“ปึงปัง” ดังขึ้น
แถบลำแสงสีม่วงทองมากมายปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของวานรปีศาจยักษ์ ปราณสวรรค์และโลกที่เพิ่งจะถูกซึมซับไปทันใดนั้นพุ่งเข้าสู่ดาบยักษ์ในมือราวกับกระแสน้ำไหล
เพียงพริบตาอักษรรูนสีเงินสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้นบนดาบยักษ์ แสงดาบสีเขียวร้อยกว่าจั้งก็ม้วนตัวออกมาจากด้านบนนั้น และหลังจากที่พร่ามัวลงแล้ว ก็กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวหายออกไปจากกลางอากาศจนไม่เห็นแม้แต่เงา
“สมบัติล้ำค่าของแดนสวรรค์ทมิฬ เป็นของจากแดนสวรรค์ทมิฬ” ราชาซยงซือที่แปลงกายเป็นร่างยักษ์สัมผัสได้ถึงอาคมที่แผ่กระจายออกมาจากดาบเล่มยักษ์สีเขียวเข้มนั้น ก็ตื่นตะลึงขึ้นมาเสียยกใหญ่ สองมือรีบร้อนบริกรรมเคล็ดวิชาลับอะไรสักอย่างเพื่อที่จะหลบหนีไป
แต่ว่ามาแจ่มแจ้งเอาในตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
วินาทีถัดมา กลางอากาศสูงเหนือราชาซยงซือที่แปลงเป็นกายยักษ์เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้น พระจันทร์เสี้ยวสีเขียวปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงเมฆนับสิบ พลังคาถาอันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงขีดสุดถูกครอบคลุมลงไป
ราชาซยงซือรู้สึกขึ้นมาได้ในทันทีว่ารอบทิศนั้นอัดแน่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแขนขาหรือว่ากายของเขาต่างก็พากันเย็นเยียบราวกับว่าถูกพลังจากอาคมคุมขังเอาไว้ ร่างกายของเขาราวกับว่าถูกภูเขาน้ำแข็งกดข่มเอาไว้ ไม่ว่าจะต่อสู้ดิ้นรนเพียงไรก็ไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้แม้แต่เพียงน้อย
ความร้ายกาจของพลังดาบวิญญาณสวรรค์ทมิฬถูกปลุกขึ้นมา เกินกว่าที่ราชาซยงซือจะคาดคิดได้
พลังอาคมของสมบัติล้ำค่าจากแดนสวรรค์ทมิฬที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้นั้น ไม่อาจที่จะนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ได้เลย
“ไม่ การต่อสู้ในครั้งนี้ข้ายอมแพ้แล้ว เขตต้องห้ามจะหายไป” ราชาซยงซือที่แปลงเป็นกายยักษ์นั้นในที่สุดก็เผยท่าทีตื่นตระหนกออกมา หลังจากที่ส่งเสียงร้องตะโกนยอมแพ้ออกมาแล้ว ม่านลำแสงที่แต่เดิมครอบคลุมไปทั่วทั้งภูเขาอยู่สองชั้นก็สลายลงไปในทันที
แต่ว่าพระจันทร์เสี้ยวสีเขียวนั้นกลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยังคงส่องประกายเมฆลำแสงออกมากดข่มอย่างต่อเนื่อง
“พลังภูตนับพัน ระเบิดออก!” หลังจากที่ลองใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างติดต่อกันแล้ว ราชาซยงซือก็ไม่อาจที่หลบหนีออกมาจากอาคมนั้นได้ ในที่สุดก็เกิดเป็นความตื่นตระหนกร้อนรนขึ้นมา
ทันใดนั้น ใบหน้าภูตนับพันบนกายเขาก็กลายเป็นสีแดงสดไหลหยดลงมา ตามมาด้วยเสียงร้องดังคำรามแล้วพากันระเบิดออกมาในพริบตาเดียว
