บทที่ 434 วงจรความรักและความรับผิดชอบ
เวลาผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที ผลตรวจแลปทั้งหมดของผู้ป่วยก็ออกมาแล้ว!
ระดับคีโตนในเลือดสูง!
เมื่อนำมารวมกับอาการของผู้ป่วย ตอนนี้จึงวินิจฉัยได้ว่า
ข้อวินิจฉัยหลัก: ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง
ข้อวินิจฉัยรอง: ภาวะคีโตอะซิโซิสเป็นกรด
เฉินชางรีบติดต่อกับแผนกต่อมไร้ท่อ ภาวะโพแทสเซียมสูงของผู้ป่วยเกิดจากภาวะคีโตอะซิโดซีสเป็นกรด
เขาหันไปมองสวีตงตงที่กำลังถือสมุดจดอะไรบางอย่างอยู่ บอกว่า “ตงตง ให้ญาติผู้ป่วยเข้ามาได้เลยครับ”
สวีตงตงได้ยินเฉินชางเรียกตนก็รีบเก็บสมุดทันที จากนั้นจึงพยักหน้า “ได้เลยครับ!”
ตอนนี้ลูกสาวผู้ป่วยยืนอธิษฐานอยู่ตรงประตูอยู่นานแล้ว!
ความหวังแปรเปลี่ยนไปตามเวลาที่ไหลผ่าน ถึงเธอจะไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์ แต่เธอรู้ว่ายิ่งใช้เวลานาน ปัญหาก็ยิ่งร้ายแรง! และยิ่งเป็นเช่นนี้เธอก็ยิ่งกังวล!
สวีตงตงผลักประตูออกมาเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเคร่งเครียด ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวังและการเฝ้ารอ ดวงตาเอาแต่จับจ้องไปที่ประตู
เมื่อเห็นสวีตงตงเดินออกมา เธอก็รีบเดินเข้ามาหาทันที!
“หมอคะ! หมอ! แม่ฉันเป็นไงบ้างคะ”
สวีตงตงยิ้ม “ไม่ต้องเครียดนะครับ หมอเฉินบอกให้คุณเข้าไปได้แล้วครับ”
สวีตงตงไม่ได้พูดว่าผู้ป่วยเป็นอย่างไรกันแน่ บอกเพียงว่าหมอเฉินให้เข้าไปได้แล้ว
ได้ยินดังนั้น เธอก็รีบเดินเข้าไปทันที
“หมอเฉิน แม่ฉัน…เป็นยังไงบ้างคะ”
เฉินชางกล่าวว่า “ตอนนี้อาการโดยรวมของคุณยายทรงตัวแล้วครับ แต่ผมแนะนำให้ไปแอดมิทที่แผนกอายุกรรมต่อมไร้ท่อครับ คุณยายมีภาวะคีโตอะซิโดซีสเป็นกรด ซึ่งกรดนี้ทำให้โพแทสเซียมในร่างกายสูงขึ้น ดูจากอาการแล้วคงต้องรักษานาน! ดังนั้นผมแนะนำให้พวกคุณไปที่แผนกต่อมไร้ท่อนะครับ รักษาโรคเบาหวานของผู้ป่วยให้เป็นปกติก่อน จากนั้นก็รักษาภาวะโพแทสเซียมสูง เท่านี้ก็พอแล้วครับ คุณไม่ต้องกังวลเกินไป”
ได้ยินดังนั้นเธอก็ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด
เฉินชางหันไปพูดกับคุณยายต่อ “คุณยายครับ ต่อไปคุณต้องใส่ใจระดับน้ำตาลในเลือดของตัวเองให้มากหน่อยนะครับ! อย่ากินอาหารตามใจ คุณรู้หรือเปล่าครับว่าเมื่อครู่อันตรายแค่ไหน! ต่อไปต้องฟังลูกสาวคุณด้วยนะครับ เธอเป็นห่วงคุณมาก!”
ตอนนี้อาการของหญิงชราเริ่มทรงตัวแล้ว เธอถอนหายใจยาวๆ “เฮ้อ…หมอคะ ขอบคุณมากค่ะ!”
