“หึๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีสหายมากมายขนาดนี้ที่มาแย่งชิงสมบัติสวรรค์ทมิฬ ทุกท่านคิดว่าจะสามารถหาธงอีกครึ่งหนึ่งมาได้โดยที่ไม่คิดว่ามันจะนำหายนะไปสู่เผ่าของตนเองน่ะหรือ” จู่ๆ เสียงแหบแห้งของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมแม่นางกู่ถึงร่วมแย่งชิงด้วยเล่า ยอมถอยให้ข้าก็พอแล้ว” เสียงแหลมตอบขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“ให้เจ้า? เผ่าพรายศิลามีปัญญาจะซื้อสมบัติสวรรค์ทมิฬด้วยหรือ ไม่กลัวว่าต้องกินแกลบหรือไง” หญิงสาวเสียงแหบพูดอย่างดูถูก
“เผ่าพรายศิลาคงไม่มีปัญญาเช่นนั้น แต่ไม่ทราบว่าเผ่าแมลงเม่าอยู่ในสายตาของแม่นางกู่หรือไม่ ถึงจะนำของเช่นนี้ไป” เสียงของชายชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากห้องรับรองกลางอากาศ
“เผ่าแมลงเม่า”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสท่านนี้เพียงครึ่งประโยค สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เผ่าแมลงเม่าเป็นหนึ่งในตระกูลยิ่งใหญ่ของแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน แต่พวกเราเผ่าเทียนหมิงก็ไม่ใช่เผ่าเล็กๆ หากเจอของชิ้นอื่น ไม่แน่ว่าข้าอาจจะหลีกทางให้ แต่นี่คือสมบัติสวรรค์ทมิฬ ซึ่งข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว” ผู้หญิงเสียงแหบผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างไร้อารมณ์ขึ้นมา
“ดี ดีมาก เหมือนว่าทุกคนจะไม่ยอมวางมือ เช่นนั้นก็อยู่ที่ใครสามารถเสนอราคาสูงที่สุด เพราะที่นี่คืองานประมูลของกลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียน ผู้แพ้ผู้ชนะวัดกันที่เงิน หากวันนี้ไม่มีใครมาเสนอราคาต่อ เช่นนั้นธงพลิกฟ้าผืนนี้ก็อยู่ในนามของข้าแล้ว” ชายชราหัวเราะหึๆ
“หนึ่งพันห้าร้อยล้านศิลาวิญญาณ”
ในครั้งนี้ผู้หญิงเสียงแหบผู้นั้นเสนอราคาโดยไม่ลังเล จนทำให้ผู้คนตกใจอย่างมาก
“หนึ่งพันห้าร้อยล้าน แม่นางกู่มีศิลาวิญญาณในมือมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ เจ้าคงไม่คิดจะขายสมบัติในมือออกไปด้วยสินะ” ผู้เฒ่าเผ่าแมลงเม่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม
“จะขายสมบัติด้วยแล้วอย่างไร ในตัวข้ามีศิลาวิญญาณไม่มาก แต่มีของวิเศษที่ไม่มีประโยชน์อยู่เยอะ ดีที่สามารถนำมาแลกได้พอดี” เสียงแหบแห้งของหญิงผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะขอร่วมด้วยแล้วกัน หนึ่งพันแปดร้อยล้านศิลาวิญญาณ” ชายเผ่าพรายศิลาเสนอราคาอีกครั้ง
“หนึ่งพันแปดร้อยห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ”
“หนึ่งพันเก้าร้อยล้านศิลาวิญญาณ”
…ราคาสูงขนาดนี้ มหาเมธีคนอื่นๆ ที่สนใจในของชิ้นนี้ก็เริ่มขมวดคิ้วและปิดปากเงียบ
พวกตาแก่ที่เงินหนา แต่ก็ไม่สามารถครอบครองสมบัติทมิฬชิ้นนี้ได้จึงยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ
ในตอนนี้เหลือเพียงมหาเมธีสามคนเท่านั้นที่ยังเสนอราคาอยู่
หูอวี้ซวงที่อยู่บนเวทีก็ยืนยิ้ม และรอคอยผลลัพธ์อย่างเงียบๆ
