บทที่ 366 ความกดดันยิ่งสูง อารมณ์ก็ยิ่งมา
เช้าวันจันทร์ เฉินชางสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่แตกต่างออกไปจากยามปกติ นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินชางโหยหาการมาทำงานที่แผนกฉุกเฉินถึงเพียงนี้
เขาหยิบมือถือออกมาดูข้อความที่เขาแชทคุยกับฉินเยว่ รู้สึกเหมือนตัวเองยังตกอยู่ในเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะตอนเห็นข้อความที่ฉินเยว่ส่งมาให้เขาเป็นครั้งแรก มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจ
“ตาทึ่ม คุณเป็นคนของฉัน ต่อไปก็รู้จักตักตวงซะบ้างสิ!”
เฉินชางเห็นข้อความนี้ก็ยิ้มออกมา
……
เจ็ดโมงเช้า แผนกฉุกเฉินวุ่นวายประหนึ่งตลาดสด
เช้าวันจันทร์เป็นการเริ่มต้นความวุ่นวายของสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นการจราจรที่คับคั่งหรือจะเป็นขนส่งสาธารณะอันแน่นขนัดก็ตาม กระทั่งแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองก็ยังยุ่งวุ่นวายสุดเปรียบ
ผู้คนมาทำงานอย่างเร่งร้อน นี่ทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย การกระทบกระทั่งกันก็มีให้เห็นมากมาย
หวังหย่งไม่มีคาถาแยกร่าง แผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยมารอคิวอยู่เจ็ดแปดคนแล้ว ในแผนกก็ยุ่งไม่ต่างกัน
การมาถึงของเฉินชางทำให้ทุกคนผ่อนคลาย กระทั่งเหล่าพยาบาลก็เช่นกัน เมื่อพวกเธอเห็นเฉินชางก็รู้สึกราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต
“หมอเสี่ยวเฉิน คุณมาแล้ว!” เสี่ยวหลินยังไม่ออกเวรดึก เมื่อเห็นเฉินชางก็รีบพูดขึ้นทันที “ทางนี้มีผู้ป่วยรอตรวจอยู่หลายคนเลยค่ะ”
เฉินชางเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นจึงเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องสำหรับเปลี่ยนชุดแล้วเริ่มงานประจำวันของตน
[ติ๊ง! กระตุ้นภารกิจประจำวัน วินิจฉัยอาการให้ผู้ป่วย 10 คน หากสำเร็จจะได้รับถุงนำโชค 1 ชิ้น]
เฉินชางกดรับภารกิจแล้วเดินมาข้างๆ แม้จะเป็นภารกิจประจำวันธรรมดา แต่เขากลับรู้สึกคล้ายมีบางอย่างแตกต่างจากปกติ
ตรวจอาการให้ผู้ป่วยสิบคนไม่ยากเท่าไหร่
หรือเขาจะคิดมากไปเอง
คิดพลางเฉินชางก็เดินไปยังห้องตรวจ เตรียมตัวอย่างอดทน
……
……
ปีนี้อู๋อวี้ซู่อายุห้าสิบสองแล้ว เป็นช่วงวัยที่กล่าวได้ว่า บนมีพ่อแม่ ล่างมีลูกหลาน กลางมีภรรยา
มีคนพูดว่าผู้ชายวัยห้าสิบเป็นช่วงวัยที่ขีดเส้นชะตากรรมของตัวเอง อู๋อวี้ซู่ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดนี้นัก แม้เขาอายุห้าสิบสองแล้วแต่ยังไม่กล้ากำหนดชะตากรรมของตัวเองหรอก เพราะเขารู้สึกกดดันหนักมาก
