่ออกมาเหนือกลุ่มของอสูรที่กำลังวิ่งอยู่
ทั้งสามหัวนี้ประดับไปด้วยเกล็ดสีเขียวที่ทั้งหนาทั้งหยาบ ลูกตาทั้งหมดเป็นสีเหลืองเข้ม รูม่านตาเป็นประกายเรียวยาว รูปร่างเหมือนกับหัวของอสรพิษขนาดยักษ์
ทันทีที่ศีรษะทั้งสามโผล่ออกมา พลันอ้าปากโดยพร้อมเพรียงเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมราวกับมีดขนาดยักษ์เต็มปากพุ่งลงไปกัดกินกลุ่มอสูรที่อยู่ด้านล่างอย่างโหดเหี้ยม
เสียงกึกก้องดังสนั่นทั่วทั้งทุ่งหญ้ากว้าง
รัศมีแสงสีเขียว เหลือง แดงสามสีพลันม้วนตัวลงมา ครอบคลุมทั่วทั้งทุ่งหญ้าด้านล่างราวกับมืดฟ้ามัวดิน
ในเวลานี้ กลุ่มอสูรที่กำลังวิ่งไปด้านหน้าอย่างตื่นๆ ไม่ว่าจะเปิดจิตวิญญาณแล้วหรือไม่ ร่างกายของพวกมันต่างก็ลอยขึ้นมากลางอากาศกะทันหัน แล้วบินพุ่งเข้าไปในปากของหัวอสรพิษขนาดใหญ่สามหัวราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ผ่านไปไม่ถึงอึดใจ อสูรประหลาดที่มีหัวเป็นวัวตัวเป็นม้ามากกว่าหมื่นตัวพลันถูกหัวงูขนาดยักษ์สามหัวกลืนหายลงไป
หัวที่อยู่ตรงกลางเงยหน้าส่งเสียงเรอออกมา สีหน้ามีความพึงพอใจแสดงอยู่ หลังจากสั่นไหวครู่หนึ่งพลันขมุกขมัวลง ดูเหมือนจะหายไปเหมือนอย่างตอนที่ปรากฏออกมา
ทว่าในเวลานี้เอง หัวอสรพิษยักษ์อีกหัวหนึ่งพลันมีแสงวาบผ่านแววตา ทันใดนั้นก็หันศีรษะไปยังความว่างเปล่าด้านหนึ่งพร้อมเอ่ยออกมาเสียงดังว่า
“เป็นผู้ใดกันที่มาเยือนยังอาคารทุ่งมรกตแห่งนี้ของข้า”
คำพูดของหัวนี้ทำให้หัวอสรพิษยักษ์อีกสองหัวตกใจในทันที ดวงตาทั้งสี่พลันมองไปยังทางเดียวกัน ส่งลำแสงน่าขนลุกออกมา
“อ่า นักพรตซานเฉวียนอย่าตื่นตัวไปเลย ไม่เจอกันมานานเป็นเช่นไรบ้าง” แว่วเสียงเสียงหัวเราเบาๆ มาตามลม และมีอีกเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังออกมาจากความว่างเปล่าด้านนั้น
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ในความว่างเปล่าพลันมีลำแสงวิญญาณจางๆ วูบวาบ ชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งราวกับไม้เสียบผีในชุดสีเหลืองโผล่ออกมาอย่างเงียบๆ ยิ้มหวานมองไปทางหัวขนาดยักษ์ทั้งสาม
“โอ้ ที่แท้คือท่านนักพรตหวงหยวนจื่อ ไม่แปลกใจเลยที่จะสามารถเข้ามายังเขตต้องห้ามอาคารทุ่งมรกตของข้าได้อย่างง่ายดาย” สีหน้าของหัวอสรพิษที่อยู่ตรงกลางผ่อนคลายลง ทว่าน้ำเสียงมีความเฉยเมย
อย่างเห็นได้ชัด
