บทที่ 196 ประวัติคนไข้เคสพิเศษ
ไม่ว่าเฉินชางจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมแม้แต่ค่าความรู้สึกดีก็ยังดรอปได้ ดูแล้ว PK จะเป็นหนทางสูงจุดสูงสุดที่ดีสุดจริงๆ
ในเวลานี้ เฉินชางพบว่าสายตาที่เมิ่งซีมองตนดูอ่อนโยนขึ้นมาก ทั้งยังระคนไปด้วยสายตาเฝ้า ปรารถนา…
เดี๋ยวๆ!
เฉินชางเหยียบเบรกความคิดตนเองสุดฤทธิ์!
เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้เห็นสายตาเฝ้าปรารถนาเช่นนี้จากสายตาของอาจารย์เมิ่งซี?
เฉินชางถึงกับชะงักงัน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที รีบส่ายศีรษะไปมา ข่มตนเองให้สงบนิ่ง ถึงอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่การนั่งดูซีรี่ส์คุณครูที่รักอยู่ที่บ้านลำพัง ทำไมถึงมีความคิดไม่เหมาะสมแบบนี้เกิดขึ้นในหัวได้
เมื่อเมิ่งซีมองหลอดเลือดใหญ่จำลองในมือที่เย็บได้ประณีตไร้ที่ติ เธอก็ค่อนข้างรู้สึกโล่งใจ พ่อหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเมิ่งซีก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าภายในใจตนเองยอมรับเฉินชางมากแค่ไหน
แม้แต่สายตาที่เธอมองเฉินชางก็ยังดูอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม
[เมิ่งซี แพทย์หญิงที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบกับการหักห้ามใจตน ค่าความรู้สึกดี +5]
เฉินชางวิเคราะห์อย่างละเอียด คงเป็นเพราะ [ค่าความรู้สึกดี +5] ที่นำมาซึ่งปฏิกิริยาที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ แล้วก็คงจะเป็นเพราะตนคิดมากไป
เก่อฮว๋ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในที่สุด ถ้าเฉินชางเย็บได้ทั้งเร็วทั้งดีกว่าตน ตนจะต้องเกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นในใจตนแน่ ไม่ใช่ความรู้สึกอิจฉา แต่เป็นความรู้สึกพ่ายแพ้
ความอิจฉาริษยาส่วนใหญ่เกิดจากคนในแผนกเดียวกันกับระดับเดียวกัน แต่ความรู้สึกพ่ายแพ้มาจากการถูกโจมตีจากคู่ต่อสู้ที่พลังด้อยกว่า!
คนอื่นๆ ต่างก็ยอมจำนนต่อเขา แต่เฉินชางกลับเพิ่มพลังในการโจมตี!
เฉินชางเป็นแค่เด็กหนุ่มที่กำลังจะเรียนต่อในระดับปริญญาโท ตนเป็นถึงระดับแพทย์เจ้าของไข้มาหลายปี อีกทั้งยังเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่แผนกศัลยกรรมหัวใจมายาวนานหลายปี
ถ้าจางจื้อซินเห็นเหตุการณ์นี้ จะต้องเย้ยหยันเก่อฮว๋ายแน่ อายุปาเข้าไปจะสี่สิบแล้ว วันๆ เอาแต่ต่อสู้แข่งขันกัน มันอะไรกันเนี่ย
จู่ๆ ซย่าเกาเฟิงก็เกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมา ถ้ารู้เร็วกว่านี้ตนจะโทรไปที่สำนักงานบัญฑิตวิทยาลัย ให้เสี่ยวกวนให้โควตาตน!
ถึงอย่างไรเสียการได้เจอเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ซย่าเกาเฟิงก็เริ่มรู้สึกปลื้มปริ่มในตัวเด็กหนุ่มคนนี้แล้วจริงๆ!