หมอกโลหิตม้วนตัวแผ่กระจายออกมาจากทั่วทุกสารทิศในทันที แล้วทำลายพลังของอาคมนั้นเอาไว้กว่าครึ่ง
ราชาซยงซือที่แปลงกายเป็นกายยักษ์ในตอนที่หมอกโลหิตพ่นออกมานั้น ร่างกายก็หดเล็กลงเป็นขนาดใหญ่เท่ากับคนปกติในทันที หลังจากที่เสียง “สวบ” ดังออกมาแล้ว ก็หลุดจากอาคมแล้วทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
วานรยักษ์ที่อยู่ไกลๆ นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์นี้เข้า พ่นจมูกออกมาอย่างเย็นชา ดาบยักษ์สีเขียวเข้มในมือสั่นไหวขึ้นแล้วฟาดไปยังด้านหน้าราวกับสายฟ้าฟาด
ดูเหมือนว่าฟันลงไปเพียงธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ครึ่งแรกของดาบยักษ์เมื่อฟันลงไปแล้วกลับพร่าเลือนหายไป
ในเวลาเดียวกัน เปลวเพลิงโลหิตที่เพิ่งจะออกมาจากพระจันทร์เสี้ยวสีเขียวที่เพิ่งจะเปล่งประกายพาดผ่านราชาซยงสือไปนั้น จู่ๆ ลำแสงสีเขียวก็เกิดปะทุพร่างพราวขึ้นกลางอากาศด้านข้าง ดาบเล่มยักษ์ที่โปร่งแสงอยู่ครึ่งนั้นหายวับไปในพริบตา เฉือนผ่านไปยังช่วงเอวของราชาซยงซือ ตัดขาดจนกลายเป็นสองท่อน
เปลวเพลิงโลหิตที่ป้องกันร่างกายของราชาซยงซือนั้นไม่มีผลต่อการเฉือนของดาบยักษ์ครึ่งนั้นแม้แต่เพียงนิด
ราชาซยงซือส่งเสียงกรีดร้อง แต่ว่าไม่ได้รู้สึกถึงความสูญเสียเข้าจริงๆ กลับกันใช้มือข้างหนึ่งบริกรรมคาถาออกมาโดยที่ไม่ต้องครุ่นคิด ครึ่งล่างของกายได้กลายเป็นหมอกโลหิตแล้วระเบิดออกทันที
ส่วนครึ่งบนของร่างกายหลังจากที่ถูกห่อหุ้มด้วยหมอกโลหิตนี้แล้ว ก็ส่งเสียงดังปึงปังแล้วหายวาบไปจากตำแหน่งเดิมจนมองไม่เห็น
หานลี่เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว ใบหน้าของวานรยักษ์ที่เขาแปลงกายมานั้นก็เผยความเย้ยหยันออกมา นิ้วมือข้างหนึ่งก็ชี้ออกไปตรงกลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น
พระจันทร์เสี้ยวสีเขียวหลังจากที่หมุนวนไปมาแล้ว ก็ระเบิดออกเช่นกัน
เสียง “ซี่ซี่” ดังออกมา ลำเสียงสีเขียวเข้มทะลุผ่านไปยังทิศทางที่หมอกโลหิตหายไปในทันที และหลังจากนั้นไม่นานก็หายเข้าไปกลางอากาศอย่างแปลกประหลาด
อากาศว่างเปล่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นก็เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา ราชาซยงซือส่งเสียงร้องครวญคราง กายอีกครึ่งหนึ่งก็ปรากฏออกมาอีกครั้งราวกับเป็นเศษผ้า
แต่ว่า ตรงผิวกายของเขานั้นได้เต็มด้วยรูมากมายนับไม่ถ้วน กายครึ่งหนึ่งก็เหมือนว่าเกือบจะหายไปแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ราชาซยงซือก็ยังไม่ดับสลายตายไป กลับกันก็ไม่ลังเลที่นำเอาสมบัติล้ำค่าพลังหยินมากมายออกมาจากร่างกายที่แตกหักนั้น ออกมาปกป้องร่างกาย แล้วหันหลังพุ่งตรงไปยังอีกเขาอีกลูกหนึ่ง
แต่เมื่อหานลี่นำดาบวิญญาณของแดนสวรรค์ทมิฬออกมาใช้แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้หนีหายไป
