บทที่ 341 เหยียนหมิงลาออกแล้ว
บางคนอาจคิดว่าหากอยู่ในงานทางด้านคลินิกนานวันเข้าจะรู้สึกเฉยชากับชีวิต แต่ความเป็นจริง ความเฉยชานั้นไม่ได้มีต่อชีวิต แต่เป็นความเฉยชาที่มีต่อความสิ้นไร้หนทางในการช่วยเหลืออย่างเช่นตอนนี้
แต่ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ในตอนที่คุณเผชิญหน้ากับชีวิตที่กำลังหลุดลอยไป ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกอยากคว้าจับชีวิตที่กำลังลอยออกไปนั้น…ความอยากช่วยเหลือแต่กลับไร้ความสามารถจะทำได้ ความรู้สึกเช่นนั้น…มันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
เหยียนหมิงไม่พูดอะไร ปล่อยให้เลือดกำเดาไหลลงบนเสื้อ เขาไม่คิดสนใจมัน ปล่อยให้ไหลหยดลงบนเสื้อกาวน์สีขาว
อารมณ์นับร้อยผสมปนเป
เขานั่งอยู่ที่นั่น ดวงตาทั้งสองไร้ประกาย ความคิดและอารมณ์หมุนวนไปนับพันหมื่น
ในสมองย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบสามสิบปีมานี้ไม่หยุดหย่อน เขาในเมื่อก่อนก็เหมือนกับเฉินชาง สดใส คิดในแง่บวก กระตือรือร้น หมกมุ่นกับทุกชีวิต แต่เขาก็ค่อยๆ พบว่าความสามารถของตนเองน้อยลงเรื่อยๆ
เฉื่อยชาหรือ
เกียจคร้านหรือ
หรือว่าหัวใจด้านชาไปแล้ว
ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่ก็ใช่ทั้งหมดเหมือนกัน
ภาพอดีตยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาปรากฏหมุนวนในสมองไม่หยุด
ข้อพิพาททางการแพทย์ที่เกิดเมื่อตอนนั้น เขา เหยียนหมิงทำผิดหรือ
ก็ผิด!
แต่ในวงการแพทย์ จะมีเส้นแบ่งระหว่างความถูกผิดที่ชัดเจนขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือ
เหยียนหมิงในเมื่อก่อนเคยคิดว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการช่วยคนอีกแล้ว หากถามว่ากฎระเบียบสำคัญหรือไม่ ตอนนั้นเขาคิดจริงๆ ว่ากฎระเบียบหลายอย่างเป็นสิ่งเกินความจำเป็น กฎระเบียบเหล่านี้ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการกู้ชีพและการช่วยเหลือทางการแพทย์ตามปกติด้วยซ้ำ
ภายหลังจึงค่อยค้นพบว่า อันที่จริงแล้วระเบียบข้อบังคับเหล่านี้มีไว้เพื่อใช้ปกป้องคนเป็นแพทย์อย่างตน
เมื่อเห็นร่างกายอันทรุดโทรมของเฉินชาง ความรู้สึกผิดระลอกหนึ่งก็พลันท่วมท้นไปทั้งหัวใจของเหยียนหมิง
เขารู้สึกผิด แต่ไม่ใช่เพราะผู้ป่วยตาย
หัวใจวายกำเริบเฉียบพลันเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้ คนที่ตายในโรงพยาบาลก็มีมากมาย
เขารู้สึกผิดที่เมื่อตนมายังแผนกฉุกเฉินแล้ว กลับไม่ได้ทำเรื่องที่หมออาวุโสคนหนึ่งสมควรกระทำเลย
ตนเองเคยถูกทำร้ายมาก่อน เคยรู้สึกถึงความอยุติธรรม ทำให้การงานเริ่มหย่อนยาน แต่ว่า…ตนไม่สมควรนำอารมณ์เหล่านี้มาแปดเปื้อนหมอรุ่นใหม่พี่จะมารับช่วงต่อเหล่านั้นเลยจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหยียนหมิงก็นั่งลงบนพื้น พิงไปกับเตียงผู้ป่วย ถอนหายใจออกมายาวนาน
เวลาไหลย้อน เหยียนหมิงรู้สึกราวกับตนเองย้อนกลับไปในห้องฉุกเฉินเมื่อปีนั้น…ข้อพิพาทในคราวนั้นทำร้ายหัวใจของเหยียนหมิงมากจริงๆ
เดิมทีก็เป็นการกู้ชีพที่ไม่สำเร็จครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นเขายังเยาว์เกินไป ยังมีความคะนองของวัยหนุ่ม เขาจึงไม่อยากยอมแพ้…
น่าเสียดาย…น่าเสียดาย…
สุดท้ายก็ถูกลงโทษ
จะอย่างไรเหยียนหมิงก็คิดไม่ถึงว่าตนจะเป็นฝ่ายผิด ใบอนุญาตถูกระงับเป็นเวลาสองปี โรงพยาบาลต้องชดเชยเงินจำนวนหนึ่ง แผนกก็ต้องชดเชยเงินอีกจำนวนหนึ่ง
สำหรับเหยียนหมิงที่ยังหนุ่ม เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!
มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ ช่วยคนเป็นสิ่งผิดหรือ
……
สองปีนี้เขาทำอะไรไปมากมาย แต่ยังไม่กล้าเข้าใกล้ปฏิบัติการทางคลินิก จนกระทั่งสองปีต่อมา หัวหน้าแผนกคนเก่าก็เปิดรับสมัครแพทย์ ทำให้เขาได้กลับมาทำงาน
แต่ในตอนนั้นเหยียนหมิงสูญเสียหัวใจของหมอที่เคยมีในวันวานไปแล้ว
เขาสิ้นหวัง สิ้นหวังกับผู้ป่วย สิ้นหวังกับระบบ สิ้นหวังกับตนเอง
งานต่อมาเหยียนหมิงก็ทำไปอย่างระมัดระวัง สลัดความรับผิดชอบได้ก็จะทำ ไม่หาเรื่องได้ก็จะไม่หาเรื่อง แต่ในตอนที่หมัดของเฉินชางซัดเข้ามา ทำให้เหยียนหมิงมองเห็นตนเองตอนยังหนุ่มได้อย่างชัดเจน เขาเห็นภาพสะท้อนของความขุ่นเคืองและไม่พอใจที่ตนมีต่อคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่ยอมทำอะไรในตอนนั้น
คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกต่ำจนมาถึงจุดนี้ได้
เมื่อเหยียนหมิงคิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะขื่นออกมาหลายครั้ง
ช่างเหอะ…บางทีตั้งแต่ที่ออกไปตอนนั้น เขาคงไม่เหมาะจะเป็นหมอแล้วละมั้ง
ก็เหมือนกับที่เฉินชางพูด เขาคู่ควรหรือ
เหยียนหมิงส่ายหน้า บางทีด้วยสภาพในตอนนี้ของตน คงไม่คู่ควรจริงๆ!
……
……
บางคนอาจกล่าวว่า ทำไมตอนเฉินชางตรวจเยี่ยมผู้ป่วยถึงไม่ตรวจผู้ป่วยของคนอื่น นั่นเป็นเพราะเขาตรวจไม่ได้!
ทุกคนที่เคยแอดมิดในโรงพยาบาลจะรู้เรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือคุณและเพื่อนเตียงข้างๆ ไม่ได้มีแพทย์ผู้รับผิดชอบคนเดียวกัน ในตอนที่หมอของคุณตรวจเยี่ยมผู้ป่วยจะไม่ถามผู้ป่วยอื่นมากเกินไป คำพูดคำจาก็ระมัดระวัง ปกติก็จะคุยเรื่องกว้างๆ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
อย่างแรกเป็นเพราะหมอไม่รู้จักผู้ป่วย ไม่เข้าใจอาการของผู้ป่วย จะทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย
อย่างที่สองก็คือ หมอมีแผนการรักษาและแนวคิดเกี่ยวกับการรักษาเป็นตนเองซึ่งอาจไม่เหมือนกัน ผู้ป่วยหลายคนเมื่อป่วยขึ้นมามักจะเป็นกังวล ไม่ว่าใครก็อยากจะถามดูสักหน่อย นั่นก็อยากถาม นี่ก็อยากถาม สุดท้ายจะทำให้เกิดความไม่เชื่อถือต่อแพทย์เจ้าของไข้ ทำให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยได้
สุดท้ายอาจทำให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจระหว่างหมอสองคน
ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน หัวใจของคนเราก็ยิ่งซับซ้อน
ในแผนกฉุกเฉิน ฝ่ายอายุรกรรมและฝ่ายศัลยกรรมจะร่วมมือกันตอนที่ต้องกู้ชีพเท่านั้น ยามปกติก็ต่างคนต่างดูแลคนไข้ของตัวเอง
……
……
ผู้ป่วยเกิดเรื่องในห้องน้ำของโรงพยาบาล สรุปแล้วเป็นความรับผิดชอบของใครกันแน่ ลูกสาวสามคนและลูกชายหนึ่งคนรู้เรื่องนี้ก็โศกเศร้าสุดเปรียบ แต่ทันใดนั้นลูกชายก็ก้าวออกมา ทวงถามคำอธิบาย
ทำไมหมอและพยาบาลถึงพบตัวไม่ทันเวลา
คำอธิบายของฉางลี่น่าชัดเจนมาก การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้นจะมีพยาบาลไปตรวจดูชั่วโมงละสองครั้ง ซึ่งในขณะที่แอดมิทจะต้องให้ญาติผู้ป่วยช่วยมาเฝ้าดูแลด้วย…เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่
ในตอนที่ผู้ป่วยแอดมิดอยู่ในโรงพยาบาล ญาติผู้ป่วยมักจะคิดว่าผู้ป่วยคงไม่มีปัญหาอะไร อยู่สังเกตการณ์ในห้องผู้ป่วยธรรมดาก็พอแล้ว มักจะปฏิเสธย้ายไปอยู่ในห้อง ICU ถึงกับยอมเซ็นชื่อลงนามในหนังสือแจ้งเตือนและยินยอม เซ็นชื่อในหนังสือรับทราบเรื่องระเบียบการเฝ้าระวัง ไม่ว่าอะไรก็ยอมเซ็นทั้งหมด