มารดาอายุแปดสิบกว่าปีเพิ่งผ่าตัดมา ต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง เดี๋ยวเดียวลูกชายก็จะแต่งงานอีกแล้ว ต้องซื้อเรือนหอราคาร่วมสามล้านหยวน ใช้เงินดาวน์หนึ่งล้าน เงินจำนวนนี้ก็ขุดเอาจากเงินที่เขาเก็บสะสมมาหลายปี
เมื่อซื้อเรือนหอแล้วก็ต้องตกแต่งอีก หากจะแต่งงานก็ต้องมอบเงินสินสอดให้เจ้าสาว เตรียมสินสอดแล้วก็ต้องเตรียมจัดงานแต่งงานต่อ ไปๆ มาๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น
อู๋อวี้ซู่รู้สึกเหมือนหัวตัวเองจะระเบิด! เอาแต่คิดหดหู่ทั้งวัน
หากคนเรารู้สึกกดดันมากเข้าก็ย่อมทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย ทำให้อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย คุมอารมณ์ได้ไม่ดี
อู๋อวี้ซู่ก็เป็นเช่นนี้เอง เดิมทีเขาเป็นข้าราชการตำแหน่งเล็กๆ ในหน่วยงานแห่งหนึ่ง ต้องปั้นหน้านิ่งทั้งวัน ไม่มีใครพูดดีๆ กับเขาสักคน พอกลับมาถึงบ้านภรรยาและลูกชายเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็ไม่กล้าเข้ามาพูดด้วย
ภรรยายิ่งแล้วใหญ่ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็กลัวเขาโกรธ หากโกรธขึ้นมาคงทะเลาะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็สะสมไปทีละน้อยจนสุดท้ายก็คิดว่าช่างมันเถอะ ทำให้การสื่อสารประจำวันระหว่างพวกเขาลดน้อยลงมาก
ลูกชายซื้อเรือนหอ พ่อแม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่าย ไม่ทราบว่านี่กลายเป็นความคิดกระแสหลักของสังคมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงแม้เหล่าอู๋จะไม่พอใจแต่คิดดูแล้วก็ยังทนไม่ไหว ลูกผู้ชายอย่างเขา เหนื่อยก็เหนื่อยไปเถอะ
เช้าวันนี้ตอนเขาตื่นขึ้นมา อยู่ๆ ก็รู้สึกใจหวิวๆ จนทนไม่ไหว!
เขารู้สึกหน่วงๆ บริเวณหน้าอก เหมือนหายใจไม่ออกและเจ็บที่หน้าอกเล็กน้อย
พอลุกขึ้นนั่ง เขาก็รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นบ้าง แต่พอนอนลงอีกครั้งก็ทรมานจนทนไม่ไหว ตอนแรกเขาคิดจะนอนอีกสักครู่ แต่พอรู้สึกเช่นนี้เลยต้องรีบลงจากเตียง
อาจเป็นเพราะช่วงนี้กดดันเกินไป เป็นเพราะสูบบุหรี่มากไปหรือเปล่า
ภรรยาเห็นท่าทีผิดปกติของอู๋อวี้ซู่ก็รีบถามว่า “เป็นอะไรคะ เหล่าอู๋ ไม่สบายหรือ”
อู๋อวี้ซู่ลูบหน้าอก ลังเลไปครู่หนึ่ง “รู้สึกหน่วงตรงหน้าอกน่ะ เกิดอะไรขึ้นผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมหายใจลำบาก พอลุกขึ้นนั่งก็ดีขึ้น แต่พอนอนก็อึดอัดจนทนไม่ไหว!”
ภรรยาก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน แต่เป็นเพราะนิสัยที่ติดตัวมาจากการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นเวลานานจึงทำให้เธออดตำหนิไม่ได้ “ใครให้คุณสูบบุหรี่ล่ะคะ สูบมากขนาดนั้น ไม่เป็นอะไรก็แปลกแล้ว!”
อู๋อวี้ซู่ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาสูบบุหรี่มากเกินไปก็ได้!
