บทที่ 392 ขอโทษ…ผิดไปแล้ว!
วันต่อมาเฉินชางและฉินเยว่ไปทำงานตามปกติ แต่ละคนก็คิดในใจว่าจะต้องเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายให้ได้
ช่วงเวลาแลกเวร สายตาที่ทั้งสองใช้มองกันแฝงไปด้วยประกายและรอยยิ้ม
มนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้เอง ตอนมีความรักมักซ่อนความลับไม่อยู่ มีข่าวดีอะไรก็อยากแบ่งปันกับอีกฝ่าย
ความรักในที่ทำงานของเฉินชางและฉินเยว่ยังไม่ถูกเปิดเผยให้คนอื่นรู้ อีกอย่างเฉินชางถึงขั้นคิดแล้วว่าการแอบคบกันแบบนี้ ตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย!
ทว่า…เหล่าเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ เฉินชางเห็นสายตาลับๆ ล่อๆ ของเฉินชางและฉินเยว่ชัดเจนจนเกิดสงสัยขึ้นมาแล้ว
ต้องทราบว่าเหล่าเฉินดูแลเฉินชางมาเกือบสามปี ดูแลเหมือนกับลูกศิษย์คนหนึ่ง จะไม่เข้าใจเฉินชางได้อย่างไร
เมื่อแลกเวรเสร็จ เหล่าเฉินก็ยิ้มแปลกๆ ให้เฉินชาง จนเฉินชางกระสับกระส่าย
“ลูกพี่! คุณก็แต่งงานแล้ว…อย่ามามองผมแบบนี้สิ มองจนผมหลอนไปหมดแล้วเนี่ย! ระวังเถอะผมจะไปบอกภรรยาคุณ…”
เฉินปิ่งเซิงใช้ฝ่ามือตบหัวเฉินชางเบาๆ “เด็กบ้าเอ๊ย เดี๋ยวจะตีให้ตาย! เลิกงานแล้วอย่าเพิ่งไปไหนนะ กินข้าวเป็นเพื่อนผมก่อน ผมมีอะไรถามคุณหน่อย”
พูดจบเฉินปิ่งเซิงก็รีบร้อนเดินไปที่ห้องผ่าตัดโดยไม่สนใจต่อปากต่อคำกับเฉินชางอีก
ช่วงนี้เฉินปิ่งเซิงค่อนข้างยุ่ง ตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างแผนกฉุกเฉินและแผนกศัลยกรรมทั่วไปพัฒนาจากแปลกหน้าเป็นสงครามเย็นจนมาถึงขั้นคลุมเครือในทุกวันนี้ การผ่าตัดของเหล่าเฉินก็มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยของแผนกศัลยกรรมทั่วไป
เฉินปิ่งเซิงเห็นเฉินชางก้าวหน้าไปทีละก้าวด้วยตาตัวเอง นี่ทำให้เขาดีใจที่สุดแล้ว ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเหมือนลูกศิษย์ที่ติดตามตนเอง หากมีอนาคตตั้งตัวได้ย่อมดีที่สุด
เฉินชางหัวเราะ “ฮ่าๆ ไปด้วยกันสิครับ วันนี้ผมไม่มีธุระ ยอมให้คุณตีทั้งวันเลย”
พูดจบเฉินชางก็รีบเดินตามเฉินปิ่งเซิงออกไป
เหล่าเฉินเห็นดังนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย รู้สึกอุ่นวาบในใจ จากนั้นจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ไปสิ”
อันที่จริง เรื่องการติดตามสั่งสอนในโรงพยาบาลเช่นนี้ ใช้เวลาสามปีก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว โดยทั่วไปเมื่อหมอใหมมาทำงานที่โรงพยาบาลจะมีหมออาวุโสดูแลครึ่งปีถึงหนึ่งปีค่อยปล่อยให้ทำงานด้วยตัวเอง ดูแลคนไข้ด้วยตัวเอง
ตอนนี้ทุกคนมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนร่วมงาน และเป็นความสัมพันธ์ที่แฝงการแข่งขันอยู่เล็กน้อย ดังนั้นช่วงดูแลหมอใหม่ หมอส่วนใหญ่จึงไม่ได้ปฏิบัติตัวเหมือนอาจารย์อย่างแท้จริง เพียงสอนไปตามกระบวนการเท่านั้น น้อยคนที่จะทุ่มเทเหมือนที่เหล่าเฉินปฏิบัติกับเฉินชาง
สิ่งเหล่านี้เฉินชางรู้ดีแก่ใจ ตั้งแต่เข้าสู่อาชีพนี้ เหล่าเฉินปฏิบัติกับเขาไม่เลวเลย ตอนที่เขาได้เงินน้อยก็ไปเนียนกินกับเหล่าเฉินทุกวัน มิฉะนั้นจะเก็บเงินได้ถึงสองหมื่นหยวนได้อย่างไร
หากจะพูดว่าเงินเป็นเรื่องเล็ก เช่นนั้นการสอนเรื่องมนุษยธรรมและเรื่องที่ไม่มีสอนในโรงเรียน หรือในหนังสือให้เฉินชางเล่า สิ่งเหล่านี้จะถือเป็นเรื่องเล็กหรือ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่าเฉินมีทั้งความรักและมิตรภาพให้เฉินชาง เรื่องนี้เขาย่อมจดจำไว้ในใจ
ระหว่างทาง จู่ๆ เหล่าเฉินก็ยิ้มจนตาหยีแล้วถามว่า “ช่วงนี้มีแฟนหรือ”
เฉินชางหัวเราะ ไม่ได้คิดปิดบังเหล่าเฉิน “ฮะๆ คุณรู้แล้วหรือ”
เหล่าเฉินหัวเราะออกมาเช่นกัน “คิดว่าจะปิดบังผมได้หรือไง”
เฉินชางยิ้ม “ครับ เพิ่งเริ่มต้นเอง ยังไม่นานเท่าไหร่”
เหล่าเฉินส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “ยัยหนูฉินเยว่ก็ไม่เลว นิสัยก็ดีไปทุกเรื่อง ส่วนคุณค่อนข้างสะเพร่า มีเสี่ยวฉินอยู่ก็ถือว่าเติมเต็มกันได้พอดี! คุณนี่ตาดีจริงๆ รีบทำเวลาสานสัมพันธ์ซะนะ นี่เป็นลูกสาวสุดที่รักของผู้อำนวยการฉิน ต่อไปผมคงต้องกอดขาคุณให้แน่นซะแล้ว”
เฉินชางยิ้มกระอักกระอ่วน “ถึงตอนนั้นถ้าผมได้เป็นหัวหน้าแพทย์ ผมจะช่วยให้คุณเป็นรองหัวหน้าแพทย์แล้วกัน”
เหล่าเฉินตบหัวเฉินชาง “ไอ้หนู เผยความคิดชั่วๆ ออกมาแล้วสินะ”
“เห็นจื้อซินบอกว่าช่วงนี้คุณไม่ค่อยได้ไปคลินิกศัลยกรรมหรือ”
เฉินชางทอดถอนใจ “ช่วงนี้ยุ่งมากเลยครับ พอมีเวลาว่างก็ต้องตามอาจารย์ไปผ่าตัด สุดสัปดาห์ที่แล้วก็ไปดูบ้าน ถ้ามีลูกค้าที่คลีนิคผมก็จะไป แต่ส่วนใหญ่ผมรอให้นัดเต็มเวลาก่อนถึงจะไปน่ะครับ ปกติไม่ไปหรอก”
เหล่าเฉินได้ยินว่าเฉินชางซื้อบ้านแล้วก็หัวเราะออกมาทันที “ซื้อบ้าน มีเงินพอหรือไง ถ้าไม่พอผมจะไปขอภรรยามาให้คุณดีหรือเปล่า”
เฉินชางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาทันที รีบปฏิเสธความหวังดีของเหล่าเฉิน “พอครับพอ ถ้าแต่งบ้านเสร็จแล้วก็ไปดูด้วยกันนะครับ”
เฉินปิ่งเซิงมองเฉินชางด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนเตือนว่า “เอ่อ…เสี่ยวเฉิน ผมว่าไม่ต้องรีบหรอก อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป เงินหาได้ไม่จบไม่สิ้น หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ คุณยังหนุ่มแน่น รอให้เป็นหัวหน้าแพทย์ก่อนก็มีเงินใช้ไม่หมดไม่สิ้นเองแหละ ถ้าคุณขาดเงินก็มาบอกผมได้ ผมกับภรรยาพอมีเงินอยู่บ้าง ห้ามเกรงใจเด็ดขาด”
เฉินชางยิ้ม “ได้เลยครับลูกพี่ ผมไม่เกรงใจแน่!”