ต้องทราบว่าค่าห้อง ICU อยู่ที่วันละพันถึงสองพันหยวน ราคาแพงมาก ส่วนการเฝ้าดูแลระดับต้นจะมีราคาหลายสิบหยวนต่อวัน แตกต่างกันมากเลยทีเดียว
หากอยู่ในห้อง ICU จะมีพยาบาลคอยเฝ้าอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งพยาบาลก็จะอยู่ในห้องสังเกตการณ์ของห้องผู้ป่วย พร้อมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทุกเวลา เมื่อเทียบกันแล้ว แม้บริการชั้นหนึ่งจะเข้มงวดกว่าบริการชั้นสอง แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
ตอนแรกลูกสาวคนโตและลูกชายของผู้ป่วยทำเรื่องแอดมิดให้ผู้ป่วยด้วยกัน ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบเฝ้าดูแลก็คือลูกสาวคนโตและลูกชายนั่นเอง ระเบียบการเฝ้าระวังถูกอธิบายออกมาจนหมด ฉางลี่น่าตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสองครั้งภายในหนึ่งชั่วโมงจริงๆ อีกทั้งยังทำอย่างขยันขันแข็งและทุ่มเทมากด้วย
แต่หลังจากที่ญาติผู้ป่วยเซ็นชื่อรับทราบในใบแจ้งแล้วกลับไม่ยอมรับผิดชอบหน้าที่ดูแลของตนให้ดี
เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เดิมทีลูกชายคิดว่าพ่อของตนคงไม่เป็นอะไรจึงกลับบ้านไป
แต่ว่า…
เขาควร…ควรจะ…น่าเสียดาย บนโลกใบนี้มีคำว่า ‘ควรจะ’ มากมายขนาดนั้นที่ไหนกัน
พริบตานั้น คนทั้งครอบครัวก็เงียบลง ไม่พูดอะไรตลอดคืน…
วันต่อมา เรื่องนี้ก็ค่อยๆ คลี่คลายไปได้ในที่สุด มีฝ่ายกิจการแพทย์เข้ามาดูแล ความรับผิดชอบสุดท้ายของเรื่องในคราวนี้อยู่ที่ญาติผู้ป่วย
แม้ญาติผู้ป่วยจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องรับศพผู้ป่วยออกไป
……
……
มีคนตายในแผนกฉุกเฉินไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่หากมีข้อพิพาททางการแพทย์ถึงจะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ อาจมีข้อมูลบางอย่างที่ทุกคนไม่รู้ชัด จำนวนผู้ป่วยที่แผนกฉุกเฉินกู้ชีพกลับมาได้ในแต่ละปี…มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!
เวชศาสตร์ฉุกเฉิน[1]เป็นหัวข้อที่สังคมในปัจจุบันให้ความใส่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่ ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศ
หลังจากแลกเวรแล้วเฉินชางก็ยังไม่ได้กลับไป ถึงอย่างไรก็มีผู้ป่วยเสียชีวิต จะต้องอภิปรายและจดบันทึกเกี่ยวกับการเสียชีวิตด้วย
ทุกอย่างทำไปตามขั้นตอน จนกระทั่งถึงเวลาสิบโมงเช้า ก็มีข่าวหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งแผนกฉุกเฉิน
“เหยียนหมิงลาออกแล้ว!”
ทุกคนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตามมาด้วยความเงียบงัน
ไปก็ไปเถอะ!
ฉางลี่น่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไปก็ไปเถอะ อยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์”
คนนอกแผนกฉุกเฉินไม่ได้วิจารณ์อะไรมากมาย ส่วนเฉินชางก็แค่ชะงักไปเล็กน้อย
[1] เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (แพทยศาสตร์) หรือ การแพทย์ฉุกเฉิน (นิติศาสตร์) (emergency medicine) เป็นการแพทย์เฉพาะทางที่มุ่งเน้นการวินิจฉัยและรักษาความเจ็บป่วย หรือการบาดเจ็บที่เกิดฉับพลันและต้องการความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน