บทที่ 260 เป็นเกียรติของคุณ!
จู่ๆ หวังอวี้ซานก็รู้สึกค่อนข้างหมดแรง เป็นความรู้สึกโกรธตนเองที่ถึงเวลาต้องใช้ความรู้แต่ดันมีความรู้ไม่พอ
การเย็บเส้นเอ็นด้วยวิธีของบันเนลล์เป็นวิธีที่มีความซับซ้อนสูงมาก และถ้าไม่ระมัดระวังแม้แต่นิดเดียวก็อาจทำให้เส้นเอ็นเสียหายได้ เพิ่มปัจจัยที่จะทำให้เกิดพังผืดสูงมากขึ้น และภาวะบาดเจ็บระดับสองเช่นนี้จำเป็นต้องใช้วิธีของเคสเลอร์ร่วมด้วยกับวิธีของบันเนลล์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าระดับความยากจะสูงขึ้นขนาดไหน!
หวังอวี้ซานรู้สึกหมดแรงทันใด!
เขากล่าวตามความจริง “ผมทำไม่ได้ วิธีนี้มีระดับความยากสูงมากเกินไป”
เมื่อประโยคนี้ออกจากปากหวังอวี้ซานไป ฉางหงเหล่ยไม่ได้ประหลาดใจมากนัก เพราะเทคนิคแบบนี้ยากอยู่แล้ว ตัวเธอเองก็ทำไม่ได้ หวังอวี้ซานคือความหวังเดียว
ดูแล้วหวังอวี้ซานเองก็ทำไม่ได้!
เมื่อถานจงหลินเห็นว่าทั้งสองมองมาที่ตน เขาก็รีบส่ายหน้าแล้วมองไปที่เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน คุณทำได้มั้ยครับ”
ทั้งสามมองเฉินชางอย่างพร้อมเพรียง
เฉินชางพยักหน้าเล็กน้อย “ผมทำได้ครับ!”
คำว่า ‘ผมทำได้’ ที่เปล่งออกมา ช่างไพเราะเสนาะหูดั่งเสียงแห่งสายลมและนกร้อง
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเฉินชางจะราบเรียบเหมือนบอกว่า ‘ผมกินข้าวแล้ว’ แต่คำพูดนี้ที่เปล่งออกมาสร้างความตกตะลึงราวกับได้ยินคำว่า ‘ผมกินขี้แล้ว’
แน่นอนว่าในสายตาของทั้งสามคน เห็นเฉินชางเป็นแค่หมอหนุ่มไฟแรงที่สุขุมเยือกเย็นไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ราวว่ากับไม่มีเรื่องอะไรที่รับมือไม่ได้จริงๆ
แต่…คำว่า ‘ผมทำได้’ สามคำนี้ กลับเป็นคำพูดที่มีแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจริงๆ
ทว่าถานจงหลินที่เป็นฝ่ายถามเฉินชางกลับพลันหน้าถอดสีทันใด เขารีบขยิบตาส่งสัญญาณเตือนเฉินชาง เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะอวดเก่งอีกแล้วจริงๆ!
รู้อย่างนี้จะไม่ให้เข้ามาในห้องผ่าตัดตั้งแต่แรก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของถานจงหลินก็เต็มไปด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!
สถานการณ์แบบนี้คุณยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง หรือคุณจะบอกว่าไม่ใช่…เฮ้อ!
ใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าเคสผ่าตัดเคสนี้เป็นเคสที่เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว ถ้าทำออกมาได้ดีก็นับว่าสวรรค์คุ้มครอง ถ้าทำไม่ดีก็อย่างที่รู้กันอยู่ ตอนนี้ชีวิตคุณกำลังมีความสุขดี พ่อหนุ่ม คุณจะกระโจนเข้ากองไฟทำไม!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ถานจงหลินอดคิดที่จะโน้มน้าวใจเฉินชางให้ถอยไม่ได้ เขากล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ คุณทำได้จริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะอวดเก่งนะ!”
หวังอวี้ซานก็มองเฉินชางเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาไม่รู้สึกว่าเฉินชางจะเป็นคนประเภทที่ทำอะไรบุ่มบ่ามขาดการยั้งคิดจริงๆ
เฉินชางไม่ใช่คนประเภทที่ทำทุกอย่างเพื่อชื่อเสียง
เมื่อตอนนั้นแค่เปิดโปงฉินเสียง เฉินชางก็สร้างชื่อได้ทันที แต่เฉินชางไม่ทำเช่นนั้น กลับอ่อนน้อมถ่อมตนราวกับเป็นเพียงฝุ่นละออง
แล้วคนอย่างเฉินชางเนี่ยนะ ที่จะลุกขึ้นมาเสนอตัวเพราะอยากอวดเก่ง?
ไม่มีทาง!