ราชาซยงซือที่อยู่ภายใต้สมบัติล้ำค่าป้องกันร่างกาย ก็พุ่งออกไปไกลนับพันจั้งราวกับว่ากำลังควบม้า กลางอากาศด้านหน้าเกิดลำแสงสีทองส่องประกายออกมา วานรปีศาจยักษ์สูงนับร้อยจั้งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ แขนข้างหนึ่งเพียงแค่ขยับออกมา ฝ่ามือใหญ่ยักษ์สีทองก็ตบลงมาบนหัว
เสียงดังลั่นสะเทือนเขาดังขึ้น
ราชาซยงซือที่ปล่อยสมบัติล้ำค่าป้องกันหลายอย่างรวมถึงกายไม่สมบูรณ์ถึงกับถูกฝ่ามือยักษ์โจมตีจนแตกสลายได้อย่างง่ายดาย
“สวบ สวบ”! ดังขึ้นสองเสียง ไอพลังสีดำสองกลุ่มทะลุผ่านออกมาจากกายเนื้อโลหิตพร่ามัว หลบหนีกันออกไปคนละทิศละทางกันอย่างสิ้นหวัง
วานรยักษ์ขมวดคิ้วขึ้น นิ้วมือข้างหนึ่งวาดลงไปยังหนึ่งในกลุ่มไอพลังสีดำ
ดาบลำแสงสีฟ้าก็ปรากฏออกมาในทันที แล้วตัดเอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นขาดเป็นสองท่อน ซึ่งก็คือสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ลิงตัวนั้น
ตามมาด้วยดาบลำแสงสีฟ้าส่งเสียงคำรามดังออกมา ประจุสายฟ้าสีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากในนั้น เพียงแค่พริบตาเดียวก็ทำให้สัตว์ประหลาดผอมบางกลายเป็นเถ้าถ่านไป
เมื่อไม่มีพลังยุทธ์จากราชาซยงซือคอยสนับสนุน สิ่งที่เรียกว่า “ปราณวิญญาณที่สอง” ก็ดูจะเปราะบางอย่างไม่คาดคิด ไม่อาจถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้อีก
กลุ่มไอพลังสีดำอีกกลุ่มหนึ่งกำลังอาศัยโอกาสนี้หลบหนีไปนั้น กลางอากาศทั้งสองด้านก็เกิดผลึกลำแสงขึ้น เสียงร้องครวญครางดังออกมาจากไอพลังสีดำ แล้วปรากฏเป็นสัตว์ประหลาดหัววัวกายเป็นงูออกมาจากในนั้น
แต่ว่าเพิ่งจะออกมาได้ไกลเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ร่างกายของสัตว์ประหลาดตนนี้ก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ไอพลังสีดำนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากในนั้น อีกทั้งยังส่งเสียงร้องครวญครางของภูตผีออกมา
ในเวลานี้นี่เอง ลำแสงสีทองสว่างวาบขึ้นเหนือไอพลังสีดำ คนตัวเล็กกายสีทองปรากฏออกมาชั่วพริบตาเดียว สองมือยกขึ้นมา พลังดาบที่ไม่อาจมองเห็นได้ทั่วท้องฟ้าก็ม้วนตัวกลับลงมา ชั่วเวลาเพียงแค่หายใจเข้าออก ก็กวาดเอาไอพลังภูตออกไปจนหมดจด
เมื่อถึงตอนนี้ ราชาซยงซือหนึ่งในราชายมโลกทั้งสิบ ก็นับว่าตายตกไปท่ามกลางการต่อสู้ครั้งนี้จริงๆ แล้ว
…
ในเวลาเดียวกันนี้ ท่ามกลางอีกดินแดนหนึ่ง ใต้พื้นดินลึกแห่งหนึ่งในท้องพระโรงอันมืดมิด หนึ่งในสิบของโรงศพศิลาฟ้าที่วางเคียงข้างกัน จู่ๆ ฝาโลงก็เปิดออกมา ร่างเงาดำมืดก็ลุกขึ้นยืนในทันที ส่งเสียงกรุ่นโกรธออกมา
“ใครกัน ถึงกับกล้าฆ่าทำลายกายเดิมของข้า อย่าให้ข้าได้พบกับเจ้าอีกก็แล้วกัน ไม่งั้นรอจนข้าสร้างกายเนื้อขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้งแล้ว จะต้องถลกหนังเจ้าออกมาแน่ แล้วฝังกลบเอาไว้ภายใต้เมืองสมุทรภูตชั่วนิรันดร์”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมาจนจบแล้ว ร่างเงาสีดำก็ลอยออกมาจากโรงศพศิลาฟ้าในทันที แล้วบินไปทางประตูท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว
…
ส่วนหานลี่ที่กลับมามีขนาดเท่ากันกับคนปกติแล้วนั้น ในมือถือลูกปัดกลมสีแดงโลหิตขนาดเท่ากับกำปั้นเอาไว้ มีชั้นไอพลังงานสีดำพัวพันอยู่บนพื้นผิว และดูเหมือนว่าจะมีจุดสีดำหนาแน่นปกคลุมอยู่ในนั้น
ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปแล้วเป็นเพียงแค่จุดสีดำธรรมดาเท่านั้น แต่ว่าเมื่อใช้เนตรวิญญาณขยายให้ใหญ่ขึ้นร้อยเท่าแล้วมองดูอีกครั้ง กลับคือใบหน้าภูตบิดเบี้ยวนับไม่ถ้วน
“น่าสนใจแล้วสิ ของสิ่งนี้น่าจะลองทำความเข้าใจกับมันอีกสักเล็กน้อยแล้ว” หานลี่ถือของในมือที่เพิ่งมาได้จากแก่นวิญญาณของราชาซยงซือที่แตกสลายไป เผยรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยกับตนเองอยู่สองสามประโยค
เมื่อข้อมือสั่นไหว เพียงพริบตาลูกปัดนั้นก็หายไปจนไม่เห็นแม้เงา
หานลี่ถึงได้เพิ่งจะหรี่ตาลงแล้วมองไปยังยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงกัน
เห็นแต่เพียงว่านอกจากใต้กายเขาแล้ว ยอดเขาลูกอื่นยังคงถูกม่านลำแสงปกคลุมเอาไว้อย่างแน่นหนา
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนแรกที่สิ้นสุดการต่อสู้ลงได้ การต่อสู้อีกสี่แห่งนั้นยังคงอยู่ท่ามกลางความดุเดือด
หานลี่คิดออกมาในใจเช่นนี้ ก็ไม่ได้ลังเลที่จะคิดอะไรออกมาอีก มองลึกลงไปยังใจกลางยอดเขานั้นแล้ว ร่างกายก็เคลื่อนไหวขึ้น แล้วพุ่งไปยังยอดเขาทางซ้ายมือ
หากว่าเขาไม่ได้จำผิดไปแล้วละก็ ยอดเขานี้คงจะเป็นสถานที่ที่เหวินซินเฟิ่งเลือกเอาไว้ หากว่ามีเขาคอยช่วยเหลือแล้วละก็ คาดว่าก็ไม่ยากนักที่จะจบการต่อสู้กับราชายมโลกอีกตนหนึ่งที่นี้ได้
หลังจากที่ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปมาแล้ว ก็มาปรากฏยังกลางอากาศเหนือม่านลำแสง มือข้างหนึ่งคว้าออกไปกลางอากาศ เนินหมอกสีดำปรากฏออกมาใจกลางฝ่ามือของเขา หลังจากที่แขนข้างหนึ่งหมุนวนไปมา ก็กลายเป็นเงาดำมืดใหญ่ยักษ์ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบริกรรมคาถาออกมาแล้วยกขึ้นมา ดาบลำแสงสีฟ้ายาวกว่าร้อยจั้งม้วนตัวออกมา ฟาดลงไปอย่างแรง
ส่วนคนตัวเล็กกายสีทองที่ยืนอยู่ด้านข้างของหานลี่นั้น ก็ส่ายไหล่ออกมาอย่างเงียบๆ เสียง “ซี่ๆ” ดังขึ้น พลังดาบที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนปะทุออกมา
ม่านลำแสงสองชั้นที่ปกคลุมยอดเขาอยู่ถึงแม้ว่าจะดูลึกลับ แต่ว่าจะต้านทานการโจมตีเต็มพลังของหานลี่และราชาแมลงกลืนทองได้อย่างไรกัน
เพียงแค่ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ ม่านลำแสงสองชั้นก็แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ด้านในเกิดเสียงฟ้าคำรามปึงปังออกมา แล้วเผยให้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดด้านล่าง