“นักพรตซานเฉวียนพูดเช่นนี้ไม่ถูกนัก เขตต้องห้ามที่ติดตั้งอยู่ที่อาคารทุ่งมรกตนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถผ่านมันมาได้ แม้ว่าข้าจะสามารถคลี่คลายมันได้แต่ก็ไม่มีทางที่จะสามารถทำได้ในสิบวันแน่นอน เหตุผลที่ข้าเข้ามายังที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายเป็นเพราะของสิ่งนี้” ชายผอมกะหร่องนามว่าหวงหยวนจื่อหัวเราะเสียงต่ำ หลังจากพลิกมือ กลุ่มแสงสีขาวนวลพลันปรากฏขึ้น ด้านในมองเห็นเป็นซุ้มประตูขนาดเล็กที่มีขนาดไม่กี่ชุ่นอย่างเลือนราง ลักษณะเป็นหยกแกะสลักวิจิตรอย่างสวยงามส่องแสงวิบวับออกมา
“ประตูสมประสงค์จิ่วฮ่วน ตัวประหลาดเฒ่าจิ่วฮ่วนดูแลสมบัติชิ้นนี้ด้วยชีวิต เหตุใดจึงมาอยู่ในการครอบครองของเจ้าได้”
อสรพิษหัวที่อยู่ตรงกลางเมื่อเห็นซุ้มประตูนั้น ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้ พลันตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ง่ายมาก ข้าน้อยเพียงปั้นคำหวานโน้มน้าวยืมเขามา” หวงหยวนจื่อพูดพลางหัวเราะ
“เหอะ โน้มน้าว! เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร หากใช้แค่คำพูดก็สามารถหยิบยืมของวิเศษชิ้นนี้มาได้ เช่นนั้นข้าจะกระชากหัวลงมาให้เจ้าใช้เป็นของเล่นโดยทันที” สีหน้าของอสรพิษหัวตรงกลางมืดครึ้มลง เอ่ยด้วยเสียงอันน่ากลัว
“ใช้เพียงแค่คำพูดคงอาจจะไม่สำเร็จ แต่หากใช้ผลประโยชน์มหาศาลล่ะ!” หวงหยวนจื่อหรี่ตาตอบ
“ผลประโยชน์อันใด” อสรพิษหัวสุดท้ายที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“ยาอายุวัฒนะสามเม็ด! แต่ละเม็ดสามารถยืดระยะเวลาของทัณฑ์สวรรค์ออกไปได้กว่าสามพันปี ยาสามเม็ดเพียงพอที่จะให้ตัวประหลาดเฒ่าจิ่วฮ่วนมีเวลาเตรียมตัวรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ได้อีกเป็นหมื่นปี ไม่แน่ว่าของสิ่งนี้จะช่วยให้เขาสามารถรอดขีวิตกลับมาได้” หวงหยวนจื่อพูดพลางหาว
“ที่แท้เจ้าเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้ ยาอายุวัฒนะคือยาศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าอายุยืนของเจ้า ไม่ว่าจะมีคนนอกมากมายเท่าไรที่ต้องการมันแต่ก็ไม่สามารถครอบครองได้ เจ้าเสนอให้ถึงสามเม็ดไม่แปลกใจเลยที่ตัวประหลาดเฒ่าจิ่วฮ่วนจะยินยอมให้เจ้าหยิบยืมศาสตราอาคมที่เขารักยิ่งชีพ ทว่า เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ข้ามิใคร่สนใจในยาอายุวัฒนะของเผ่าเจ้า อย่าหวังว่าจะใช้สิ่งนั้นสร้างความประทับใจแก่ข้าได้” หัวอสรพิษที่อยู่ตรงกลางแค่นเสียงพูดออกมาด้วยความเหี้ยมโหดหลายส่วน
“ท่านนักพรตอาจจะไม่สนใจยาอายุวัฒนะ ทว่าคัมภีร์คุกอเวจีท่านมีความสนใจหรือไม่” หวงหยวนจื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย กลับพูดออกมาอย่างมากเล่ห์
“คัมภีร์คุกอเวจี”
“เจ้ามีสิ่งนี้อยู่ในครอบครอง?”
“เป็นไปไม่ได้!”