หวังอวี้ซานใช้ชีวิตมาห้าสิบกว่าปี สำหรับเรื่องมองคนแล้ว เขามองได้ทะลุปรุโปร่งมาก เขารู้ว่าเฉินชางเป็นคนประเภทสุขุมเยือกเย็น เป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง!
ถ้าคนประเภทนี้บอกว่าทำได้ นั่นก็หมายความว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน!
และ เป็นไปได้ว่าทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังอวี้ซานไม่ลังเล เขายื่นคีมจับเข็มเย็บแผลให้เฉินชาง “เสี่ยวเฉิน คุณมายืนตรงนี้!”
ขณะที่พูดนั้น หวังอวี้ซานก็ก้าวออกจากตำแหน่งผู้นำทีมแพทย์ผ่าตัด เวลานี้แม้แต่สิงอวี่ก็ยังตกตะลึง
ฉิบแล้ว…พวกคุณถอดใจที่จะช่วยผมแล้ว สิงอวี่แทบร้องไห้!
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น เมื่อกี้นี้เขาเห็นและได้ยินกับตา เขารู้ว่าในเวลานี้เฉินชางเป็นความหวังเดียวของเขา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สิงอวี่ไม่เพียงแต่ไม่ต่อว่ากังขา แต่กลับมองเฉินชางด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวขึ้นว่า “คุณหมอ! ฝากด้วยครับ”
เฉินชางหัวเราะ “ครับ คุณปล่อยตัวสบายๆ เลยครับ”
สิงอวี่: ผมโดนฉีดยาชา ผมจะปล่อยตัวสบายๆ ยังไงครับหมอ…มือผมตอนนี้ชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว โอเคมั้ยครับ
หลังจากที่เฉินชางรับคีมจับเข็มเย็บแผลมาแล้ว เขาก็กล่าวกับฉางหงเหล่ย รวมทั้งถานจงหลินว่า “ช่วยจับเส้นเอ็นไว้นะครับ แต่อย่าออกแรงดึงนะครับ”
ทั้งสองพยักหน้า
เฉินชางเริ่มทำตามขั้นตอนของเขาเอง
ถานจงหลินยังค่อนข้างเป็นห่วง เขารู้ว่าเฉินชางมีศักยภาพจริงๆ แต่…เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฉินชางจะเก่งไปหวังอวี้ซาน
ถ้าบอกว่าเฉินชางเป็นจอมยุทธ์แห่งยุทธจักร งั้นหวังอวี้ซานก็เป็นปรมาจารย์ในยุคนั้น!
เรียกได้ว่าห่างชั้นกันมาก!
แต่กระบวนท่าในการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางในขั้นตอนต่อไปทำเอาถานจงหลินถึงรู้สึกว่าตนช่างโง่เขลา
เฉินชางใช่จอมยุทธ์แห่งยุทธจักรที่ไหนกัน
เขาคือต๊กโกวคิ้วป้าย[1]!
ถานจงหลินรู้สึกยากจะยอมรับ
กล่าวให้ถูกต้องสักหน่อยคือนี่เป็นครั้งที่สามที่ถานจงหลินเห็นเฉินชางเย็บเส้นเอ็น ทั้งสามครั้งที่ได้เห็นล้วนเปิดมุมมองใหม่ให้กับถานจงหลินทุกครั้ง!
ครั้งแรกคือตอนที่เฉินชางเย็บเส้นเอ็นให้กับอู๋กัง ถานจงหลินกล่าวตามความจริงว่าเจ้าเด็กคนนี้ทำให้นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย! ฝีมือเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางในครั้งนั้นเรียกได้ว่ามีฝีมือระดับสูง
ครั้งที่สองเฉินชางเย็บเส้นเอ็นให้จางเค่อฉิน ในครั้งนั้นถานจงหลินรู้สึกได้เลยว่าฝีมือเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเก่งกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ! และในครั้งนั้นเรียกได้ว่ามีฝีมือระดับปรมาจารย์แล้ว!
ส่วนครั้งที่สามก็คือครั้งนี้ ฝีมือการเย็บเส้นเอ็นของเฉินชางก้าวเข้าสู่ระดับตกผลึกเคล็ดวิชา ถึงกับดึงจุดเด่นของแต่ละวิธีออกมาประยุกต์ใช้ได้อย่างชาญฉลาด ครั้งนี้เฉินชางมีแนวโน้มว่ามีฝีมือจะอยู่ในระดับสมบูรณ์แล้ว!
ไม่นานเฉินชางก็เย็บเส้นเอ็นเส้นแรกเสร็จสมบูรณ์!
ทั้งสามถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ!
เย็บได้ล้ำเลิศมากจริงๆ!
คนที่นำวิธีเย็บเส้นเอ็นทั้งสองมาใช้ได้ถึงระดับนี้ พบได้น้อยจริงๆ ไม่! ต้องเรียกว่าหายากเลยละ!