“ผู้อาวุโสหานท่านไม่ต้องการธงพลิกฟ้าผืนนี้แล้วหรือ” เซวี่ยพั่วถามออกมาอย่างอดไม่ได้
ตั้งแต่เริ่มงานประมูล มีเพียงชิ้นนี้เท่านั้นที่หานลี่ยอมเสนอราคา จึงทำให้สาวทั้งสองคนประหลาดใจอย่างมาก
“แม้ว่าของประมูลชิ้นนี้จะไม่เลว แต่หากต้องซื้อกลับมาในราคาขนาดนั้น ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องดี และยังไม่ใช่สมบัติทมิฬที่สมบูรณ์ หากนำกลับไปก็ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เผ่ามนุษย์ได้ทันที อีกทั้งยังเป็นการดึงดูดความสนใจจากเผ่าใหญ่ๆ พวกเราทั้งเผ่ามารและมนุษย์ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของสมบัติชิ้นนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า” หานลี่ตอบอย่างช้าๆ ไม่มีความกังวลใจในน้ำเสียง
สำหรับเขาแล้ว สมบัติชิ้นนี้จะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้
“ถูกต้อง หากพวกเราเผ่ามนุษย์นำสมบัติชิ้นนี้กลับไป แต่มันก็ใช้ไม่ได้จริง เสียมากกว่าคุ้ม น่าเสียดายจริงๆ ที่ธงผืนนี้ไม่ใช่ธงที่สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นผู้อาวุโสคงเข้าร่วมแย่งชิงด้วย” เซวี่ยพั่วพูดอย่างเสียดายเล็กน้อย
“หึๆ หากเป็นชิ้นสมบูรณ์แล้วล่ะก็ สามารถใช้มันสื่อสารกับจิตวิญญาณบรรพกาลได้ เรียกเขาให้มาปกป้องพวกเราเผ่ามนุษย์ได้ เผ่ามนุษย์ก็สามารถเลื่อนขั้นได้ทันที ไม่ว่าใครก็สามารถฝึกฝนและเลื่อนขั้นได้อย่างวางใจ หากมีข้อดีขนาดนี้แล้วก็ ผู้น้อยแซ่หานอาจจะต้องรับความเสี่ยงบ้าง แต่ก็ไม่เท่าไหร่ ส่วนตอนนี้น่ะหรือ มันไม่คุ้มค่าที่จะทำเช่นนั้น” หานลี่อธิบายไม่กี่ประโยคจากนั้นเขาก็เงียบไป
เซวี่ยพั่วและจูกั่วเอ๋อร์รู้แล้วว่าผู้อาวุโสหานคงไม่ลงสนามแย่งชิงสมบัติสวรรค์ครึ่งชิ้นนี้อีกแล้ว ความตื่นเต้นสนใจในของประมูลชิ้นนี้ก็ลดลงมากเช่นกัน
ในที่สุดผู้อาวุโสเผ่าแมลงเม่าก็ได้สมบัติสวรรค์ทมิฬครึ่งชิ้นนี้ไป โดยราคาอยู่ที่สองพันห้าร้อยล้านศิลาวิญญาณ
“แม้ว่าในใจของมหาเมธีท่านอื่นจะร้อนรนจนทนไม่ไหว แต่ก็ทำได้เพียงยืนมองผู้อาวุโสของกลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนมอบธงพลิกฟ้าไปให้ห้องมหาเมธีเผ่าแมลงเม่าอย่างไม่ยินยอมเท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งจิบชา ผู้อาวุโสของกลุ่มการค้าพันธมิตรก็กลับมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
แม้ว่ามหาเมธีเผ่าแมลงเม่าจะสามารถประมูลธงพลิกฟ้ามาได้ แต่ก็สูญเสียของวิเศษในตัวไปจนเกือบหมด จึงทำได้เพียงถอนตัวจากการประมูลครั้งนี้ไปก่อน
อีกทั้งตอนขากลับคงจะไม่ราบรื่นนัก
ในตอนนั้นเองหญิงสาวที่อยู่บนเวทีก็หยิบถาดสีเงินจากมือของผู้หญิงสวมชุดนางในอีกคนมา สิ่งที่ปรากฏออกมาคือกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือ
เมื่อมีเสียงดัง “แกร๊ก” สายตาของผู้เข้าร่วมงานประมูลทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่กล่องหยกใบนั้น และรอคอยให้ผู้หญิงบนเวทีแนะนำของประมูลชิ้นนั้น
หลังจากหูอวี้ซวงเห็นสีหน้ารอคอยของทุกคน นางก็ยิ้มขึ้นมาเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า
