บทที่ 479 รายได้หนึ่งชั่วโมงของผมเท่ากับรายได้หนึ่งเดือนของคุณ เข้าใจหรือเปล่า
เมื่อเดินออกมาจากห้องผ่าตัด เฉินชางก็ตัวสั่นเทาเพราะอากาศค่อนข้างเย็น เมื่อเห็นใบไม้ที่ตกอยู่ตามพื้น ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าที่แท้ฤดูใบไม้ผลิก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว!
จู่ๆ เฉินชางก็คิดถึงยัยขี้ประจบฉินขึ้นมา ทว่าดึกขนาดนี้ เธอคงหลับไปแล้ว
คิดแล้วเฉินชางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ความรู้สึกที่มีใครบางคนอยู่ในใจมันดีมากจริงๆ
เพิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาก็เห็นสายโทรเข้าและข้อความมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นข้อความที่ฉินเยว่ส่งมาคนเดียว
11.10 น. ‘ตาบ้า ไปไหนเนี่ย ทำไมยังไม่กลับอีก ไม่ให้เข้าบ้านแล้วนะ!’
11.20 น. ‘เอาละ ฉันยกโทษให้คุณแล้ว แต่ต่อไปต้องกลับเร็วๆ นะคะ…’
11.30 น. ‘ชางเอ๋อร์ ฉันคิดถึงคุณ!’
11.40 น. ‘คุณไม่บอกฝันดีกับฉัน ถ้าฉันนอนไม่หลับจะทำยังไง…’
00.15 น. ‘ที่รักคุณมีผ่าตัดอีกแล้วหรือ เฮ้อ…คิดถึงคุณครั้งที่ร้อยสิบเอ็ด!’
……
‘คิดถึงคุณครั้งที่ร้อยเจ็ดสิบเอ็ด…’
……
ข้อความมากมายทำให้เฉินชางแสบจมูก นี่คือรสชาติของความสุขสินะ ทั้งเปรี้ยวและฝาดปนกันไป ความรู้สึกที่ถูกใครบางคนคิดถึงนี่มันดีจริงๆ!
เฉินชางอ่านข้อความเหล่านั้นพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ เธอนี่นะ จะตีสองแล้วยังไม่นอนอีก
ข้อความล่าสุดส่งมาเมื่อประมาณสิบนาทีก่อน ‘ต่อไปคุณอย่าทำงานจนเหนื่อยขนาดนี้นะคะ ฉันเป็นห่วงคุณ’
เฉินชางยิ้มออกมา ส่งสัญลักษณ์หน้ายิ้มไปให้ ‘ยัยดื้อ ต่อไปก็นอนเร็วๆ หน่อย ไม่ต้องรอผม’
เพิ่งจะกดส่งข้อความไปก็ได้รับข้อความเสียงตอบกลับมาทันที “แต่…ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณ”
กล่าวจบฉินเยว่ก็พูดขึ้นต่อไปว่า “ที่รัก ต่อไปให้ฉันเป็นผู้ช่วยคุณสิคะ คุณไปผ่าตัดก็พาฉันไปด้วย ให้ฉันเป็นผู้ช่วยคุณไง ดีหรือเปล่า แบบนี้ฉันจะได้อยู่กับคุณตลอดเวลา!”
เฉินชางได้ยินข้อความนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย
นี่เป็นชีวิตที่เขาต้องการหรือเปล่า
ในห้องผ่าตัดมีเวลาให้กับความโรแมนติกที่ไหนกัน
ความโรแมนติกสีเลือดหรือไง
คิดแล้วเฉินชางก็ส่ายหน้า
ผู้หญิงคนนี้ เวลาพยายามขึ้นมายังดุดันกว่าเขาซะอีก!
เฉินชางคิดไปถึงตอนที่เขาและเธอทำงานเหนื่อยจนต้องพิงกำแพงหลับไปในห้องผ่าตัดด้วยกัน คิดแล้วก็รู้สึกหวานปนขม
เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า
ยิ่งใหญ่มาก!
แต่ยิ่งใหญ่แล้วมีประโยชน์อะไร
ตัวเขาก็เป็นคนธรรมดา ต้องการครอบครัวที่มั่นคง หากทั้งสองเอาแต่ทำงาน แล้วบ้านยังจะเรียกว่าเป็นบ้านได้อีกหรือ
ในโรงพยาบาลมีตัวอย่างเช่นนี้ไม่น้อย พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลลูกตั้งแต่เล็กๆ ต้องให้ปู่ย่าตายายเป็นคนเลี้ยง แบบนั้นใช้ได้ที่ไหนกัน
เฉินชางเองก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง เขาปล่อยให้ครอบครัวอุทิศตนเพื่อประชาชนอะไรแบบนั้นไม่ได้แน่ เขาต้องคิดให้ดี นี่ก็เพื่อครอบครัว
แม้คำพูดของฉินเยว่จะทำให้เฉินชางซาบซึ้งใจ แต่คนทั้งสองจะต้องใส่ใจครอบครัวให้มากกว่านี้
เฉินชางยังคงอยากให้ฉินเยว่ไปเรียนปริญญาเอกเช่นเดิม เมื่อเรียนจบแล้ว เธออยากทำวิจัยก็ดี อยากเปลี่ยนอาชีพก็ได้ หรือไม่ก็เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ได้ จะได้สบายสักหน่อย เป็นงานที่มั่นคง สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว
ปัจจุบันนี้สภาพแวดล้อมของวงการแพทย์ค่อนข้างเคร่งเครียดทุกวัน หากเป็นหมอก็จะต้องเสี่ยงอันตราย
จู่ๆ เฉินชางก็คิดถึงคลิปวิดีโอที่เขาเคยดูก่อนหน้านี้ เป็นคลิปที่ภรรยาช่วยสามีแบกปูน เธอยิ้มแย้มให้สามีอย่างอ่อนโยน ทว่าฝ่ายชายกลับเบือนหน้าหนีเพื่อแอบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา
มีผู้ชายคนใดบ้างไม่อยากให้ภรรยาของตนมีชีวิตสุขสบายและมั่นคง!
เฉินชางยิ้ม ส่งข้อความกลับไปว่า ‘ตั้งใจเรียนปริญญาเอกให้ดีแล้วค่อยว่ากันนะครับ’
ทั้งสองคุยกันอีกหลายประโยค จากนั้นเฉินชางก็กล่อมฉินเยว่เข้านอน
เมื่อออกมาแล้วก็พบว่าเมิ่งซียืนอยู่ด้านหน้า
“ยืนยิ้มโง่ๆ อยู่ตรงนั้นทำไมคะ ดึกแล้ว มันทำให้คนอื่นกลัวนะคะ!” เมิ่งซียิ้ม
เฉินชางส่งเสียงชิออกมา “นี่คือความรักไงล่ะครับ คุณรู้จักหรือเปล่า”
เมิ่งซีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา โชคดีที่ดึกดื่นเช่นนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย มิฉะนั้นคงเห็นเธอเป็นคนบ้าไปแล้ว!
“หึ ตอนฉันมีแฟน เธอยังเล่นดินเหนียวอยู่เลย”
เฉินชางมองอีกฝ่าย เธอสวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำบางเฉียบ ข้างล่างเป็นกางเกงยีนส์รัดรูป ให้ความรู้สึกเหมือนสาวยุโรปจริงๆ
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ!
เขาเงยหน้ามองเมิ่งซีแล้วพยักหน้าให้ “ก็ดูออกอยู่ครับ!”
เมิ่งซีเห็นดังนั้นก็อับอายจนกลายเป็นโกรธ “เฉินชางตัวดี กล้าล้อเลียนอาจารย์เหรอ ยังอยากเรียนจบอยู่หรือเปล่า!”
