บทที่ 257 เอ๊ะ? คุณไม่ใช่เฉินชางหรือครับ
ฉางหงเหล่ยมองสิงอวี่ “ฉันรับประกันอัตราการรักษาหายอยู่ที่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่คุณจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลของเราเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อฟื้นฟูมือของคุณ ความจริงแล้วความคิดที่จะรักษาให้หายเป็นปกติเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะระบุได้ชัดเจน เพราะเราทำได้แค่อาศัยข้อมูลที่เรามีบวกกับใช้ประสบการณ์ในการวินิจฉัย ถึงเรามีโอกาสประสบผลสำเร็จในการรักษาแค่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่เรารับประกันความเร็วในกระบวนการฟื้นฟูของเส้นเอ็นของคุณได้ การออกแรงต้านแรงดึงของมือ…”
ความจริงแล้วในเวลานี้อัตราการรักษาให้หาย กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนความสามารถของหมอ!
การที่พวกเขามายืนถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องของการคุยโวอวดศักยภาพ แต่อาศัยประสบการณ์ในการคาดการณ์ความเชื่อมั่นของเองต่อการรักษาว่ามีมากแค่ไหน
หมอทุกคนล้วนมีเครื่องชั่งตวงอยู่ในใจ สำหรับเรื่องการรักษาผู้ป่วยแล้วนั้น พวกเขาคิดใคร่ครวญในใจอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเสมอ
เช่นถานจงหลินในตอนนี้ ใจของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าอัตราการรักษาหายของตนมีไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์
แล้วเขาจะบอกให้คนอื่นรู้ได้อย่างนั้นหรือ
ไม่ได้!
แต่จะบอกสูงเกินความเป็นจริงก็ไม่กล้า!
ถึงอย่างไรเสีย การรักษาผู้ป่วยก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่ออิงจากประสบการณ์ในการเย็บเส้นเอ็นที่ผ่านมาของตนแล้ว เขาเย็บเส้นเอ็นให้ผู้ป่วยมายี่สิบรูปแบบ อัตราการรักษาหายอยู่ที่ห้าถึงเจ็ดเปอร์เซ็นต์ สูงกว่านี้ไม่กล้ารับประกัน อาจมีหนึ่งในสิบรายที่อัตราการรักษาหายสูงกว่าเจ็ดเปอร์เซ็นต์
เมื่อมองหวังอวี้ซานกับฉางหงเหล่ย สองคนนี้อยู่ที่สี่สิบถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์กันทั้งนั้น ถางจงหลินอดถอนใจไม่ได้ ทั้งยังค่อนข้างเขินอาย
แต่เคสสิงอวี่ อัตราการรักษาหายเกินระดับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปได้นั้น ไม่ใช่อาศัยแค่ประสบการณ์อย่างเดียว ต้องอาศัยพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิดด้วย!
ถึงแม้ว่าอัตราการรักษาหายของถานจงหลินจะไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถานจงหลินมีประสิทธิผลที่สูงถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ประสิทธิผลการฟื้นฟูที่เด่นชัดอยู่ที่แปดสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
กล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า การเย็บเส้นเอ็นเป็นทักษะที่ทุกคนทำได้ แต่ระดับความยากง่ายที่ทำได้แตกต่างกันไป วิธีไม่เหมือนกัน ก็เป็นธรรมดาที่ผลลัพธ์จะไม่เหมือนกัน
ถานจงหลินเห็นว่าตนเองต่อสู้อยู่ในแวดวงนี้มาชั่วชีวิตแล้ว พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง เคยเจอผู้ป่วยหลากหลายระดับความยาก อย่างเคสที่อยู่ในระดับที่เรียกว่าแก้ปัญหาได้ยากเป็นต้น แต่ถึงอย่างไรเสีย ฝีมือก็ยังสู้โรงพยาบาลใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่ได้
แน่นอนว่ามีสาเหตุที่หลากหลายมาก นอกจากสาเหตุที่เกิดจากตนเองแล้ว สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือสภาพแวดล้อม!
ถึงอย่างไรเสีย ผู้ป่วยรอบตัวคุณก็เป็นผู้ชี้ขาดระดับความสามารถของคุณ!