กล่าวกันว่าม้าพันลี้[1] มีให้พบเห็นได้อยู่เสมอ แต่คนมองออกว่าม้าตัวไหนคือม้าพันลี้มีไม่มาก แต่การได้เจอคนอย่างเฉินชางที่เปรียบเสมือนการได้เจอม้าเหงื่อโลหิต[2] แล้วใครจะตัดใจปล่อยให้หลุดมือได้ลง? คุณดูสิ แม้แต่เมิ่งซีที่สายตาเฉียบคมมีมาตรฐานสูง ยังคิดจะครอบครองม้าตัวนี้เลย…ไม่ใช่ ต้องบอกว่าเมิ่งซียังอยากได้เลยต่างหาก
การคัดเลือกบุคลากรมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยการแพทย์ตงหยางเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเข้มงวด โดยทั่วไปแล้วจะต้องเป็นบุคลากรที่มีตำแหน่งรองศาสตราจารย์ขึ้นไป มีบทความวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ลงวารสารสามฉบับขึ้นไปในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา (วารสารระดับมณฑลหรือวารสารระดับประเทศ) และมีหัวข้อวิจัยที่เกี่ยวกับการศึกษาหนึ่งหัวข้อขึ้นไป ต้องมีคุณสมบัติเช่นนี้ถึงจะได้รับคัดเลือกให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
เงื่อนไขเกี่ยวกับอายุไม่มีการจำกัดอายุขั้นต่ำ มีแต่จำกัดอายุไม่ให้เกินเงื่อนไขที่กำหนด แต่…อาจารย์ที่ปรึกษาที่จะอายุแค่สามสิบเหมือนเมิ่งซี นับว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่หายากจริงๆ
ตามเงื่อนไขกำหนดว่าอายุเกินห้าสิบเจ็ดปีก็ไม่รับแล้ว มหาวิทยาลัยการแพทย์ตงหยางมีกำหนดอายุไม่เกินเงื่อนไขนี้ ถ้าอายุเกินก็ไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาปริญญาโท เพราะถึงอย่างไรเสียนักศึกษปริญญาโทก็ต้องใช้เวลาเรียนสามปีถึงจะสำเร็จการศึกษา ถ้าไม่กำหนดเงื่อนไขเช่นนี้นักศึกษายังไม่ทันเรียนจบ คุณก็เกษียณไปก่อนแล้ว แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับนักศึกษา
แน่นอนว่าเงื่อนไขนี้ไม่เหมาะที่จะใช้กับทุกคน มีหลายคนที่ได้รับข้อยกเว้นพิเศษ เช่น แพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับมณฑล แพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศ นักวิชาการที่ได้รับรางวัลนักวิชาการระดับสูงสุดของประเทศเป็นต้น
แล้วซย่าเกาเฟิงก็เป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับมณฑล ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการพิเศษจากสำนักนายกรัฐมนตรีจีน แต่เขาอายุมากแล้ว กำลังวังชามีไม่มาก ถ้าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาปริญญาโทจะต้องยื่นเสนอผลงานวิจัยที่มีหัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างเหนื่อย ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้ลงสมัครคัดเลือกเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาปริญญาโท
แต่ในตอนนี้เมื่อได้เห็นเฉินชาง ก็ค่อนข้างรู้สึกเสียดายจริงๆ!
เมิ่งซีมองเฉินชาง ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งเพื่อทำการตัดสินใจ รับคนนี้แล้วกัน!
อืม!
เด็กหนุ่มคนนี้ยอดเยี่ยมไม่เบา องค์ประกอบรอบด้านก็ดีมาก ในเวลานี้เมิ่งตัดสินในใจแล้วว่าจะเซนรับเฉินชางเป็นลูกศิษย์
“หมอเก่อคะ เตียงห้าสิบเอ็ดอยู่ๆ ก็ชักค่ะ!”
ทันทีที่มีเสียงที่ฟังดูร้อนรนของพยาบาลที่เคาน์เตอร์พยาบาลดังลอดเข้ามาในห้องทำงาน เมิ่งซีก็เลยไม่ได้พูดสิ่งที่กำลังจะพูดออกไป แต่รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเก่อฮว๋ายออกไป
เฉินชางชะงักงันเล็กน้อย
ทำไมแผนกศัลยกรรมหัวใจถึงมีผู้ป่วยชักล่ะ
ซย่าเกาเฟิงก้มหน้ามองเฉินชาง “พ่อหนุ่ม อาจารย์คุณไปดูอาการผู้ป่วยแล้ว คุณตามไปดูด้วยสิ”
เฉินชางรีบลุกขึ้น “ขอบคุณครับหัวหน้า”
หลังจากพูดจบเฉินชางก็วิ่งตามออกไป
หลังจากที่ซย่าเกาเฟิงพูดจบ เขาก็หันไปมองแพทย์ที่เข้ามาฝึกอบรมที่โรงพยาบาลที่เพิ่งย้ายแผนกมากับนักศึกปริญญาโทเหล่านั้น แล้วก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นักศึกษากลุ่มนี้จิตใจไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน โอกาสเรียนรู้ที่ดีขนาดนี้คิดไม่ถึงว่าจะมองข้ามไป สมัยที่พวกเขาเรียน ถ้ามีโอกาสได้เจอผู้ป่วยเคสพิเศษสักราย พวกเขาก็จะรีบวิ่งไปดูผู้ป่วยตั้งแต่แรกแล้ว
ปัจจุบันรูปแบบการเรียนการสอนดีมาก ช่องทางการเรียนรู้ก็มากด้วย เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริงมากขึ้นมาก แต่…
ซย่าเกาเฟิงมองนักศึกษาสองสามคนนั้นที่ถ้าไม่กำลังฉีกผลแลป ก็กำลังนั่งคุยกันอยู่ ซย่าเกาเฟิงอดพูดไม่ได้ว่า “ไม่ต้องฉีกผลแลปแล้ว ไปดูผู้ป่วย ไปดูอาการของโรคกันหน่อย เก็บเกี่ยวความรู้ให้มาก ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นเคสพิเศษที่พวกคุณมีโอกาสได้เจอแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต อย่าเอาแต่อยู่แต่ในแผนกทั้งวัน หอบหนังสือสองเล่มสามเล่มไว้กับตัวไม่คิดลงมือทำอะไร แล้วก็เอาแต่นั่งฉีกผลแลปอยู่ในแผนก”
นักศึกษาปริญญาโทสองสามคนนี้ลุกขึ้นด้วยท่าทางที่ดูกระอักระอ่วน พยักหน้าอย่างไม่สมัครใจ ต่างคนต่างผลักกันให้เดินออกไป พวกเขาพากันเดินอืดอาดยืดยาดไป
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ซย่าเกาเฟิงก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
เก่อฮว๋ายตรงไปที่เตียงห้าสิบเอ็ดด้วยท่าทางที่ดูค่อนข้างรีบร้อน ผู้ป่วยรายนี้จะมีผ่าตัดในบ่ายวันนี้ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ชัก?
แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เก่อฮว๋ายก็ยังคงคิดไม่ตก
ความจริงแล้วผู้ป่วยมักจะเป็นเช่นนี้ ผู้ป่วยบางรายไม่เคยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์มาก่อนเลยจนร่างกายมีความผิดปกติที่แฝงอยู่ และถึงขั้นที่ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปเพราะภาวะฉุกเฉินที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์
เดิมทีจัดวันเวลาผ่าตัดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เพราะพบค่าผลแลปที่ผิดปกติกะทันหัน การผ่าตัดก็เลยต้องเลื่อนออกไปทันที เพราะการผ่าตัดมักมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ค่าผลแลปที่ผิดปกติยิ่งเพิ่มปัจจัยความเสี่ยงในการผ่าตัด
เฉินชางเดินตามหลังเมิ่งซีไป แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าผู้หญิงคนนี้เดินเร็วมาก ขายาวๆ ของเธอก้าวฉับๆ ถ้าตนไม่ได้ผ่านการฝึกฝนเดินเร็วมาจากแผนกฉุกเฉินล่ะก็ เดินตามไม่ทันแน่!
เมิ่งซีเดินไปถามไป “อาการผู้ป่วยเป็นยังไงบ้าง”
เก่อฮว๋ายจริงจังกับการทำงานมาก เขาเข้าใจในรายละเอียดทั้งหมดของผู้ป่วยดีเป็นพิเศษ
“ผู้ป่วยเป็นเพศชาย เป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าอุยกูร์ อายุสามสิบปี มีอาการใจสั่นและแน่นหน้าอกเป็นๆ หายๆ มาสี่ปี อาการกำเริบหนักขึ้นช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา สามวันก่อนหน้านี้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเรา…”
“…เมื่อสี่ปีก่อนยังไม่มีอาการใจสั่นชัดเจน แต่มีอาการแน่นหน้าอก เวลาที่ทำกิจกรรมที่มีความเข้มข้นระดับปานกลาง รวมทั้งเวลาที่ทำงานเหนื่อยก็จะรู้สึกแน่นหน้าอกมากยิ่งขึ้น ตามมาด้วยอาการหมดเรี่ยวแรง เหงื่อออก ผลวินิจฉัยของโรงพยาบาลท้องถิ่นระบุว่าเกิดจากหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ผิดปกติ[3] โรงพยาบาลแห่งนั้นใช้วิธีรักษาไปตามอาการ แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้อาการกำเริบหนักยิ่งขึ้น หลังจากที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเรา เราได้ตรวจคลื่นหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echo) ให้ผู้ป่วย ผลตรวจแสดงผลชัดเจนว่ามีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ผิดปกติ หัวใจห้องซ้ายอ่อนแรงลง EF24%[4] ซึ่งคาดว่าเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ผิดปกติ”
เมิ่งซีขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ผู้ป่วยเข้ารักษาเมื่อวันศุกร์…ได้ดูผลตรวจจากห้องแลปแล้วหรือยัง”
เก่อฮว๋ายตอบ “ส่งแลปตรวจเมื่อวันศุกร์ ผลน่าจะออกมาแล้ว ผมยังไม่ได้ดูเลย ผมไปเอาผลแลปก่อนนะครับ”
หลังจากพูดจบ เก่อฮ๋วายก็รีบเดินออกจากประตูไป
หลังจากที่เมิ่งซีครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่งแล้ว เธอก็บอกเฉินชางว่า “คุณไปหยิบแฟ้มประวัติผู้ป่วยมาหน่อยค่ะ”
เฉินชางพยักหน้า เขารีบวิ่งออกไปทันที
เขาวิ่งไปอย่างชำนาญทาง ไม่มีความรู้สึกแปลกที่เลยสักนิด ถึงอย่างไรเสียแต่ละโรงพยาบาลก็ไม่ต่างกันมาก
[1] ม้าพันลี้ คนเก่งที่โดดเด่น
[2] ม้าเหงื่อโลหิต ม้าสายพันธุ์เก่าแก่ที่หายาก มีลักษณะสวยงามโดดเด่นกว่าม้าทั่วไป สง่า แข็งแรง ปราดเปรียว ตามตำนานกล่าวว่าเวลาที่ม้าสายพันธุ์นี้ออกวิ่ง เหงื่อที่ไหลออกมาจากบริเวณแผงคอจะมีสีแดงสดคล้ายสีของเลือด
[3] โรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดห้องหัวใจขยายใหญ่ผิดปกติ ( Dilated Cardiomyopathy ) คือ การที่กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหรือห้องล่างขวาเกิดการขยายตัวออกมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถหดตัว หรือหดตัวได้น้อย ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อย เป็นผลให้อวัยวะเกิดอาการขาดเลือด และเกิดอาการเลือดคั่งอยู่ในหัวใจและปอดมากเกินไป
[4] EF ย่อมาจาก Ejection Fraction คือการวัดปริมาณเลือดที่สูบฉีดออกจากหัวใจในการบีบตัว 1 ครั้ง คนปกติหัวใจจะบีบตัวให้เลือดสูบฉีดออกไปต่อครั้งประมาณ 50-70% (EF 50-70%) แต่ในคนที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน จะมีการบีบตัวน้อยกว่า 35% (EF <35%)