หานลี่มองลงไปอย่างเคร่งขรึม บนยอดเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มการต่อสู้ซึ่งต่างก็กำลังต่อสู้กันอย่างเต็มที่
ท่ามกลางกลุ่มการต่อสู้แห่งหนึ่งนั้น ตัวมิงค์บินสัตว์อสูรน่ารักที่แต่เดิมมีขนาดเล็กผิดปกติ ได้กลายร่างมามีขนาดใหญ่ใกล้พันจั้ง กำลังกัดกันอยู่กับกิ้งก่ายักษ์สองหัวที่มีขนาดเท่ากันอยู่
สองปีกของมิงค์บินสั่นไหวไม่หยุดนิ่ง ประจุสายฟ้าสีเงินสะท้อนออกมา ปกคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของร่างกาย
ส่วนกิ้งก่ายักษ์สองหัวนั้น หัวหนึ่งแดงหัวหนึ่งดำ พ่นเอาเปลวเพลิงสีแดงและไอพลังสีดำออกมาอย่างไม่หยุด
ทั้งสองนั้นผิวหยาบเนื้อหนา ไม่ว่าจะฉีกกัดทุบตี หรือบางคราวแยกกันชั่วคราวพ่นสายฟ้าเปลวเพลิงไอพลังสีดำออกมาไม่หยุดหย่อน
เพียงแค่ชั่วเวลาเดียวยากที่แยกแยะความแตกต่างออกมาได้
อีกกลุ่มต่อสู้หนึ่งเผยให้เห็นความผิดปกติเป็นอย่างมาก
อีกด้านหนึ่ง เหวินซินเฟิ่งกลับนั่งทำสมาธิอยู่อย่างเงียบๆ ท่ามกลางไผ่เขียวนับร้อยต้น สองมือบริกรรมออกไป ผิวกายนั้นมีเสื้อคลุมห้าสีปรากฏออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของนาง ด้านบนหัวนั้นมีแผ่นอาคมสีขาวขุ่นอยู่ตรงนั้น อักษรรูนสีเงินมากมายลอยออกมาจากในนั้น
อีกด้านหนึ่ง ห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง กลับเป็นทะเลโลหิตหลายร้อยไร่ไหลรินสู่ท้องฟ้า ใจกลางทะเลโลหิต แท่นบงกชสีดำมืดเผยให้เห็นโครงกระดูกของรูปร่างมนุษย์สมบูรณ์นั่งอยู่บนนั้น
กระดูกขาวนี้ทั่วทั้งกายเต็มไปด้วยเลือดแดงสด และยังมีบางแห่งที่ยังคงมีเศษเนื้อที่ยังไม่ได้กำจัดออกจนหมด กลับเหมือนราวว่าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ ที่ในมือข้างหนึ่งมีอาคมแปลกๆ อยู่ อีกข้างหนึ่งกลับถือชามเลือดสีแดงเอาไว้
ด้านหลังของศีรษะนั้นกลับมีกลุ่มรัศมีลำแสงสีทองนับไร่อยู่ ด้านในนั้นมีเปลวเพลิงสีทองนับไม่ถ้วนลุกโชนอยู่
ที่น่าแปลกก็คือ กระดูกขาวนี้กับเหวินซินเฟิ่งที่อยู่ตรงข้ามนั้นอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน หลังจากที่บริกรรมเคล็ดวิชาลับใช้สมบัติล้ำค่าปกป้องร่างกายแล้ว กลับนั่งนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหวอยู่บนแท่นบงกชดำ
หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้แล้วท่าทีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่วนลึกของรูม่านตากลับเกิดแสงสีฟ้าส่องประกายออกมา ทันใดนั้นเขาก็กวาดตามองไปยังช่องว่างระหว่างกระดูกขาวและเหวินซินเฟิ่ง
สุดท้ายหลังจากที่ใช้เนตรวิญญาณมองไปแล้ว ที่แห่งนั้นที่แต่เดิมดูเหมือนว่าจะว่างเปล่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่นั้น ทันใดนั้นก็เผยให้เห็นถึงโลกสองใบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง