“ในที่สุดก็ออกมาได้เสียที แต่ว่าที่นี้ยังเหมือนว่าจะอยู่ในเทือกเขาวั่นเย่ว์อยู่อีก” หานลี่ที่เพิ่งจะเดินออกมาจากเขตอาคมลำแสงนั้น เมื่อมองไปรอบทิศแล้ว ก็เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย
“พี่หาน ในตอนที่ข้าร่ายคาถาควบคุมการส่งตัวนั้น ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่แล้วที่จะนำพวกเราส่งไปยังสถานที่ไกลที่สุด และต่อให้จะเป็นภายในเทือกเขาวั่นเย่ว์อยู่ก็ตาม คิดว่าก็คงจะอยู่สุดขอบเขตแล้ว” ปิงพั่วเองก็มองไปทั่วรอบทิศ ใบหน้านั้นไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย
ผู้ใดก็ตามที่ถูกกักขังเอาไว้มาเนิ่นนานหลายปี ในที่สุดก็ได้มีวันที่เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง ในใจก็เกรงว่าคงจะเกิดอาการกระสับกระส่ายผิดปกติเช่นนี้ด้วยกันทั้งนั้น
“เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ต่อให้คนอื่นจะพบความผิดปกติเข้า คาดว่าก็คงจะไม่ทันกาลเสียแล้ว ข้าจะเรียกพวกจูกั่วเอ๋อร์ออกมาแล้ว นักพรตปิงพั่วต่อไปมีแผนการเช่นไร หรือว่าจะเตรียมตัวกลับไปยังเผ่าในทันที?” หานลี่พยักหน้าออกมา แล้วเอ่ยถามไปยังหญิงสาว
“น้องสาวเพิ่งสำเร็จในการก้าวขึ้นสู่มหายาน จำต้องรวบรวมฝึกปรือการแปลงกายสมบัติล้ำค่าที่เพิ่งจะได้มาใหม่อีก ดังนั้นข้าเตรียมที่จะหาสถานที่ลับๆ ใกล้ๆ นี้ ตั้งใจฝึกฝนสักสองสามปีแล้วค่อยกลับไปยังเผ่า” ปิงพั่วเอ่ยตอบกลับไปโดยที่ไม่ต้องครุ่นคิด ราวกับว่าคำถามนี้ได้มีการคิดมาไว้ก่อนแล้ว
“นักพรตคิดเช่นนี้ก็ดี แต่ว่าในเมื่อเซียวหมิงรู้แล้วว่าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของอรหันต์เทียนติ่งแล้ว คาดว่าเรื่องนี้คงจะแพร่สะพัดออกไปโดยเร็ว นักพรตปิงพั่วคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้” หานลี่พยักหน้าค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่าย เพียงแต่เอ่ยเตือนออกมาประโยคหนึ่ง
“พี่หานวางใจได้ น้องสาวอย่างไรเสียก็เป็นถึงมหายานผู้หนึ่ง ต่อให้ต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ขอเพียงแค่ร่างกายไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขัน อย่างไรแล้วก็มีพลังปกป้องตนเองได้อย่างแน่นอน ปิงพั่วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นักพรตปิงพั่วมั่นใจเช่นนี้ แน่นอนว่าดีที่สุดแล้ว ผู้แซ่หานยังคงอยู่ต่อในแดนนภาสีเลือดอีกสักระยะหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะไปยังแผ่นดินใหญ่อัสนีสักรอบหนึ่ง เจ้าและข้าคงต้องใช้เวลาอีกนานถึงจะได้พบกันอีก นักพรตเองก็รักษาตัวด้วย!” หลังจากที่หานลี่ยิ้มออกมาแล้ว ก็ประสานมือคำนับให้กับหญิงสาวคนนี้
ปิงพั่วรีบร้อนคำนับกลับ หลังจากที่เอ่ยคำดูแลตนเองออกมาไม่กี่ประโยค ในที่สุดก็กล่าวคำอำลาออกมาอย่างเป็นทางการ แล้วแปลงกายเป็นผลึกลำแสงทะลุกลางอากาศจากไป