“ตำราหยกพระราชวังทองคำ สมบัติตระกูลเซียน ข้าเชื่อว่ามีสหายจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้จักมัน ของประมูลชิ้นต่อไปคือ หน้ากระดาษแผ่นหนึ่งที่สมบูรณ์ในตำราหยกพระราชวังทองคำ กลุ่มการค้าของเรารับประกันว่า หน้ากระดาษแผ่นนี้เป็นของจริงจากต้นฉบับ เป็นหน้าหนึ่งในสามสิบหกหน้าของตำราหยก ไม่ใช่ของที่คัดลอกขึ้นแน่นอน มันถูกบันทึกวิชาการฝึกโดยตระกูลเซียน มีชื่อเสียงและประโยชน์อย่างมาก เพื่อการรักษาความลับ กลุ่มการค้าพันธมิตรจะไม่เปิดเผยชื่อวิชาออกมา พวกท่านจะซื้อหรือไม่ก็อยู่ที่วิจารณญาณของสหายและผู้อาวุโสแล้ว”
หน้ากระดาษแผ่นนั้นเต็มไปด้วยอักษรรูนสีทอง เมื่อมองมันก็สัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านที่จิตวิญญาณและความรู้สึก
นั่นเป็นอักษรจ้วนทอง อักษรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแดนเซียน
“เป็นหน้ากระดาษในตำราหยกพระราชวังทองคำจริงๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่ากลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียนจะสามารถนำของระดับนี้มาไว้ในมือได้”
“ข้าเคยได้ยินมานานแล้วว่าภายในตำราหยกพระราชวังทองคำคือวิชาลึกลับของตระกูลเซียน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้มาเห็นต้นฉบับของจริงที่นี่”
…ในการประมูลครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่วุ่นวายเท่าการประมูลธงพลิกฟ้า แต่เห็นได้ชัดว่ามีผู้สนใจเยอะกว่า
“แม่นางน้อยหู ที่เจ้าไม่เปิดเผยชื่อวิชาลึกลับที่อยู่ในตำราหยกนั้น มันน่าจะมีข้อจำกัดหรือข้อบกพร่องอะไรสักอย่างสินะ ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่อธิบายคลุมเครือเช่นนี้หรอก” บรรพบุรุษเผ่าเทียนหมิงพูดขึ้นเสียงเรียบ
ด้วยประโยคนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมประมูลที่กำลังทำหน้าดีใจอยู่เงียบลงทันที
“ท่านผู้อาวุโสอย่าแปลกใจเลย ที่ข้าไม่เปิดเผยชื่อของวิชาลับ เพียงเพราะต้องการให้เกียรติผู้ชนะการประมูลเท่านั้น ท้ายที่สุดนี่เป็นเคล็ดวิชาลับจากตระกูลเซียน ผู้ที่ชนะการประมูลและได้ครอบครองมัน คงไม่ได้อยากให้คนจำนวนมากรู้ ส่วนข้อบกพร่องนั้น นอกจากจะใช้เวลาฝึกมากกว่าการฝึกปกติแล้วล่ะก็ ไม่มีข้อจำกัดด้านอื่นเจ้าค่ะ” หูอวี้ซวงตอบโดยไม่ลังเล
“ในนามของกลุ่มการค้าพันธมิตรเฮ่อเหลียน สินค้าไม่น่าจะเป็นของปลอม” หลังมหาเมธีเผ่าเทียนหยวนหัวเราะหึๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากที่คนอื่นถามคำถามไปหลายข้อแล้ว หูอวี้ซวงก็ประกาศราคาเริ่มต้นของสมบัติชิ้นนี้อยู่ที่ หนึ่งร้อยล้านศิลาวิญญาณ
“หนึ่งร้อยห้าสิบล้านศิลาวิญญาณ”
“หนึ่งร้อยเจ็ดสิบล้านศิลาวิญญาณ”
“สองร้อยล้าน”
การประมูลสินค้าในชิ้นนี้ ยังไม่ต้องรอให้มหาเมธีเป็นฝ่ายเริ่มเสนอราคา คนที่อยู่ด้านล่างก็อดที่ร่วมเสนอราคาไม่ได้
“หึ ศิลาวิญญาณเท่านี้ก็จะหวังเอาตำราหยกพระราชวังทองคำไปหรือ เพ้อเจ้อหน่า ข้าเสนอราคาสามร้อยล้าน” มหาเมธีที่อยู่ในห้องรับรองกลางอากาศผู้หนึ่งดึงราคาขึ้นสูงอย่างไม่เกรงใจ