โรงพยาบาลต่างๆ ตามปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น มีจุดเด่นคือเชี่ยวชาญในการรักษาโรคทั่วไปเป็นพิเศษ โรคเจ็บป่วยเล็กๆ น้อย พวกเขาถึงขั้นวิจัยเกี่ยวกับโรคทั่วไปเหล่านี้อย่างจริงจัง
แต่มณฑลตงหยางกลับตรงกันข้าม เป็นมณฑลที่ล้าหลัง ทุกวันนี้สิ่งที่สร้างความพึงพอใจยังคงเป็นแค่การมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีอาหารหล่อเลี้ยง เรื่องอย่างการแสวงหาความสุขทางจิตใจและยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ซึ่งยังไม่ไปถึงขั้นนั้น
เช่นเดียวกันกับการแก้ไขระดับความต้องการขั้นสูงผู้คนในเมืองที่พัฒนาแล้ว ในขณะที่เมืองทั่วไปแก้ปัญหาความต้องการขั้นพื้นฐานของผู้คน
ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
อาจเป็นเพราะเคสรักษาเส้นเอ็นในเมืองหลวง เป็นกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นบุคคลระดับสูงกับผู้ป่วยที่ต้องการผลลัพธ์ในการรักษาที่ค่อนข้างมาก ประสบการณ์ของหมอก็เลยสูงตามไปด้วย
แต่สิ่งที่ผู้ป่วยในมณฑลตงหยางส่วนใหญ่ต้องการได้รับจากการรักษา เป็นเพียงการได้ผลลัพธ์ระดับทั่วไป แค่ไม่กระทบกับการดำรงชีวิตก็พอแล้ว
ผู้ป่วยสองรายที่มีความแตกต่างกันมาก เงินที่จ่ายก็มูลค่าต่างกันมาก ความแตกต่างของทุกสิ่งอย่างที่ใช้ในการผ่าตัดก็ย่อมแตกต่างกันมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
สิ่งนี้มีส่วนทำให้หมอแต่ละท้องที่มีความแตกต่างกันไป ความรู้ความเข้าใจในโรคที่รักษากับความเชี่ยวชาญก็แตกต่างกันออกไป
ต่างฝ่ายต่างมีความเชี่ยวชาญในแวดวงของตนเอง มีทิศทาง มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป
ทันใดนั้นถานจงหลินก็เห็นเฉินชางที่ยืนครุ่นคิดไม่หยุดอยู่ข้างๆ จู่ๆ เขาก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่า เสี่ยวเฉินจะมีอัตราการรักษาหายกี่เปอร์เซ็นต์
เมื่อคิดถึงตรงนี้ถานจงหลินก็หัวเราะตนเองพลางส่ายหน้า เสี่ยวเฉินเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ถ้าอายุมากว่านี้อีกสักสิบปี คงได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในสถานการณ์นี้
ถานจงหลินถอนหายใจออกมา ตนใจร้อนจนเกินไป เด็กหนุ่มต้องจำไว้ให้มั่นว่าอย่าเสนอความคิดเห็นสุ่มสี่สุ่มห้า ถานจงหลินมองว่าเฉินชางเดินมาถูกทางแล้ว ในอนาคตข้างหน้าอย่างน้อยที่สุดก็อยู่ระดับเดียวกันกับหวังอวี้ซาน ฉางหงเหล่ย
สุดท้ายแล้วเมืองอันหยางคงรั้งเขาไว้ไม่อยู่!
หลังจากที่ทุกคนพูดจบแล้ว สิงอวี่ค่อนข้างเคร่งขรึม คนเหล่านี้รับประกันอัตราการรักษาหายสูงสุดอยู่ที่ไม่เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์!
หมายความว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ตนจะเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว!
สำหรับนักเปียโนแล้ว อุบัติเหตุครั้งนี้เหมือนฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย!
นักเปียโนที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างคุณ จู่ๆ ทุกอย่างก็ดับสูญไป ความเจ็บปวดนี้เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าโดนเชือดเนื้อหักกระดูก!
เฉินชางยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น ตนรับประกันอัตราการรักษาหายสูงสุดได้เท่าไหร่
อาจจะสักหกสิบเปอร์เซ็นต์มั้ง
แต่ถ้ารับประกันได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เฉินชางก็จะไม่ลงมือผ่าตัด
ช่างเถอะ เรื่องนี้อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า ไม่เอามอนสเตอร์เส้นเอ็นเลเวลสี่สิบก็ได้ ถึงจะมีระบบค่อยสนับสนุนชี้ทาง แต่ตนก็ยังกังวลว่าจะไม่มีที่ให้หันหลังกลับ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกว่า เฉยๆ ไว้ก่อน จะใจร้อนไม่ได้!
ถึงอย่างไรเสียก็ยังมีเวลาอีกมากไม่ต้องรีบร้อนไป ค่อยไปอวดเก่งตอนสุดท้าย!
สิงอวี่ลังเลอยู่นานมาก เขาปรึกษาหารือกับผู้จัดการส่วนตัวกับรองประธานบริษัท สุดท้ายเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกมากนัก
ตอนนี้แผนการรักษาที่ดีที่สุดยังคงเป็นของหวังอวี้ซาน!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สิงอวี่ก็หัวเราะเสียงเจื่อนออกมา “งั้นผมต้องเลือกแล้วใช่มั้ยครับ”
ทุกคนต่างไม่ส่งเสียงใดๆ พวกเขาเป็นหมอ หน้าที่คือเสนอแผนการรักษา แต่ผู้ป่วยจะเลือกแผนการรักษาของตนหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่ตัวผู้ป่วย
สิงอวี่พยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน เขาโค้งคำนับเล็กน้อย “หัวหน้าทุกท่านครับ รบกวนพวกคุณด้วยนะครับ เตรียมการผ่าตัดเถอะครับ!”