หานลี่รอจนลำแสงของหญิงสาวคนนี้หายไปจนสุดขอบฟ้า จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปยังกลางอากาศนั้น แผ่นยันต์สีเงินจางๆ สว่างวาบขึ้นแล้วปรากฏขึ้นในมือของเขา นิ้วมือจับเอาไว้แล้วสะบัดไปตามสายลม ชั่วขณะนั้นแผ่นยันต์ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีฟ้าหายไปกลางอากาศในทันที
หลังจากนั้น หานลี่ก็กลายเป็นลำแสงแล้วหายลงไปยังเนินเขาด้านล่าง จากนั้นก็หลับตานั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้สูงตระหง่าน นั่งรอการมาถึงของจูกั่วเอ๋อร์และคนอื่นๆ
หลังจากผ่านไปนานครึ่งวัน ลำแสงวิญญาณสว่างวาบอยู่ตรงขอบฟ้า รถเหาะสามเหลี่ยมก็บินโฉบเข้ามา บนนั้นมีหนึ่งชายหนึ่งหญิงสองคนยืนอยู่
นั่นก็คือจูกั่วเอ๋อร์และบรรพชนฮวาสือนั่นเอง
หลังจากที่หานลี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนจากใต้ต้นไม้
หลังจากนั้นไม่นาน ข่าวของการต่อสู้ภายในเทือกเขาวั่นเย่ว์ก็ลือกันออกมา หุ่นเชิดที่แปลงกายมาจากนักพรตเซวี่ยเหอนั้นทั้งหมดถูกทำลายลงไปจนหมด ส่วนผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาเทพโลหิตวิชาลับนี้เองก็มีข่าวว่าถูกสังหารไปเช่นกัน
ส่วนเทียนจิวและตีเมิ่งมหายานทั้งสองนั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ในครั้งนี้ แม้กระทั่งลูกศิษย์ที่นำไปด้วยนั้นก็มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่ได้กลับมา
และปรมาจารย์เขตอาคมที่มีชื่อเสียงในแดนนภาสีเลือดท่านนั้น “ชายที่มีนามว่าเฝิง” ก็จบชีวิตลงในการต่อสู้ครั้งนี้เช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน มรดกที่สืบทอดมาจากอรหันต์เทียนติ่งก็มีข่าวลือมาว่าเป็นมหายานหญิงจากแผ่นดินอื่นที่ได้รับไป และเมื่อมีข่าวกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่แล้ว ก็ดึงดูดให้คนที่มีใจไม่น้อยก่อความวุ่นวายขึ้น
แต่ว่าที่น่าแปลกนั้น ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับหานลี่นั้นกลับไม่มีแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนผู้นี้ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นยังเทือกเขาวั่นเย่ว์อย่างไรอย่างนั้น
…
หลังจากนั้นหนึ่งปีครึ่ง ที่แห่งหนึ่งกลางอากาศเหนือหุบเขาลึกลับในเทือกเขาฉีอวิ๋น มหายานทั้งสองของแดนนภาสีเลือดที่แต่งกายต่างกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธมองไปยังชายหนุ่มผอมบางผิวขาวใสที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีดำ ดวงตาทั้งสองเรียวยาว ทำให้ผู้อื่นมีความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอย่างแปลกประหลาด
แต่ที่ทำให้ผู้อื่นสะพรึงกลัวนั้นก็คือ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาจับศีรษะที่มวยผมกระจัดกระจายกันออกไป ใต้ฝ่าเท้านั้นมีแม่น้ำโลหิตที่ไหลจนไม่อาจมองเห็นปลายน้ำได้
ศีรษะและใบหน้านั้นดูสง่างาม แต่ว่าซีดขาวจนผิดปกติ ใบหน้านั้นยังคงมีสีหน้าไม่อยากเชื่อของตอนที่ถูกตัดศีรษะลงมาอยู่
ส่วนแม่น้ำโลหิตนั้นกว้างกว่าสามสิบสี่สิบจั้ง น้ำในแม่น้ำนั้นดูเหมือนจะข้นหนืด แต่กลับไม่มีกลิ่นเลือดออกมาเลย กลับกันกลับมีกลิ่มหอมของไม้จันทร์ลอยออกมา ทำให้คนที่ได้สูดดมเข้าไปแล้ว ไม่มีสติเป็นตัวของตัวเอง
พื้นที่ใกล้ๆ กับเท้าของชายชุดดำนั้น ชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ดูเหมือนว่าจะเป็นของศพๆ เดียวกันนั้นลอยออกมาอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มชุดดำก้าวลงไปแม่น้ำนั้นเพียงแค่ครึ่งน่องเปล่าเปลือย ร่างกายยืนสงบนิ่งราวกับว่ายืนอยู่บนพื้นดิน แล้วใช้สายตาที่ดูเย้ยหยันมองไปยังมหายานระดับสูงทั้งสองของแดนวิญญาณ
“เจ้าทำอะไรกับพวกข้า พลังยุทธ์ถึงได้จู่ๆ ก็ลดลงเกือบครึ่ง ไม่เช่นนั้นเยียนอวี่เจินเหรินไม่มีทางถูกฆ่าทิ้งเช่นนี้แน่ เจ้ารู้หรือไม่ เยียนอวี่เจินเหรินเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของกลุ่มพันธมิตรการค้า กลุ่มพันธมิตรการค้าเป็นขุมพลังหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแดนวิญญาณ เจ้าฆ่าสมาชิกหลักของกลุ่มพันธมิตร ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่ว่าภายหน้าในแดนวิญญาณก็ยากที่จะมีที่ยืนสำหรับเจ้าแล้ว” หนึ่งในมหายานทั้งสองที่มีร่างกายใหญ่กำยำผิดปกติในชุดเกราะสีม่วง และในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะเอาชนะความกลัวในใจได้แล้ว จู่ๆ ก็ส่งเสียงตะโกนออกไปหาชายหนุ่มชุดดำในทันที
“กลุ่มพันธมิตรการค้าคืออะไรกัน หากว่าผู้ที่รนหาที่ตายมาหาถึงหน้าประตูแล้ว แน่นอนว่าข้าย่อมส่งพวกเขาไปตามทาง ให้พวกเขาและพวกเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโลหิต ส่วนพลังยุทธ์ของพวกเจ้าที่ถูกควบคุมเอาไว้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า แต่เป็นเพราะผนึกเลือดหมื่นวิญญาณที่เพิ่งจะได้รับการสังเวยโลหิตไปเมื่อครู่ แต่ว่าลมหายใจของมันยังคงไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ พวกเจ้าถูกผนึกเอาไว้เพียงแต่ว่ายังไม่รู้ตัวเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดดำส่งเสียงหัวเราะเฮ่อเฮ่อออกมา จากนั้นก็เอ่ยออกมาเสียงเบา
“พูดจาเหลวไหล สมบัติล้ำค่าอะไรกันที่ใช้เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็สามารถผนึกพวกข้าเอาไว้ได้ และต่อให้เป็นสมบัติวิญญาณของแดนสวรรค์ทมิฬเองก็ยังไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” ชายร่างใหญ่กำยำส่งเสียงตะโกนออกมา ท่าทางเหมือนกับว่าไม่มีทางเชื่อได้