ตอนนี้เอง จางจื้อซินก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเฉินชางและเฉินปิ่งเซิงอยู่ด้วยกันก็ยิ้มออกมาทันที “โย่! อยู่นี่กันหมดเลย เสี่ยวเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
เฉินชางกลอกตาใส่ “ก็เจอกันในห้องผ่าตัดทุกวันนั่นแหละ!”
จางจื้อซินส่ายหน้า ถูมือพลางพูดยิ้มๆ ว่า “มันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะครับ ผมพูดว่าไม่เจอกันนาน คุณก็ต้องตีมือทักทายผมสิ”
พูดถึงตรงนี้จางจื้อซินก็ชะโงกหน้ามาข้างๆ เหล่าเฉิน “เฮ้อ เหล่าเฉิน ตอนนี้ผมทรมานสุดๆ แทบจะเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว!”
เฉินปิ่งเซิงถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรล่ะครับ”
จางจื้อซินตอบ “ผมจะบอกคุณให้ ตั้งแต่เสี่ยวเฉินเริ่มทำงานที่คลินิกผมเป็นเดือนที่สอง ถ้าผมผ่าตัดกับเขาก็ไม่ได้จับมีดผ่าตัดเลย! คุณว่าผมจะหดหู่หรือเปล่าล่ะ ได้แต่เป็นผู้ช่วยทุกครั้ง เฮ้อ…ใจเจ็บ”
เฉินปิ่งเซิงแค่นเสียงเย็น “คุณยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ เสี่ยวเฉินก็ทำงานให้คุณไม่ใช่หรือไง!”
จางจื้อซินหน้าแดง “ผมก็ไล่ตามอนาคตของหน้าที่การงานเหมือนกันนะครับ! แล้วผมก็มีความฝันด้วย โอเคไหม!”
พูดถึงตรงนี้ จางจื้อซินก็ยิ้มออกมา ปรายตามองเฉินชาง “วันนี้ผมเป็นศัลยแพทย์หลักนะ”
เฉินปิ่งเซิง “ได้!”
จางจื้อซินมองเฉินชาง “เสี่ยวเฉิน วันนี้อาจารย์จางคนนี้จะแสดงให้คุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าทักษะผ่าตัดขั้นสูง! ให้คุณเห็นหน่อยว่าอะไรคือการผ่าตัดใหญ่!”
เฉินชางสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว รีบถามไปว่า “ผ่าตัดอะไรครับ”
จางจื้อซินพูดยิ้มๆ “วิปเปิล ออเพอเรชั่น (Whipple operation) ครับ ไม่เคยเห็นใช่ไหม!”
เฉินชางพยักหน้า เขาไม่เคยเห็นจริงๆ
วิปเปิลออเพอเรชั่นเป็นการผ่าตัดระดับสี่ เขายังไม่เคยสัมผัสจริงๆ พริบตานั้น เขาก็รู้สึกคาดหวังขึ้นมาบ้างแล้ว แต่…เฉินชางยังทำเป็นหูหนวกตาบอดกับท่าทีเวอร์วังของอีกฝ่าย
……
ขณะสนทนาทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องผ่าตัด
เฉินปิ่งเซิงส่งประวัติคนไข้ให้เฉินชาง
ภาพเช่นนี้ไม่ได้เห็นมาเกือบสองเดือนแล้ว ตั้งแต่หลี่เป่าซานปฏิวัติแผนก เฉินชางก็ผ่าตัดร่วมกับเหล่าเฉินน้อยมาก
เมื่อจางจื้อซินได้ยินว่าตนเองเป็นศัลยแพทย์หลักก็เบิกบานใจขึ้นมาโดยพลัน ทั้งอิ่มเอมและมีความสุข
“เสี่ยวเฉิน อย่าลืมมายืนถือตะขอคอยดูดของเหลวให้ผมด้วยนะครับ!”
เฉินชางกลอกตาใส่ ท่าทางอวดดีจริงๆ
ตอนนี้เอง จู่ๆ จางโหย่วฝูก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นเฉินชาง จากเดิมที่คิดจะเดินผ่านไปก็หยุดเท้าลงทันที จากนั้นก็เดินอ้อมเข้ามา
“เอ๋? เสี่ยวเฉิน วันนี้มีผ่าตัดด้วยเหรอ!”