น้อยมากที่ทุกคนจะตั้งใจเรียนรู้วิธีเย็บเส้นเอ็นทุกวิธี คนส่วนใหญ่แค่เรียนรู้วิธีเย็บเส้นเอ็นวิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น ยังไม่เคยเห็นคนที่เข้าใจวิธีการเย็บเส้นเอ็นแต่ละวิธีได้แตกฉานถึงเพียงนี้แบบเฉินชางมาก่อน
นี่คือศักยภาพอย่างหนึ่ง!
เมื่อทั้งสามคนคิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็ค่อนข้างรู้สึกชื่นชมจากใจ!
หวังอวี้ซานทำเสียงจึ๊ๆ ด้วยความชื่นชม ถึงแม้ว่าจะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ฉางหงเหล่ยหันไปมองด้วยความสงสัย เป็นไปได้ว่าน้ำลายอาจจะไหลออกมาแล้ว?
ดูเหมือนว่าหวังอวี้ซานจะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของฉางหงเหล่ย เขามองเฉินชาง “เสี่ยวเฉิน เส้นเอ็นเส้นต่อไปคุณวางแผนยังไงครับ”
เฉินชาง : เย็บด้วยไหมเย็บเส้นเอ็นครับ
แน่นอนว่าเฉินชางรู้ว่าหวังอวี้ซานไม่ได้ถามในส่วนนี้ เขาใช้แหนบคีบเส้นเอ็นเส้นที่ทำหน้าที่งอนิ้วไว้อย่างระมัดระวัง อธิบายว่า “เส้นเอ็นเส้นนี้ใช้วิธีเย็บเส้นเอ็นของไคลเนิร์ทครับ วิธีนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ส่งผลกระทบกับระบบหมุนเวียนเลือดน้อย และที่สำคัญที่สุดคือ วิธีนี้ทำให้เส้นเอ็นคงความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งตรงจุดนี้ค่อนข้างห่างจากตำแหน่งเอ็นแผ่ฝ่ามือด้วย ทำให้โอกาสเกิดพังผืดค่อนข้างต่ำ วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างดีวิธีหนึ่ง”
หลังจากที่เฉินชางตอบไปแล้ว หวังอวี้ซานก็พึมพำอยู่ในใจ วิธีเย็บเส้นเอ็นของไคลเนิร์ทพบเห็นน้อยมาก…หรือว่าแม้แต่วิธีนี้เฉินชางก็ศึกษาวิจัยแบบเจาะลึกมาแล้ว
ทันใดนั้นเฉินชางก็ให้คำตอบกับเขา!
ไม่ใช่แค่ศึกษาวิจัยธรรมดาๆ แล้ว แต่ศึกษาวิจัยจนทะลุปรุโปร่ง!
กระบวนท่าในการเย็บแผลของเฉินชางดูพลิ้วไหวมาก ไม่ว่าจะเป็นการเย็บผิวหนังในวันนั้น หรือจะเป็นการเย็บเส้นเอ็นในวันนี้ ช่างงดงามชวนมองจริงๆ!
นี่เป็นความรู้สึกของหวังอวี้ซาน!
เมื่อถึงตอนที่ต้องเย็บเส้นเอ็นเส้นสุดท้าย ทุกคนต่างไม่ถามเฉินชางแล้วว่าจะเย็บด้วยวิธีไหน เพราะถามไปก็เท่านั้น!
เฉินชางลงมือเย็บทันที!
ใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง การเย็บเส้นเอ็นเสร็จสิ้น!
สิงอวี่ถามหวังอวี้ซานอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าหวาดกลัว “หัวหน้าครับ…ผม…ยังเล่นเปียโนได้อยู่หรือเปล่าครับ”
หวังอวี้ซานสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“คุณสิงครับ คุณได้เจอกับบุคคลผู้ทรงเกียรติแล้วจริงๆ ถ้าไม่มีหมอเสี่ยวเฉิน คุณต้องไปรักษาที่ต่างประเทศแล้ว ในตอนแรกผมยังคิดอยู่เลยว่าโอกาสเย็บซ่อมแซมเส้นเอ็นสำเร็จมีไม่สูงนัก แต่ตอนนี้ผมจะบอกคุณว่า ขอแค่มือของคุณฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โอกาสกลับมาเป็นปกติมีสูงถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์!…
…เพราะ…การเย็บซ่อมแซมเส้นเอ็นในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากครับ!”
[1] ต๊กโกวคิ้วป้าย หนึ่งในตัวละครที่อยู่ในนวนิยายกำลังภายในของกิมย้ง ยอดฝีมืออายุน้อยผู้คิดค้นสุดยอดวิชาเก้ากระบี่เดียวดาย