…
…
ถึงอย่างไรเสียการผ่าตัดก็ดำเนินการที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งมณฑล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามถานจงหลินก็ต้องเข้าร่วมผ่าตัด
สุดท้ายรายชื่อแพทย์ผู้ผ่าตัดคือ: หวังอวี้ซานเป็นแพทย์ผู้นำทีมผ่าตัด ฉางหงเหล่ยผู้ร่วมผ่าตัด ถานจงหลินผู้ช่วย
หัวหน้าคนอื่นๆ ชมการถ่ายทอดสดการผ่าตัดอยู่ในห้องประชุม
เฉินชางอยากเห็นการการผ่าตัดของผู้มีฝีมือขั้นสูงว่าเป็นอย่างไร กล่าวตามความจริง เขายังไม่เคยเห็นการเย็บเส้นเอ็นที่ยอดเยี่ยมมากก่อน ไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน
เสียดายที่เข้าไปในห้องผ่าตัดไม่ได้ ถ้าเข้าไปได้จะได้รู้สึกที่สมจริงมากยิ่งขึ้น!
สิ่งที่ได้เรียนรู้ก็คงมากขึ้นด้วย
ขณะที่เฉินชางกำลังจะเดินตามคนอื่นๆ ไปที่ห้องประชุม จู่ๆ ถานจงหลินก็เรียกเขาไว้ “เสี่ยวเฉิน เดี๋ยวคุณไปที่ห้องผ่าตัดกับผม”
คำพูดของถานจงหลินไม่ได้ทำให้หวังอวี้ซานกับฉางหงเหล่ยรู้สึกประหลาดใจ ถึงอย่างไรเสียถานจงหลินก็เป็นเจ้าถิ่น การที่จะเรียกใครเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นี่คงจะเป็นลูกศิษย์เขา
ทว่าถานจงหลินปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของเขาไม่เลวเลยจริงๆ
จังหวะที่หวังอวี้ซานหันไปมองเฉินชาง เขาถึงกับชะงักในทันใด “เอ๊ะ? คุณ…คุณไม่ใช่…ผมค่อนข้างคุ้นหน้าคุณ!”
ระยะเวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ห่างกันประมาณหนึ่งเดือน หวังอวี้ซานค่อนข้างคุ้นหน้าเฉินชาง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน
เฉินชางยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีครับผู้อำนวยการหวัง ผมชื่อเฉินชางครับ”
หวังอวี้ซานตบหน้าขาหนึ่งที สีหน้าปีติยินดีทันใด “นั่นไง ผมก็ว่าทำไมคุ้นหน้าคุณจัง คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันในสถานการณ์เดิม ฮ่าๆ เป็นโชคชะตาจริงๆ!”
เฉินชางหัวเราะ “ผมเลื่อมใสผู้อำนวยการหวังมานานมากแล้ว วันนี้โชคดีได้ดูการผ่าตัดใกล้ๆ เป็นเกียรติมากครับ”
หวังอวี้ซานหัวเราะ “ครั้งที่แล้วที่คุณผ่าตัดเคสนั้นให้พวกผมได้รับชมนั่นสิที่เรียกว่ายอดเยี่ยม! ไปกันครับ ไปห้องผ่าตัดด้วยกัน เป็นผู้ช่วยมั้ยครับ…
…หัวหน้าถานครับ นี่…เสี่ยวเฉินเป็นลูกศิษย์คุณหรือครับ มิน่าเล่าปลูกถ่ายผิวหนังได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้!…”
คำพูดของหวังอวี้ซานทำเอาถานจงหลินถึงสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี
ถานจงหลินหัวเราะ “ผู้อำนวยการหวังเข้าใจผิดแล้วครับ เสี่ยวเฉินเย็บเส้นเอ็นเก่งไม่เลวเหมือนกัน พวกเราติดต่อสื่อสารกับโรงพยาบาลอันดับสองประจำ เสี่ยวเฉินมีศักยภาพมาก ผมให้เขามาดูการผ่าตัด ส่วนเรื่องลงมือผ่าตัดไม่จำเป็น เขายังเด็ก!”
หวังอวี้ซานหัวเราะ เขาเข้าใจความหมายของถานจงหลิน ถานจงหลินอยากจะบอกให้หวังอวี้ซานรู้ว่าเฉินชางก็เย็บเส้นเอ็นเป็น
เด็กหนุ่มที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ทุกคนต่างก็พยายามปกป้องอย่างเต็มที่
เคสผ่าตัดที่มีการถกเถียงกันประเภทนี้ ไม่มีใครยอมให้ลูกศิษย์ของตนเข้าไปร่วมผ่าตัด