……
เมิ่งซีไปที่ลานจอดรถ ส่วนเฉินชางเดินกลับบ้าน
บ้านเขาอยู่ไม่ไกล เดินไปสิบนาทีก็ถึงแล้ว ตอนนี้บนถนนไม่มีคนอื่นแม้แต่คนเดียว เขาเดินอยู่บนถนนอันคุ้นเคย มองตึกสูงใหญ่อันคุ้นตา ทว่าอารมณ์ความคิดของเขาในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
ในใจมีความคิดบางอย่างเพิ่มขึ้นมากมาย และความคิดบางอย่างก็ลดลงไปมาก
เมื่อกลับถึงบ้านแล้วเฉินชางก็อาบน้ำแล้วขึ้นเตียง จากนั้นจึงเปิดหน้าจอเสมือนของระบบขึ้นมา ดูรางวัลที่ได้รับในคืนนี้
[ติ๊ง! ตะลุยดันเจี้ยนสำเร็จ ได้รับรางวัลดังต่อไปนี้:
1. ยาเพิ่มพลัง 5 เม็ด
2. หนังสือทักษะสีม่วง 1 เล่ม
3. ระดับ +1]
เฉินชางอยากรู้เรื่องยาเพิ่มพลังอย่างเดียว
[ยาเพิ่มพลัง: เมื่อกดใช้จะระเบิดพลังจากภายใน 10 แต้มเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง เป็นยาที่มีผลกระตุ้นศักยภาพ หลังใช้จะรู้สึกหมดแรง 1 ชั่วโมง]
เฉินชางชะงักไปทันที
ไม่ใช้น่าจะดีกว่า
ผมจะเอาพลังมากมายขนาดนั้นไปทำอะไรล่ะ เอาไปใช้ตบตีคนอื่นจะถือว่าเป็นการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุหรือเปล่า
นี่เป็นยุคที่นักตบต้องชดใช้เงินห้าพันหยวนเลยนะ ใครจะกล้าลงมือกับคนอื่นง่ายๆ กันล่ะ
ถ้าจะทำคงต้องมีเหมืองอยู่ในบ้าน ไม่งั้นก็ไปนอนห้องขัง…
……
……
เช้าวันต่อมา เฉินชางมาถึงโรงพยาบาลอันดับสองแต่เช้าตามปกติ
ชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ยังคงมีคนมากมาย เฉินชางมาถึงแต่เช้าจึงช่วยงานได้มากทีเดียว
เมื่อคืนเป็นเวรกลางคืนของสือน่า ตอนนี้เธออยู่ที่ห้องสังเกตอาการ มีผู้ป่วยคนหนึ่งตื่นมาตอนเช้าแล้วก็หมดสติไป
เฉินชางจะเข้าไปช่วย สือน่าเห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉิน ผู้ป่วยไม่เป็นอะไรแล้ว คุณไปช่วยดูผู้ป่วยอื่นด้านนอกเถอะค่ะ”
เฉินชางพยักหน้า “ได้ครับอาจารย์สือ”
ยามเช้าผู้คนค่อนข้างเร่งรีบเพราะต้องไปทำงาน ต่างใช้ชีวิตกันอย่างเร่งร้อน เวลาของทุกคนมีค่าเท่ากัน ดังนั้นหากต้องรอนานจะทำให้เกิดการทะเลาะกันได้ง่าย
เฉินชางเพิ่งเดินออกมาจากห้องสังเกตอาการก็เห็นความวุ่นวายตรงเคาน์เตอร์คัดแยกผู้ป่วย พบว่ามีชายคนหนึ่งกำลังชี้หน้าด่าพยาบาลอยู่ตรงเคาน์เตอร์คัดแยกผู้ป่วย
เฉินชางเห็นดังนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป เขารีบเดินเข้าไปทันที
เสี่ยวหลินยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ลงทะเบียนสำหรับคัดแยกผู้ป่วย มีชายคนหนึ่งสวมสูทและรองเท้าหนัง ถือกระเป๋าราคาแพงกำลังชี้นิ้วด่าเสี่ยวหลินอยู่!
“คุณรู้หรือเปล่าว่าเวลาของผมมีค่าเท่าไหร่ รีบไปจัดการให้ผมเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะโทรหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลของพวกคุณ!”
เสี่ยวหลินหน้าแดง เธอไม่เหมือนกับเล่อเล่อ เป็นเพียงหญิงสาวที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ มีนิสัยเงียบขรึมและซื่อสัตย์ ไม่ค่อยสู้คน
เธอเห็นว่าตอนเช้าเช่นนี้มีผู้ป่วยมากจึงอาสามาช่วยงานที่เคาน์เตอร์คัดแยก ไม่นึกเลยว่าจะเจอผู้ป่วยไร้เหตุผลเช่นนี้
เสี่ยวหลินถูกชายคนนั้นด่าจนรู้สึกไม่ดี “ที่นี่คือโรงพยาบาลนะคะ หวังว่าคุณจะทำตามข้อกำหนดของโรงพยาบาล ทุกคนต้องเข้าแถวค่ะ”