“บังเอิญมาก ข้าน้อยก็สงสัยตำราหยกพระราชวังทองคำอยู่เช่นกัน หกร้อยล้าน หากมีคนเสนอราคาสูงกว่านี้ก็เอาไปเลย แต่ว่าข้าน้อยอยากจะเตือนสหายทุกท่านก่อน ในเมื่อแม่นางน้อยหูบอกว่าการฝึกของวิชานี้จะใช้เวลานาน และไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่และเป็นวิชาแบบใด ลองคำนวณดูว่าคุ้มกับการเสียศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลของพวกท่านหรือไม่” มหาเมธีเผ่าศิลาวิญญาณผู้นั้นดึงราคาขึ้นสูง และกล่าวด้วยเสียงเรียบ
ตอนนั้นเองผู้อาวุโสมหาเมธีท่านอื่นๆ ก็เริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมา
ด้วยราคาขนาดนี้และไม่รู้ว่าจะฝึกสำเร็จหรือไม่ ก็ถือเป็นราคาที่สูงอย่างมาก
ในเมื่อแม่นางหูยังพูดว่าเป็นวิชาลับที่ใช้เวลาฝึกนาน แล้วพวกเขาจะทำได้หรือไม่
“ในเมื่อท่านพูดกันเช่นนั้นแล้ว งั้นข้าน้อยขอเสนอราคา หกร้อยสิบล้านศิลาวิญญาณ” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งก็เสนอราคาขึ้นมา
นั่นคือเสียงของหานลี่นั่นเอง
เซวี่ยพั่วและจูกั่วเอ๋อร์ที่เห็นดังนั้น ก็มองหน้ากันองอย่างแปลกใจ
“หึ ในเมื่อสหายท่านนี้ยินดีที่จะจ่ายเงินขนาดนี้ ข้าเองก็จะไม่ผิดสัญญา จะยอมหลีกทางให้ท่าน” เห็นได้ชุดว่ามหาเมธีเผ่าพรายศิลาผู้นี้ไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมถอนตัวจากการประมูล
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ขอขอบคุณสหายมากที่ยอมหลีกทางให้” หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ แต่พูดตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“เอาล่ะเจ้าค่ะ สหายท่านนั้นเสนอราคาอยู่ที่หกร้อยสิบล้านศิลาวิญญาณ ข้าน้อยจะนับหนึ่งถึงสาม หากไม่มีผู้ใด เสนอราคาอีก ของชิ้นนี้จะตกเป็นของท่านอาวุโสผู้นั้นแล้ว หนึ่ง…” หูอวี้ซวงยิ้มแย้มออกมา
แม้ว่าตำราหยกพระราชวังทองคำจะเป็นของหายาก แต่เดิมทีคิดว่าราคาขายได้ที่ขายได้มากสุดอยู่ที่สามร้อยล้านหรือสี่ร้อยล้านศิลาวิญญาณเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมากกว่าหนึ่งเท่า นางย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว
ในครั้งนี้กลับไม่มีใครมาแย่งชิงกับหานลี่เลยแม้แต่คนเดียว ทำให้ผู้อาวุโสของกลุ่มการค้าพันธมิตรนำตำราหยกพระราชวังทองคำมาส่งให้หานลี่ด้วยตนเอง
หลังจากหานลี่จ่ายศิลาวิญญาณเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เปิดดูตำราหยกพระราชวังทองคำแผ่นนั้นเลย แต่กลับเก็บเข้าไปในสร้อยข้อมือมิติทันที จากนั้นก็รอดูการประมูลชิ้นสุดท้ายด้วยความเงียบสงบ
หากว่ากันตามแผนการแล้ว ของประมูลชิ้นสุดท้ายน่าจะเป็นของที่มีค่าและราคาแพงที่สุด
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มหาเมธีหลายคนยอมแพ้การประมูลตำราหยกพระราชวังทองคำกับหานลี่
ไม่มีใครอยากปล่อยมือจากการประมูลของชิ้นสุดท้ายเพียงเพราะมีศิลาวิญญาณไม่พอ จึงทิ้งโอกาสประมูลครั้งนี้ และลุ้นเอาในครั้งหน้า
ตอนนั้นเอง หลังจากหญิงสาวที่อยู่กลางเวทีสูดลมหายใจเข้าลืกๆ นางก็เดินไปอยู่ที่ด้านหน้าของสตรีสวมชุดนางในคนสุดท้าย และเลื่อนม่านแสงสีเงินที่ปิดอยู่อย่างช้าๆ