บทที่ 405 คุณไม่ต้องเป็นห่วงเฉินชางหรอก
กงไต้เจินกลับไปแล้วถึงทำให้จางจื้อซินผ่อนคลายลงได้
นี่เขาได้เข้าร่วมสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนเชียวหรือ
คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ
เขามองฉินเสียงและหยางเทา กล่าวด้วยสีหน้าจนปัญญา “หัวหน้าหยาง คุณบอกว่าท่านรองกงเป็นหน่วยสอดแนมที่ถูกเชิญมาลับๆ ไม่ใช่หรือครับ”
หยางเทายิ้มกระอักกระอ่วน “ก็ผมเป็นห่วงคุณไง ยังไงซะพวกเราก็เปิดคลินิกศัลยกรรมเหมือนกัน ผมก็เลยเตือนคุณเพื่อเลี่ยงปัญหาไง”
หยางเทาก็เปิดคลินิกศัลยกรรมอยู่ข้างนอกเช่นกัน ย่อมคุ้นเคยกับปัญหาพวกนี้มากกว่า
ส่วนฉินเสียงก็หัวเราะ “ท่านรองกงเป็นคนเก่งมากเลยนะครับ เธอเป็นศัลยแพทย์ความงามกลุ่มแรกๆ ในประเทศจีนเลย ก่อนหน้านี้ก็เป็นแพทย์ผิวหนังเหมือนกันกับผม จากนั้นพอมีการก่อตั้งสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนขึ้นมา จึงเปลี่ยนเส้นทางจากการรักษาช่วยชีวิตไปเป็นวงการเฉพาะทางด้านนี้เลย”
“ปัจจุบันวงการศัลยกรรมความงามก้าวหน้ารวดเร็วมาก อันที่จริงหากวิเคราะห์ถึงที่สุดแล้วคงไม่พ้นประโยคที่ว่ารากฐานส่งผลถึงการเจริญเติบโต”
“พวกเราคือกลุ่มคนที่ผู้อาวุโสที่สุดในวงการศัลยกรรมความงาม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ย้ายมาจากแผนกผิวหนังของโรงพยาบาลรัฐกันทั้งนั้น เรียกว่าพื้นฐานไม่ดี แต่ตอนนี้คนที่หันมาทำด้านศัลยกรรมความงามในประเทศมีมากมาย ที่ไม่ถูกกฎหมายก็พบเห็นได้จนเหมือนเรื่องปกติ และมีเรื่องวัฒนธรรมเกาหลีที่แผ่เข้ามาด้วย ทำให้พวกเราได้ความรู้มากมาย หลายปีมานี้รัฐบาลส่งเสริมให้สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ของประเทศจีนมากขึ้น เพื่อส่งเสริมจิตวิญญาณชาวจีน และพัฒนาเส้นทางแต่ละสาขาให้กว้างไกล”
หยางเทาพยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่เขามีประสบการณ์มาอย่างลึกซึ้ง!
“หลายปีก่อนโรงพยาบาลรัฐในประเทศจีนและรวมไปถึงโรงพยาบาลชั้นนำทั้งสามแห่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับความงามและผิวหนังจนทำให้การพัฒนามีความล้าหลัง ถึงขั้นที่หลายโรงพยาบาลรวมแผนกผิวหนังและแผนกความงามเข้าด้วยกันเลยนะครับ”
“จนกระทั่งสิบปีก่อนถึงเริ่มให้ความสำคัญขึ้นมา เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ซึ่งช่วงนี้ก็มีการแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปเยอะแล้ว ดังนั้นก็เหมือนกับที่หัวหน้าฉินบอก พัฒนาการล้าหลัง รากฐานไม่มั่นคง หนทางสะเปะสะปะ”
ฉินเสียงพยักหน้า “ใช่แล้ว เสี่ยวเฉิน ตอนแรกที่ผมเชิญคุณเข้ามาเพราะอยากพยายามไปพร้อมกัน ร่วมกันหาเส้นทางศัลยกรรมความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สร้างวัฒนธรรมและความเชื่อมั่นไปด้วยกัน สร้างนวัตกรรมของชาติไปด้วยกัน!”
“งานสัมมนาแลกเปลี่ยนในเดือนธันวาคมนี้พวกเราก็ต้องเตรียมตัวให้ดีๆ นะครับ!”
