เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 207 ร่วมการวินิจฉัยด่วนของแผนกสูตินรีเวช (1)

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 207 ร่วมการวินิจฉัยด่วนของแผนกสูตินรีเวช (1)

แผนกระบบทางเดินอาหาร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแผนกม้ามและกระเพาะอาหารของโรงพยาบาลอันดับสองเป็นแผนกที่มีความสำคัญระดับประเทศ ทั้งยังเป็นแผนกที่มีชื่อเสียงมากในระดับมณฑลตั้งแต่สมัยที่ฝางยงหลินอดีตผู้อำนวยการดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของแผนกม้ามและกระเพาะอาหาร

ความสัมพันธ์ระหว่างแผนกระบบทางเดินอาหารกับห้องส่องกล้องเรียกได้ว่ารักกันดูดดื่ม ทุกคืนวันคือวันฮันนีมูน

ถึงอย่างไรเสียเป้าหมายในการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยแผนกระบบทางเดินอาหารก็เพื่อที่จะได้ส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร ไม่ก็เพื่อจะตัดติ่งเนื้องอกด้วยการส่องกล้อง ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองแผนกจึงเป็นเหมือนแผนกสองพี่น้อง เป็นสองแผนกที่เหมือนเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ

หลังจากที่เซียวเหอติดต่อกับซูจวิน หัวหน้าแผนกระบบทางเดินอาหารแล้ว เขาก็จัดหาที่พักให้กับครอบหยางด้วยเลย

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เซียวเหอมาทำงานแล้ว เขาก็ไปดูอาการของเหล่าหยาง เมื่อเห็นว่าอาการในตอนนี้ของเหล่าหยางดีขึ้นมากแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

พอออกมาจากห้องผู้ป่วย ซูจวินก็อดถามเซียวเหอไม่ได้ “เอ่อ…ผู้ป่วยจะไม่ก่อเรื่องใช่มั้ยครับ เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา”

เซียวเหอส่ายหน้า ยิ้มพร้อมตอบว่า “วางใจเถอะครับเหล่าซู ผมจะทำลายความสัมพันธ์ของเราสองคนลงหรือไง ผู้ป่วยเป็นคนบ้านเดียวกันกับผม เป็นครอบครัวซื่อๆ ครอบครัวหนึ่ง สาเหตุที่เกิดภาวะเช่นนี้ก็เพราะว่ามาส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารบ่อยจนเนื้อเยื่อของผนังหลอดอาหารผิดปกติ การผ่าตัดรักษาก่อนหน้านี้ประสบผลสำเร็จมาก แค่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวในช่วงไม่กี่วันนี้ หลังจากฟื้นตัวดีแล้วก็กลับบ้านได้”

ซูจวินถอนหายใจออกมา “ช่วงนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในแผนกทำเอาผมปวดหัวแทบระเบิด”

เซียวเหอกับซูจวินความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก มักจะนัดสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ อีกทั้งเวลาที่มีประชุมเกี่ยวกับระบบการทำงานของม้ามกับกระเพาะอาหาร ทั้งสองคนก็จะเข้าร่วมประชุมด้วยกัน เป็นความสัมพันธ์ที่ไปมาหาสู่กันเช่นนี้จนกลายเป็นความสนิทสนม

ทันทีที่ได้ยินซูจวินถอนหายใจ เซียวเหอก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ซูจวินส่ายหน้า “จุ๊! เรื่องยุ่งยากเชียวล่ะ! ไปกันเถอะครับ ไปนั่งที่ห้องทำงานผม มีเรื่องต้องคุยกับคุณพอดี!”

ระหว่างที่กล่าว ทั้งสองก็เดินเข้าในห้องทำงาน หลังจากที่ปิดประตูแล้ว ซูจวินชงชาให้เซียวเหอหนึ่งแก้ว ทั้งสองต่างก็ไม่สูบบุหรี่ ยามว่างชอบนั่งจิบชาพูดคุยกัน

“ช่วงนี้ในแผนกเกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ทำเอาผมรู้สึกว่าหรือผมควรจะต้องเชื่อเรื่องผีสางบ้างแล้ว!”

เซียวเหอชะงักงัน “คุณหมายถึงคนในแผนกคุณที่กระโดดตึกคนนั้น?”

ซูจวินพยักหน้า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เรื่องยุ่งๆ ก็เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ได้หยุดหย่อนเลย! หลังจากเรื่องผู้ป่วยก่อเรื่องวุ่นวายขัดขวางการรักษาของแพทย์จบไป ก็เกิดเรื่องโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลอีก[1] ตรวจเจอเชื้อเอชไอวีในผู้ป่วยหนึ่งราย ตรวจเจอไวรัสตับอักเสบบีในผู้ป่วยสองราย ผมนี่พูดอะไรไม่ออกเลย! ที่มีเรื่องแย่ๆ ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันแบบนี้!…”

“…เมื่อวานนี้มีผู้ป่วยรายหนึ่ง หลังจากที่เพิ่งผ่าตัดรักษาโรคหลอดอาหารตีบตันไป ต่อมาพบว่ามีของเหลวและลมอยู่ในช่องเยื่อหุ้มปอด เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องให้แผนกระบบทางเดินหายใจเข้ามาช่วย เทียวไปเทียวมากันอยู่หลายวันจนอาการคงที่ วันนี้เพิ่งจะส่งตัวไปโรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล…”

“…ซวยชะมัด!”

หลังจากที่พูดจบ ซูจวินก็อดถอนหายใจไม่ได้

เซียวเหอจึงกล่าวปลอบใจเขาไปหนึ่งรอบ โรงพยาบาลก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นหัวหน้าก็ต้องเผชิญกับเรื่องยุ่งๆ หลายเรื่อง นอกจากต้องเป็นคนมีความสามารถในอาชีพแล้ว ยังต้องมีความสามรถในการจัดกับปัญหายุ่งยากหลายอย่างที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจอีกด้วย บางครั้งก็คิดว่าเป็นหมอตัวเล็กๆ ธรรมดาทั่วไปไม่ดีตรงไหนกัน

เซียวเหอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ซูจวินบอกมีเรื่องจะคุยกับตน “อ้อ จริงด้วย เมื่อกี้นี้คุณบอกคุณมีเรื่องจะคุยกับผม”

ซูจวินพยักหน้า “ครับ แม่ของเสิ่นเฟิ่งเม่าต้องผ่าตัดติ่งเนื้องอกในหลอดอาหาร เธอเพิ่งจะโทรมาหาผม ผมเลยบอกคุณไว้ก่อนล่วงหน้า”

เซียวเหอชะงักงั้น “เสิ่นเฟิ่งเม่า ผู้อำนวยการเสิ่นหรือครับ!”

ซูจวิน “ครับ ใช่แล้วครับ ก่อนหน้านี้แม่ของเธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเรามาตลอด ผลตรวจร่างกายครั้งที่แล้วพบติ่งเนื้องอก ครั้งนี้อยากจะมาตัดออกแล้ว ผมเลยบอกให้คุณรู้ล่วงหน้าก่อนว่าเสิ่นเฟิ่งเม่าคนนี้เป็นคนยังไง เธอเป็นคนที่งอแงไร้เหตุผลมาก แล้วก็เอาใจยากด้วย ผมไม่อยากให้เธอทำให้คุณต้องลำบากใจ”

เซียงเหออดเบ้ปากไม่ได้ “ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งนะที่ผมยื่นเบิกเครื่องส่องกล้องเครื่องใหม่ไป ยื่นไปกี่ครั้งเสิ่นเฟิ่งเม่าไม่เคยอนุมัติให้ผมเลยสักครั้ง”

เสิ่นเฟิ่งเม่าเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ดูแลเรื่องการสั่งเครื่องมือทางการแพทย์ของโรงพยาบาล เป็นตำแหน่งที่มีรายได้ดีตำแหน่งหนึ่ง เซียวเหออยากได้เครื่องส่องกล้องเครื่องใหม่สำหรับห้องส่องกล้อง แต่ก็ไม่ได้รับอนุมัติ

เมื่อซูจวินเห็นสีหน้าของเซียวเหอ เขาก็หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “นี่ถือเป็นโอกาส อย่าวางตัวแข็งกระด้างกับเสิ่นเฟิ่งเม่าขนาดนั้น คุณต้องวางตัวดีๆ ไม่แน่ว่าเครื่องส่องกล้องเครื่องใหม่อาจได้อนุมัติก็คราวนี้ จะดำเนินการอะไรก็ตามในโรงพยาบาล จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนพวกนี้ไว้ ไม่งั้นคุณจะทำอะไรก็ไม่ค่อยราบรื่น!”