“กบที่อยู่แต่เพียงแค่ก้นบ่อจะไปรู้อะไรได้! สมบัติวิญญาณของแดนสวรรค์ทมิฬถึงแม้ว่าจะร้ายกาจหาที่เปรียบได้ แต่ว่าก็ต้องดูว่าเป็นสมบัติวิญญาณของแดนสวรรค์ทมิฬนั้นมาจากที่ใดกัน เช่นสมบัติวิญญาณจากแดนสวรรค์ทมิฬของแดนเล็กๆ เช่นพวกเจ้า จะไปมีพลังมากไปได้อย่างไรกัน สมบัติวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวของแดนสวรรค์ทมิฬจากดินแดนใหญ่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่มดแบบพวกเจ้าจะจินตนาการได้” ชายหนุ่มชุดดำหาวออกมา เอ่ยออกมาโดยที่ไม่ปิดบังความดูถูกของตนเลยแม้แต่น้อย
“น้ำเสียงของท่านฟังดูช่างใหญ่โตเสียจริง ข้าเองไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงเรื่องดินแดนใหญ่อะไรกัน และก็ไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยออกมาแดนวิญญาณเป็นเพียงแค่ดินแดนเล็กๆ ท่านเองดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนของแดนวิญญาณ แต่ว่าเป็นผู้ที่มาจากดินแดนอื่น และต่อให้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดว่าอาศัยเพียงแค่คนๆ เดียว ก็สามารถแข่งกับพลังของทั้งดินแดนได้อย่างนั้นหรือ มาทำป่าเถื่อนในแดนวิญญาณของพวกเรา สังหารผู้ยิ่งใหญ่เพื่อนำเลือดมาใช้บูชา” ชายร่างใหญ่ที่แต่เดิมนั้นตกตะลึง แต่ก็คิดขึ้นมาได้ทันที เอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้ากรุ่นโกรธอีกครั้ง
“หากว่าจะกำจัดสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งดินแดนแล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าดินแดนนี้มีเพียงมหายานที่อยู่ในระดับนี้แค่สามคนแล้ว เพียงแค่ใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย สังหารทิ้งไปทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร” ชายหนุ่มชุดดำเมื่อได้ยินชายร่างใหญ่ตะโกนถามแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็เอ่ยตอบกลับมาอย่างจริงจัง
คำพูดนี้แน่นอนว่าทำให้สีหน้าของชายร่างใหญ่กำยำยิ่งดูไม่ได้ผิดปกติ
ในเวลานี้ มหายานอีกท่านหนึ่งที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยด้านข้างนั้น ทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยลวดลายงู รูม่านตาเรียวยาวทั้งสองของชายชรา จู่ๆ ก็กลิ้งไปมา จากนั้นก็กลายเป็นงูสีเขียวขนาดยักษ์ด้านหลังมีสี่ปีก
งูยักษ์สี่ปีกตัวนี้ขยับปีกอย่างแรง จากนั้นก็กลายเป็นเส้นไหมสีเขียวพุ่งออกมา
มันเพียงแค่ชั่วกะพริบตา ก็เคลื่อนออกไปไกลนับพันจั้ง และเมื่อกะพริบตาอีกครั้ง ก็เหมือนว่าจะกระโดดหนีหายออกไปเลย
“เจ้าโง่ ภายใต้อำนาจของผนึกเลือดหมื่นวิญญาณของข้า แล้วจะปล่อยให้มหายานผู้หนึ่งหลบหนีไปได้อย่างไรกัน ตาม!” ชายหนุ่มชุดดำกวาดตามองไปยังทิศทางที่งูนั้นหลบหนีไป ปากก็ส่งเสียง “ตาม” ออกมา
และทันใดนั้น งูสีเขียวตัวนั้นที่บินอยู่เหนืออากาศจู่ๆ ก็เกิดลำแสงสีโลหิตขึ้นมา ตราประทับภูตขนาดเท่ากับเนินเขาเกิดเสียง “ดังปึงปัง” ออกมา และดูเหมือนว่าจะตกลงมาช้าๆ
งูบินสี่ปีกนั้นทันใดก็ปรากฏด้านข้างของผนึกภูติขนาดใหญ่นี้ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อมันสั่นไหวขึ้น ก็หยุดลงอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว จากนั้นก็มองเห็นผนึกภูตขนาดใหญ่ส่งเสียงคำรามออกมากข่มร่างกาย