ฉินเสียงและหยางเทาไม่ได้อยู่นานนัก อยู่คุยเพียงครู่เดียวก็พากันกลับไป
นี่ทำให้เฉินชางรับรู้ถึงอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว!
[ติ๊ง! ภารกิจสำเร็จ ได้รับทักษะผ่าตัดลดริ้วรอยยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ทักษะระดับปรมาจารย์ ต้องการเริ่มต้นการฝึกพิเศษหรือไม่]
เฉินชางส่ายหน้า ตอนนี้เขายังไม่มีเวลา
จางจื้อซินมองเฉินชางยิ้มๆ “เสี่ยวเฉิน ผมได้พึ่งบารมีคุณแล้ว”
เฉินชางแปลกใจ “หมายความว่ายังไงครับ”
จางจื้อซินส่ายหน้า “คุณคงไม่รู้ว่าสมาคมศัลยแพทย์ความงามแห่งประเทศจีนไม่ค่อยต้อนรับหมอระดับรากหญ้าเท่าไหร่นัก ผมได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าฉินถึงเข้าร่วมสมาคมระดับมณฑลได้ ส่วนระดับประเทศ ผมรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะส่วนใหญ่เป็นแพทย์ผิวหนัง หรือแพทย์ความงามจากโรงพยาบาลรัฐ ผมคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้เข้าร่วมเร็วขนาดนี้”
“บอกตามตรงเลยนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมสมาคมเร็วขนาดนี้หรอก!”
เฉินชางหัวเราะออกมา “พูดแบบนี้แปลว่าพวกเราโชคดีในโชคร้ายสินะครับ”
จางจื้อซินหัวเราะ “ผมก็ไม่คิดว่าท่านรองกงจะมาศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้จริงๆ เสี่ยวเฉิน ชื่อเสียงของคุณโด่งดังไปไกลแล้ว ขนาดท่านรองกงที่เมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อคุณ อนาคตของคุณไร้ขีดจำกัดแล้วละครับ จะว่าไปพวกเราก็เข้าใจท่านรองกงผิดไปแล้วจริงๆ ฮ่าๆ ๆ”
……
……
หลังจากกงไต้เจินออกมาจากคลินิกศัลยกรรมได้ครู่หนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาอันจิ้ง
ขณะนี้อันจิ้งร้อนรนจนทนไม่ไหว เธอกำลังรอสายจากอาจารย์อยู่พอดี
ตั้งแต่วันเกิดของอาจารย์คราวที่แล้ว อันจิ้งเผลอเผยข้อมูลของเฉินชางออกไปโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นแขวะเฉินชางต่อหน้าศิษย์ร่วมอาจารย์ไปด้วยซ้ำ
อันจิ้งไม่มีความประทับใจดีๆ กับเฉินชางมาตั้งแต่ตอนที่เผชิญหน้ากันที่บ้านของเจิ้งกั๋วถานแล้ว หลังจากนั้นการแข่งขันระหว่างคลินิกของเธอและคลินิกศัลยกรรมจื้อซินก็ทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้อันจิ้งไม่สบายใจ
เฉินชางเป็นพวกหน้าใหม่ แค่ค่าศัลยกรรมธรรมดาก็คิดหลายแสนหยวนแล้ว ส่วนศัลยกรรมเสริมหน้าอกยังกล้าคิดราคาหนึ่งล้านหยวน ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม ดังนั้นเธอจึงเผลอพูดเรื่องนี้กับอาจารย์โดยไม่รู้ตัว
คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือนอาจารย์จะมาจริง! มาดูการผ่าตัดของเฉินชางด้วยตัวเองจริงๆ
นี่ทำให้อันจิ้งแอบสะใจเล็กๆ และคาดหวังนิดหน่อย
เธออยากให้อาจารย์ฉีกหน้ากากเฉินชาง!
อันจิ้งรีบรับโทรศัพท์ “ฮัลโหลอาจารย์คะ ทำไมคุณเพิ่งโทรมาคะ ฉันกำลังสั่งข้าวที่ภัตตาคารจิงหยางอยู่ค่ะ…”
กงไต้เจินถอนใจออกมา เธอจองตั๋วรถไฟกลับเมืองหลวงแล้ว ออกเดินทางคืนนี้เลย
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอันจิ้งคิดอย่างไร อย่างไรคงไม่พ้นอยากให้ตนไปกดข่มความเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย อันจิ้งคงอยากให้ตนฉีก ‘หน้ากาก’ มากเล่ห์ของเฉินชางจะแย่แล้วสินะ ต้องการให้อีกฝ่ายเผยความจริงออกมาให้หมด
เธอเข้าใจนักเรียนของตัวเองดีจริงๆ
อันจิ้งคนนี้จะว่ามีความสามารถก็มีอยู่ แต่มั่นใจในตัวเองมากเกินไป คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เทียบกับแอนนี่พี่สาวของเธอแล้วยังห่างกันอีกไกล
เมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่าย กงไต้เจินก็กล่าวไปอย่างเนิบช้าว่า “อันจิ้ง ฉันจองตั๋วรถไฟคืนนี้แล้ว พรุ่งนี้มีธุระอีก คงไม่รบกวนพวกเธอหรอก”
อันจิ้งได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “อาจารย์คะ…ไม่รบกวนเลย…คุณพักผ่อนหน่อยเถอะค่ะ…”
กงไต้เจินกล่าวเนิบนาบ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเห็นอาจารย์เป็นคนอื่นคนไกลไปหรอก อาจารย์มีเรื่องจะพูดกับเธอด้วย”
“อย่างแรก ฝีมือการผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางดีกว่าฉัน เธออย่าได้คิดเล็กคิดน้อยไปอีก”
“อย่างที่สอง ตอนนี้เฉินชางเป็นสมาชิกกลุ่มวิจัยหัวข้อการศึกษาล่าสุดของฉันแล้ว เขาอยู่ในลำดับสาม เป็นที่ปรึกษา ต่อไปเธอจะทำอะไรก็ต้องคิดให้ดี”
“อย่างที่สาม ทำเรื่องของตัวเองให้ดี อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เรียนรู้จากแอนนี่พี่สาวของเธอให้มาก”
“สุดท้าย อาจารย์หวังว่าเธอจะทำตัวดีๆ…”
……
เมื่อวางสายแล้ว กงไต้เจินก็ถอนใจออกมา หวังว่าอันจิ้งจะรู้จักเติบโตขึ้นบ้าง คนเราหากทำอะไรราบรื่นไปหมดทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องดี
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ แม้จะตำหนิแต่ก็ยังใส่ใจ
ทางด้านอันจิ้ง เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้วในสมองก็เต็มไปด้วยความคิดสับสน จะอย่างไรเธอก็คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของตนจะกล่าวกับปากว่าฝีมือการผ่าตัดเสริมหน้าอกของเฉินชางดีกว่าอาจารย์!
เป็นไปได้อย่างไร
สำหรับอันจิ้ง นี่เป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว แต่ที่รับไม่ไหวยิ่งกว่าคือเรื่องที่เฉินชางเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มวิจัยของอาจารย์ เป็นสมาชิกระดับสาม ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาเรื่องเทคนิคด้วย!
นี่…จะเวอร์ไปหรือเปล่า
เฉินชางมีความสามารถแค่ไหนกันเชียว
ตอนแรกเธออยากเข้าร่วมงานวิจัยกับอาจารย์แต่ถูกปฏิเสธเพราะหัวข้อวิจัยนี้เป็นหัวข้อที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาก เป็นหัวข้อวิจัยที่เกี่ยวพันกับวงการศัลยกรรมความงามและวงการเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลจีสุ่ยถานที่อาจารย์ทำงานอยู่และมหาวิทยาลัยหลี่กงประจำเมืองหลวง เงินทุนพุ่งไปถึงสามสิบกว่าล้าน และหลังจากนี้อาจมีอย่างอื่นเพิ่มเข้ามาอีก
งานวิจัยเช่นนี้ เฉินชางได้เป็นที่ปรึกษาเชียวหรือ
ยิ่งกว่านั้น…ยังเป็นสมาชิกลำดับที่สามอีกด้วย!
ลำดับแรกคืออาจารย์ของเธอ ลำดับที่สองคือศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยหลี่กง ลำดับที่สามก็คือเฉินชาง!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
เวอร์เกินไปหรือเปล่า!
คิดถึงตรงนี้ อันจิ้งก็เงียบไปทันที…