คุณยายพูดกับเขาอย่างสุภาพเช่นนี้ เฉินชางไม่ค่อยชินเท่าไหร่นัก
ลูกสาวเห็นผู้เป็นมารดาอ่อนลงมากแล้วก็รีบเดินเข้ามา ย่อตัวลงข้างเตียง ใช้สองมือกุมมือมารดาที่ซูบผอมจนแทบเห็นกระดูกและค่อนข้างเย็น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมานานจะทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตไม่ค่อยดีนัก แม้กระนั้นลูกสาวก็ไม่รังเกียจแม้แต่น้อย เธอนั่งลง กุมมือผู้เป็นมารดามาแนบบนใบหน้า น้ำตาไหลออกมา
“แม่คะ แม่ทำให้หนูตกใจแทบตาย!”
หญิงชราหน้าแดง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ทำได้เพียงใช้มือลูบหน้าลูกสาว ตอนเด็กเธอก็เคยลูบหน้าลูกสาวเช่นนี้ แต่ตอนนี้…ลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว
เป็นตัวเองที่แก่ลง!
ลูกสาวตกใจแทบตายแล้วจริงๆ “แม่คะ ปกติหนูบ่นแม่มากไปใช่ไหมคะ เลยทำให้แม่ไม่สบายใจ ต่อไปหนูไม่บ่นแล้วดีไหมคะ แต่ว่า…แม่ต้องกินยาให้ตรงเวลา ไม่ต้องช่วยหนูประหยัดหรอก จะประหยัดไปทำไม ขอแค่แม่สบายดีก็พอ ส่วนหนูจะเป็นยังไงก็ได้ทั้งนั้น…”
หญิงชราซาบซึ้งใจจนดวงตาทั้งสองพร่าเลือน
ขณะเดียวกัน เฉินชางก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อไปยังแผนกต่อมไร้ท่อ
ไม่นานเหยียนตงเสวี่ย หมอแผนกอายุรกรรมต่อมไร้ท่อที่เป็นเวรอยู่ก็รีบมา เมื่อพบเฉินชางก็ยิ้มทักทาย “เสี่ยวเฉิน!”
เฉินชางยิ้มตอบ เหยียนตงเสวี่ยเป็นเขยของแผนกฉุกเฉินเช่นเดียวกัน เขาเป็นสามีของจางซู ทุกวันนี้ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าแผนกอายุรกรรมต่อมไร้ท่อ อายุสี่สิบปีแล้ว อยู่ในวัยยอดเยี่ยมของผู้ชาย!
“อาจารย์เหยียน ผู้ป่วยอยู่ด้านในครับ” เฉินชางพาเหยียนตงเสวี่ยเดินเข้าไป
เหยียนตงเสวี่ยเห็นผลตรวจแลปและกราฟหัวใจก็ตกใจไปทันที “นี่…อันตรายถึงชีวิตเลยนะครับ!”
เฉินชางพยักหน้า “ครับ”
เหยียนตงเสวี่ยมองลูกสาวผู้ป่วย “เราต้องใช้เวลาในการควบคุมโรคเบาหวานของคนไข้หน่อยนะครับ นอกจากนั้นเรื่องการฉีดอินซูลินก็…”
เธอให้ความร่วมมือมาก “ได้ค่ะ! ฉันจะฟังหมอทุกอย่าง”
เหยียนตงเสวี่ยตรวจดูผู้ป่วยครู่หนึ่งแล้วจากไป
ตอนนี้หญิงชราลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ลูกสาวประคองเธอเตรียมไปที่แผนกอายุรกรรมต่อมไร้ท่อเพื่อดำเนินเรื่องแอดมิทต่อไป
เฉินชางเห็นเธอมีสภาพเหนื่อยล้าขนาดนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “ใช้รถเข็นดีไหมครับ”
เธอยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้ว”
พูดจบทั้งสองก็ประคองกันเดินไป
เขาได้ยินเสียงบ่นของลูกสาว ‘ปากจัด’ ดังแว่วมาเป็นระยะ ส่วนหญิงชราก็มีสภาพคล้าย ‘เหยื่อจำยอม’
เสียงเริ่มไกลออกไป เฉินชางส่ายหน้า บางทีนี่คงเป็นความรักอย่างหนึ่งสินะ!
คล้ายทั้งคู่จะทะเลาะกันมาตลอดชีวิตแล้ว ตอนเด็กมารดาบ่นลูกสาว พอแก่ตัวไปลูกสาวบ่นมารดา เป็นเช่นนี้ไปไม่จบไม่สิ้น พูดกันไม่จบไม่สิ้น…
นี่คงเป็นวงจรชีวิตของมนุษย์เรา
เป็นวงจรของความรักและหน้าที่ซึ่งสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป
เพียงแต่…ภาพที่ดูธรรมดาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าทำไมสะเทือนใจคนนัก ทำให้ดวงตาร้อนผะผ่าว
เสี่ยวหลินยังคงเป็นเช่นเดิม มักขี้แยชอบร้องไห้ เธอรู้สึกแสบไปถึงจมูก น้ำตาก็ไหลออกมา
กระทั่งฉางลี่น่าที่ปกติรู้จักพูดจาก็ยังต้องสูดหายใจลึกๆ พึมพำกับตัวเองว่า “เหมือนแม่ฉันเลย ตอนเด็กแม่ฉันก็ชอบบ่น ฉันรำคาญจนทนไม่ไหว ตอนนี้แม่แก่แล้วฉันก็บ่นเธอแทน เธอคงรำคาญจนทนไม่ไหวเหมือนกัน…”
ใช่แล้ว คงมีเพียงลูกสาวแท้ๆ เท่านั้นถึงจะเป็นเช่นนี้สินะ ถึงเฉินชางไม่เข้าใจหัวใจของลูกสาว แต่…ความรู้สึกเช่นนี้ไม่แบ่งเพศ ทุกคนเข้าใจกันได้
……
……
แพทย์ฝึกงานทุกคนได้เป็นประจักษ์พยานอีกครั้ง ได้เห็นการกู้ชีพที่เริ่มจากอาการป่วยธรรมดาแต่ซ่อนแฝงไปด้วยความอันตรายอีกครั้ง!
หากเกิดอาการท้องเสียธรรมดาจริงๆ และรักษาตามสภาพอาการนี้ หญิงชราคงตายไปแล้ว แต่เฉินชางถึงกับพบอาการที่แท้จริงจากปัจจัยอาการแทรกซ้อนต่างๆ มากมายเหล่านี้ได้ ทั้งยังรักษาได้ทันท่วงที นี่ทำให้หมอฝึกงานทั้งหลายคล้ายมีคลื่นซัดสาดอยู่ในใจ รู้สึกนับถือขึ้นมาบ้างแล้ว!
คนที่มีความกล้าหน่อยถามขึ้นว่า “อาจารย์เฉิน! คุณรู้ได้ยังไงครับว่าผู้ป่วยมีอาการโพแทสเซียมในเลือดสูง ตอนแรกผมคิดว่าอาการท้องเสียจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำซะอีก ถ้าให้น้ำเกลือจริง…ผู้ป่วยคงตายไปแล้ว!”
เฉินชางมองหมอฝึกงานกลุ่มนี้ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “หลักการของแผนกฉุกเฉินก็คือ ช่วยชีวิตก่อนรักษาที่หลัง ถ้าคุณยายมีอาการท้องเสียธรรมดาอาจทำให้เกิดภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ แบบนั้นพวกคุณก็วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้ว ในกรณีนี้ควรพิจารณาภาวะโพแทสเซียมต่ำไว้ก่อน”
“แต่ว่าตอนที่พวกเราวินิจฉัยอาการ ห้ามวินิจฉัยไปตามอาการที่ผู้ป่วยแสดงให้เห็นในปัจจุบันเท่านั้น จะต้องนำไปวิเคราะห์ร่วมกับประวัติอาการป่วยในอดีตด้วย จากนั้นก็นำมาพิจารณาร่วมกัน!”
“อาการของผู้ป่วยเกิดจากกินก๋วยเตี๋ยวเหลียงเฝิ่นจนท้องเสีย แต่ผู้ป่วยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานมาหลายปี ตอนนี้พวกคุณจะต้องพิจารณาด้วยว่าโรคเบาหวานทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือไม่ จากนั้นก็นำไปพิจารณาร่วมกับสัญญาณชีพ อาการที่แสดงออก และอาการป่วย แล้วจึงวินิจฉัยออกมา!”
“ผู้ป่วยมีอาการระบบย่อยอาหารผิดปกติ เมื่อครู่ทุกคนคงเห็นแล้วว่ามีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติตามมาด้วย จากนั้นไม่นานก็มีอาการระบบหายใจผิดปกติ ตามมาด้วยอ่อนล้าหมดแรง! อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ตอนนี้พวกคุณจะต้องคิดถึงอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้แล้ว ซึ่งก็คือโพแทสเซียมในเลือดสูง!”
ทันใดนั้น สวีตงตงก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “งั้น…อาจารย์เฉิน คุณรู้ได้ยังไงครับว่าโพแทสเซียมในเลือดอยู่ที่ประมาณแปดกว่าๆ”