งูบินนั้นภายใต้พลังของผนึกนั้น ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาในทันที
ร่างของงูบินนั้นรวมถึงปราณก่อกำเนิดของชายชราเองก็กลายเป็นลำแสงวิญญาณแล้วดับสลายไป
หลังจากที่รอยเปื้อนของลำแสงโลหิตที่อยู่บนผนึกนั้นกลิ้งตัวลงมาแล้ว ลำแสงวิญญาณทั้งหมดนี้ก็ถูกดูดกลืนจากอากาศเข้าไปสู่ผนึกภูติ
ผนึกนั้นที่แต่เดิมดูพร่ามัว หลังจากที่ลำแสงโลหิตสีแดงสว่างวาบขึ้นตรงพื้นผิวแล้ว แล้วค่อยๆ ชัดเจนมั่นคงอยู่หลายส่วน
แต่ว่าในนาทีถัดมา เสียงดังหึ่งๆ ก็เกิดขึ้น ผนึกภูติก็เป็นประกายแล้วหายเข้าในอากาศจนมองไม่เห็น
และเมื่อได้เห็นสหายผู้ที่มีพลังยุทธ์ใกล้เคียงถูกฆ่าตายลงในทันที ชายร่างใหญ่กำยำถึงแม้ว่าจะพบกับลมพายุฝนมานับไม่ถ้วนแล้ว ในใจยังคงแน่วแน่มั่นคงอยู่เสมอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสิ้นหวังปรากฏออกมา
ฝ่ายตรงข้ามเดิมนั้นมีพลังแข็งแกร่งไม่อาจหยั่งรู้ได้ ตอนนี้พลังยุทธ์ของตนยังมาถูกผนึกเอาไว้มากถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่มีเหตุให้ต้องรอคอยความตาย จะต้องต่อสู้อย่างสุดความสามารถเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว
และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำยังไม่ได้ละสายตาออกไปจากที่ไกลๆ ชายร่างใหญ่กำยำก็ส่งเสียงคำรามออกมาในทันที ลำแสงสีฟ้าด้านหลังสว่างวาบขึ้น จู่ๆ ร่างพราหมณ์ขนาดใหญ่ของหัวมังกรร่างม้าก็ปรากฏออกมา
ร่างพราหมณ์นี้เมื่อปรากฏออกมา หัวมังกรก็อ้าปากกว้างขึ้น ฟ้าร้องคำรามออกมา ลูกบอลอัสนีสีฟ้านับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากปากนั้น
ในเวลาเดียวกัน แขนเสื้อทั้งสองของชายร่างใหญ่กำยำมีสมบัติล้ำค่าต่างๆ มากกว่าสิบชิ้นลอยออกมาจากในนั้น ในขณะที่ลอยออกไปนั้นขณะเดียวก็เกิดระเบิดออกมา
ชั่วขณะนั้นลูกบอลลำแสงขนาดใหญ่ราวกับแสงตะวันแผดเผา พุ่งตรงไปยังชายหนุ่มชุดดำอย่างบ้าคลั่ง เฉียบขาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ส่วนชายร่างใหญ่กำยำนั้นร่างกายกลับบิดเบี้ยวไป เนื้อกายระเบิดออกกลายเป็นหมอกโลหิต พุ่งตรงไปยังปราณก่อกำเนิดที่หลบซ่อนอยู่ข้างในนั้น
ปราณก่อกำเนิดนี้ทำเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หมอกโลหิตที่อยู่รอบนั้นเพียงแค่ชั่วครู่ก็ถูกดูดเข้าด้านใน
หลังจากที่ลำแสงโลหิตเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง ปราณก่อกำเนิดของชายร่างใหญ่กำยำหายเข้าไปในอากาศราวกับว่าโปร่งใส
เมื่อเผชิญหน้ากับลูกบอลอัสนีที่หนาแน่นและสมบัติล้ำค่าต่างๆ มากกว่าสิบที่กลายเป็นแสงตะวันแผดเผาอันน่าสะพรึงกลัว หลังจากที่ชายหนุ่มชุดดำยิ้มออกมาอย่างมืดมนแล้ว ความตั้งใจจะหลบเลี่ยงแม้เพียงนิดก็ไม่มี กลับกันมือข้างหนึ่งด้านหลังกายของเขากลับค่อยๆ ยื่นออกมาด้านหน้า