ในครั้งนี้ หัวอสรพิษทั้งสามส่งเสียงดังออกมาพร้อมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมาก
ดูเหมือนว่าสิ่งของชิ้นนี้จะมีความสำคัญต่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
“คัมภีร์คุกอเวจีเป็นของวิเศษแบบใดท่านก็น่าจะรู้ ข้าน้อยจะมีมันอยู่ในครอบครองได้อย่างไร อีกทั้งยังไม่กล้าที่จะครอบครองมัน ทว่าข้ากลับรู้เบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของมัน ไม่ทราบว่าพี่ซานเฉวียนสนใจหรือไม่” หวงหยวนจื่อพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ครึ่งหนึ่ง คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ” หัวอสรพิษตรงกลางซักถามออกมาด้วยแววตาเย็นเยือก
“ข้าน้อยได้พูดความจริงกับพวกท่านไปหมดแล้ว จะเป็นคำหลอกลวงได้อย่างไร” หวงหยวนจื่อพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
“ตกลง เจ้านำเบาะแสของคัมภีร์คุกนรกส่วนหนึ่งมาบอกแก่ข้าเช่นนี้ฤา อย่าบอกนะว่าที่เจ้ามาหาข้าในครั้งนี้ เพียงเพื่อต้องการจะมาพูดคุยเรื่องเก่าๆ” หัวอสรพิษยักษ์ทั้งสามแสดงสีหน้าครุ่นคิด เพียงชั่วครู่ หัวกลางก็เอ่ยถามอย่างเย็นชา
“นักพรตซานเฉวียนเป็นคนฉลาด ข้าเดินทางมาในครั้งนี้ แท้จริงแล้วต้องการมาขอความช่วยเหลือ ข้าต้องการให้นายท่านช่วยข้ารับมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากผู้หนึ่ง นอกจากท่านนักพรตแล้ว ข้ายังเชิญเทพปู้เมี่ยแห่งถ้ำปู้เมี่ยมาอีกด้วย” หวงหยวนจื่อถอนหายใจยาวออกมา แค่นเสียงพูดอย่างเย็นชา
“เทพปู้เมี่ย ดาวสังหารท่านนี้ เจ้าก็เชิญมาด้วย ค่าจ้างคงงามมิน้อยไปกว่าที่เสนอให้ข้ากระมัง เป็นผู้ใดกันที่ทำให้ท่านดิ้นรนทุกวิถีทางเช่นนี้” อสรพิษยักษ์สามหัวพลันสลายหายไปในอากาศ ที่ตรงนั้นถูกแทนที่ด้วยนักพรตหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าลายพร้อยด้วยลวดลายงู ม่านตาทั้งสองข้างพลันเปลี่ยนเป็นแนวตั้งราวกับอสรพิษ จ้องมองมาที่หวงหยวนจื่อด้วยสายตามาดร้าย
“ชิงหยวนจื่อ…เจ้าเคยได้ยินนามนี้มาบ้างหรือไม่” มุมปากของหวงหยวนจื่อกระตุก พูดชื่อของใครคนหนึ่งออกมาด้วยความเกลียดชัง
“หาเคยได้ยินมาก่อนไม่ ทว่าเจ้าชื่อหวงหยวนจื่อคนผู้นั้นชื่อชิงหยวนจื่อหรือว่ามันกับเจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกันบ้างกระมัง…หรือว่าจะเป็นระดับมหายานเหมือนกัน!” นักพรตซานเฉวียนได้ยินดังนี้ สีหน้าเครียดเขม็งขึ้นทันใด
“ข้ากับคนผู้นั้นมีความเป็นมาเยี่ยงไร เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ รู้เพียงแค่มันผู้นั้นกับข้าเกลียดชังกันอย่างยิ่ง หลังจากที่ปลิดชีพมันได้ เจ้าจึงจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าจงรับรู้ไว้นะว่า มันผู้นั้นไม่เพียงแต่เป็นมหายานคนหนึ่ง ทว่า…ในระดับมหายานด้วยกัน มันยังค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ รวมถึงข้าด้วย อย่างน้อยในสถานการณ์ตัวต่อตัว ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” หวงหยวนจื่อเอ่ยช้าๆ ด้วยสีหน้าหม่นมัว
“เป็นชายหนุ่มที่น่ารำคาญจริงๆ ในเมื่อชิงหยวนจื่อแข็งแกร่งปานนี้ หากพวกเราร่วมมือกันเอาชนะเขา คงไม่ยาก ทว่าหากต้องการฆ่าเขา เกรงว่า…มิใช่เรื่องง่าย เมื่อเขาสู้พวกเราไม่ได้ เขาคงไม่หนีไปหรอกใช่หรือไม่” นักพรตซานเฉวียนพูดพลางย่นคิ้วเล็กน้อย
“ในเมื่อข้าเสนอสินจ้างที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนี้เพื่อเชิญนักพรตทั้งสองท่านออกจากภูเขา แน่นอนว่าย่อมมีโอกาสชำนะอยู่หลายส่วน มันผู้นั้นกำลังจะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์บทใหญ่ เขาจะผ่านไปได้หรือไม่ข้าไม่รู้ ทว่าอย่างน้อยถือเป็นโอกาสทองที่จะสังหารเขา” หวงหยวนจื่อกล่าวอย่างมั่นใจ