ต่อไปก็สูบให้น้อยหน่อยแล้วกัน
ส่วนเรื่องที่ภรรยาบ่น อู๋อวี้ซู่พอเข้าใจได้
อู๋อวี้ซู่คิดว่าตนเองรู้จักสภาพร่างกายของตนอยู่บ้าง อาการนี้คงเป็นสักวันสองวัน ผ่านไปช่วงหนึ่งอาจจะกำเริบขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ปล่อยไปสักสองสามเดือนก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
เมื่อถึงเวลาอาหารเช้า อู๋อวี้ซู่ก็ไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกว่าระยะนี้เขาทั้งเหนื่อยและล้า รู้สึกเหมือนท้องอืด อาหารไม่ย่อย
อู๋อวี้ซู่ทอดถอนใจออกมา เขาอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายถดถอยจริงๆ แย่ลงทุกวัน อยากพักผ่อนก็พักผ่อนไม่ได้เพราะภาระที่ต้องแบกรับไว้ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
อีกเดี๋ยวจะต้องเดินทางผ่านโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนนั้นก็ให้หมอตรวจสักหน่อยแล้วกันว่าเป็นอะไร หากเป็นอะไรขึ้นมา ซื้อยาไปกินก็น่าจะพอ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู๋อวี้ซู่ก็ไม่สนใจกินข้าวเช้าอีก เขารีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วออกเดินทางทันที เมื่อถึงทางที่ต้องผ่านโรงพยาบาลอันดับสองก็รีบแวะไปที่แผนกฉุกเฉิน ไปตรวจดูหน่อยว่ากระเพาะอาหารมีปัญหาหรือเปล่า หรือบางทีอาจเป็นโรคเก่า
ขณะที่อู๋อวี้ซู่กำลังต่อคิวอยู่นั้นก็มีคุณลุงคนหนึ่งเดินมาด้านหลัง คุณลุงคนนั้นอายุเจ็ดแปดสิบปี ผมขาว ใบหน้ามีริ้วรอยเหมือนคนแก่ตามปกติ เขาสวมชุดออกกำลังกาย ท่าทางกระฉับกระเฉง ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยพลัง ท่าทางการเดินก็ดูมั่นคง
ภาพนี้ทำให้อู๋อวี้ซู่ตาเป็นประกาย อดอิจฉาไม่ได้
เขาลูบท้องของตัวเองแล้วทอดถอนใจออกมา
เฮ้อ…
ถ้าตอนอายุเจ็ดแปดสิบแล้วแข็งแรงเช่นนี้จะดีขนาดไหนนะ
ทำงานอีกสองปีแล้วรีบเกษียณเถอะ!
ความคิดนี้เพิ่งจะปรากฏ ก็ถูกอู๋อวี้ซู่สะบัดทิ้งทันที จะเกษียณไม่ได้ เขาแบกภาระค่าเรือนหอของลูกชายอยู่อีกหลายล้าน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลมหายใจของอู๋อวี้ซู่ก็กระชั้นถี่ยิ่งขึ้นจนไอออกมา
ในตอนนี้เอง ชายชราคนนั้นก็เดินมานั่งข้างอู๋อวี้ซู่ เมื่อเห็นท่าทางของอู๋อวี้ซู่ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
นี่ทำให้อู๋อวี้ซู่รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณลุงสุขภาพดีจังเลยนะครับ”
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากลังเลไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “อายุมากแล้วก็ต้องใส่ใจสุขภาพสักหน่อย คุณก็ด้วยนะครับ”
อู๋อวี้ซู่พยักหน้า “ครับ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยรีบมาหาหมอ อายุขนาดผม มีทั้งพ่อแม่ลูกหลานให้ดูแล ไม่กล้าป่วยหรอกครับ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้อู๋อวี้ซู่ก็หัวเราะกับตัวเอง
เขารู้สึกเหมือนกับว่าตอนที่อยู่กับคนคุ้นเคยกลับยิ้มไม่ออก แต่เมื่ออยู่กับคนแปลกหน้ากลับพูดคุยยิ้มแย้มออกมาได้
ชายชราพยักหน้า “มาก็ดีแล้วครับ ตรวจดูหน่อย ให้หมอดูอาการให้ดี อย่าได้ปล่อยปละละเลย อาการแบบนี้ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก”
อู๋อวี้ซู่ส่ายหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมรู้จักร่างกายของตัวเองดี น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้ผมสูบบุหรี่มากไปหน่อยและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ระบบย่อยอาหารก็ไม่ดี จนทำให้พุงยื่นแล้วเนี่ยครับ”
ชายชราเห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ทอดถอนใจออกมา สุดท้ายก็อดเตือนไม่ได้ “ในเมื่อมาแล้วก็ฟังคำพูดของหมอให้ดีเถอะครับ โอเคไหม”
อู๋อวี้ซู่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาคิดว่าลองตรวจดูก่อนแล้วค่อยซื้อยา จากนั้นก็กลับไปทำงานได้แล้ว