เซียวเหอถอนหายใจออกมา “เฮ้อ…ผู้บริหารพวกนี้เรื่องมากจริงๆ เลย ทุกๆ วันเราทำงานกันเหนื่อยแทบตาย แต่พลังคำพูดของพวกเราก็ยังสู้คำพูดแค่หนึ่งประโยคของคนพวกนั้นไม่ได้”

ขณะที่เซียวเหอกำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น

“หัวหน้าเซียวคะ คุณอยู่ที่แผนกหรือเปล่า”

เสียงที่รีบร้อนของผู้หญิงคนหนึ่งดังอยู่ในสาย ทำให้เซียวเหอถึงกับชะงักงัน เขามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือปราดหนึ่ง สายที่โทรเข้ามาเป็นจางจิ้นเฟิง หัวหน้าแผนกสูตินรีเวช

เซียวรีบกล่าวทันที “ผมอยู่ที่แผนกระบบทางเดินอาหารครับ มาติดตามอาการผู้ป่วย หัวหน้าจางมีอะไรหรือเปล่าครับ”

จางจิ้นเฟิงรีบกล่าว “ที่แผนกสูตินรีเวชมีหญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งตอนที่กำลังคลอดลูกเกิดอาการหืดหอบขึ้นมากะทันหัน ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเจ็บกลางหน้าอกอย่างรุนแรง ฉันเป็นห่วงว่าหลอดอาหารหรือหลอดลมจะมีอะไรผิดปกติ คุณรีบมาดูหน่อยค่ะ”

เซียวเหอรีบลุกขึ้นทันที “โอเคครับหัวหน้าจาง ผมรีบไปเดี๋ยวนี้!”

หลังจากวางสายแล้ว เซียวเหอมองซูจวิน “ผมไปก่อนนะครับ ที่แผนกสูตินรีเวชมีหญิงตั้งครรภ์ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ ผมต้องรีบไปดู”

เซียวเหอออกมาจากแผนกระบบทางเดินอาหารด้วยความเร่งรีบ โทรศัพท์ต่อสายไปที่แผนกส่องกล้อง แล้วตรงไปที่ห้องคลอด

ภายในห้องผ่าตัดแผนกสูตินรีเวช จางจิ้นเฟิงสังเกตออาการของหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ตรงหน้า เด็กใกล้จะคลอดออกมาเต็มทีแล้ว ทว่าในตอนนี้หัวใจของหญิงตั้งครรภ์เต้นเร็วมาก เธอหายใจกระชั้นถี่ มือกุมหน้าอกด้วยเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สูตินรีแพทย์ถึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ถึงแม้ว่าการคลอดลูกจะเจ็บมาก แต่ต้องไม่ใช่อาการเจ็บหัวใจ!

หญิงตั้งครรภ์รายนี้เอามือกุมหน้าอก เธอบอกว่าเธอเจ็บจนไม่มีเรี่ยวแรง เบ่งคลอดมาได้ครึ่งทางแล้ว ยุ่งล่ะสินี้!

จางเยียน แพทย์ผู้นำทีม[2]ของเคสนี้ก็เลยรีบร้อนไปเชิญหัวหน้าจางจิ้นเฟิงมา

จางจิ้นเฟิงดูประวัติผู้ป่วยรอบหนึ่ง หญิงตั้งครรภ์มีสุขภาพแข็งแรงมาก ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ โรคเกี่ยวกับหัวใจก็ไม่มี แล้วอาการนี้เกิดจากอะไรกันแน่

หรือว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จางจิ้นเฟิงก็ไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่นแล้ว เธอรีบโทรหาหยางเสี่ยวหมิงหัวหน้าแผนกระบบทางเดินหายใจ หลี่เป่าซานหัวหน้าแผนกฉุกเฉิน เถามี่หัวหน้าแผนกศัลยกรรมหัวใจ เธอโทรหาทุกคนเพื่อเชิญทุกคนมาร่วมวินิจฉัยทันที

ขณะนี้เด็กยังไม่คลอดออกมา ผู้เป็นแม่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะเบ่งเด็กออกมาแล้ว

แพทย์ผู้นำทีมจางเยียนร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ “คุณแม่ออกแรงค่ะ ออกแรงอีกค่ะ!”

หลิวเหวินจวินหญิงตั้งครรภ์ ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ “ฉันออกแรงไม่ไหว ฉันเจ็บหน้าอกเวลาออกแรงเบ่ง ฉัน…ฉันเจ็บหน้าอกมากเลย!”

คำพูดนี้ทำให้บรรยายกาศภายในห้องคลอดก้าวเข้าสู่สภาวะวิกฤติ

จางเยียนเองก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว “ทำไงดีคะหัวหน้า”

สมองของจางจิ้นเฟิงราวกับเป็นเครื่องซีพียูแบบ Intel Core i7[3] เธอประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว อาการเช่นนี้เกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่

“แจ้งครอบครัวก่อนว่าตอนนี้แม่เด็กตกอยู่ในภาวะป่วยวิกฤติ ให้คนในครอบครัวเซ็นชื่อ!”

จางเยียนพยักหน้า พร้อมสั่งให้พยาบาลรีบเตรียมหนังสือแจ้งสำหรับครอบครัว และติดต่อครอบครัว

ในเวลานี้ครอบครัวของหลิวเหวินจวินกำลังรออยู่ที่หน้าห้องคลอดด้วยความร้อนใจ!

สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวต่างก็รอเธออยู่ที่หน้าห้องคลอด พ่อแม่ของหลิวเหวินจวิน จางเยว่สามีของเธอ แล้วก็พ่อแม่ของจางเยว่

นี่เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวมีความสุขที่สุด แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในครอบครัวร้อนใจมากที่สุด

เมื่อแม่ของหลิวเหวินจวินเห็นว่าจางเยว่ยืนอยู่หน้าห้องคลอดเดินวนไปวนมา เธอก็อดถามไม่ได้ว่า “เสี่ยวจาง เป็นห่วงใช่มั้ยล่ะ ผู้หญิงต้องผ่านประสบการณ์นี้กันทั้งนั้น เธอมานั่งพักสักหน่อยมา!”

จางเยว่ยิ้มเก้อเขิน “แม่ครับ ผมนั่งไม่ติด พอนั่งแล้วรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตักตึกตักเร็วมาก ผมนั่งติดที่ไหนกัน!”

คำพูดนี้ของจางเยว่ทำเอาทุกคนในครอบครัวถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้

อีกเดี๋ยวก็จะมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวจางหรือครอบครัวหลิวต่างก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

แม่ของหลิวเหวินจวินหัวเราะออกมา “พ่อลูกเขย แม่เตรียมเสื้อผ้าไว้ในเจ้าตัวน้อยแล้ว เดี๋ยวกลับไปบ้านแล้วแม่ส่งไปให้พวกเธอ”

พ่อของหลิวเหวินจวินหัวเราะลั่น “เสื้อผ้าเด็กพวกนี้คุณซื้อมาเป็นปีแล้ว ซื้อวันละตัวสองตัวทุกวัน นี่ถ้าเด็กคนนี้ยังไม่คลอดออกมาอีก เดาว่าคงเสื้อผ้าที่ทยอยซื้อทุกวี่ทุกวันคงเยอะจนล้นบ้าน ยัดเข้าไปในบ้านไม่ได้แล้ว!”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสียงหัวเราะลั่นออกมา

นี่เป็นช่วงเวลาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของการการรอคอยสมาชิกใหม่ของครอบครัว

และในตอนนี้เอง จู่ๆ ประตูห้องคลอดก็ถูกเปิดออกกะทันหัน ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ คลอดแล้ว?

ทุกคนต่างอดลุกขึ้นมาไม่ได้ เด็กออกมาแล้ว?

ทุกคนค่อนข้างรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

สิ่งที่เห็นคือพยาบาลวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อน ในมือถือกระดาษสองสามแผ่น “ใครเป็นคนในครอบครัวของหลิวเหวินจวินคะ”

ทั้งห้าคนต่างก็รีบขานรับ “ผม/ฉัน!”

“พวกเรา!”

พยาบาลเดินเข้ามาหาพวกเขาพร้อมกล่าวว่า “สถานการณ์ของแม่เด็กตอนนี้อยู่ในภาวะวิกฤติ มีภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน เรากังวลว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าขึ้น นี่เป็นหนังสือแจ้งอาการของแม่เด็กในตอนนี้ค่ะ”

สีหน้าของทั้งห้าคนพลันเปลี่ยนในทันใด!

จางเยว่ตกใจมากจนหน้าซีดเผือด “อะ…อะไรกันครับ เกิดเรื่องอะไรกันครับ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้”

สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว!

เดิมที่กำลังเฝ้ารอความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น ผลคือกำลังเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้าย

พยาบาลกำลังจะพูด จางเยียนก็เดินออกมาจากห้องคลอด เธอคิดว่าเรื่องนี้พยาบาลน่าจะถ่ายทอดข้อมูลได้ไม่ชัดเจนนัก เธอก็เลยออกมาแจ้งด้วยตนเองเสียเลย

หลังจากที่ครอบครัวของหลิวเหวินจวินเห็นจางเยียนเดินออกมา พวกเขาก็รีบเข้าไปหาเธอทันที “คุณหมอจาง…เกิดอะไรขึ้นครับ เหวินเหวินเป็นอะไร”

เมื่อจางเยียนเห็นสีหน้าที่ดูวิตกกังวลอย่างหนักของทุกคน เธอยังอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับทุกคนฟังอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

หลังจากที่พูดจบแล้ว จางเยียนก็กล่าวกับทุกคนว่า “ตอนนี้อาการของแม่เด็กยังคาดเดาอะไรไม่ได้ หัวหน้าของเราเป็นคนลงมาทำคลอดให้ด้วยตัวเอง ทุกคนไม่ต้องกังวลค่ะ อีกอย่างเราได้เชิญหัวหน้าของแต่ละแผนกมาร่วมวินิจฉัยอาการของแม่เด็กแล้ว ตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แม่เด็กเพิ่งเบ่งเด็กได้แค่ครึ่งทาง แต่ตอนนี้ออกแรงส่วนท้องไม่ได้ อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นวิธีผ่าคลอดแทน แต่จากอาการต่างๆ เราคาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้เลย…สถานการณ์ทั้งหมดเป็นเช่นนี้ ดังนั้น…เซ็นชื่อเถอะค่ะ”

คำพูดทั้งหมดที่พูดออกมาในรวดเดียว ทำเอาทุกคนถึงกับสับสนมึนงง!

สีหน้าของจางเยว่พลันเปลี่ยนในทันใด “คุณหมอครับ! รักษาชีวิตภรรยาผมเอาไว้นะครับ จะต้องรักษาชีวิตภรรยาผมเอาไว้! รักษาเด็กไว้ไม่ได้ไม่เป็นไร ต้องรักษาชีวิตภรรยาผมไว้”

จางเยียนส่ายหน้า “ไม่ใช่สาเหตุจากเด็กค่ะ เปลี่ยนไปใช้วิธีผ่าคลอดไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เป็นสาเหตุจากภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันของแม่เด็กที่ยังจำเป็นต้องรอผลตรวจ ทางเราจะพยายามทำอย่างเต็มที่แน่นอนค่ะ แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้น แต่เราจำเป็นต้องแจ้งสถานการณ์ทั้งหมดให้ทางครอบทราบก่อนเท่านั้นเองค่ะ”

[1] โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล คือ การติดเชื้อของผู้ป่วยขณะที่เข้ารับการรักษาอยู่ใน โรงพยาบาล โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการติดเชื้อนั้นมาก่อน หรือไม่ได้อยู่ในระยะฟักตัวของโรคนั้นๆ ขณะเริ่มเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งอาการของการติดเชื้อนั้นอาจแสดงให้เห็นในขณะที่ผู้ป่วยกำลังรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล และยังรวมถึงผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่มีอาการแสดงในช่วงระยะฟักตัวของโรคดังกล่าว กรณีที่ไม่ทราบระยะฟักตัว จะกำหนดระยะเวลาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายหลังเข้ารักษาในโรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง

[2] แพทย์ผู้นำทีม ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการหลักในการผ่าตัดรักษา

[3] Core i7 (8 Cores /16 Threads) ซีพียูระดับสูง สามารถทำงานด้านกราฟิกอย่างการตัดต่อวีดีโอ หรือเล่นเกมคุณภาพสูงที่ความละเอียดระดับ 4K ได้อย่างลื่นไหล

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท