เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ – บทที่ 500 ระลึกถึงวันวานที่มีความหมาย

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

บทที่ 500 ระลึกถึงวันวานที่มีความหมาย

ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนแล้ว!

เมืองอันหยางยังอยู่ในปลายฤดูใบไม้ร่วง เริ่มมีลมพัดแรง

แต่กลุ่มคนที่เดินออกจากโรงพยาบาลอันดับสองยังคงกระฉับกระเฉง

ทังจินโปกับเฉินชางเดินอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ สองมือออกท่าทางเกี่ยวกับภาพจำลองในอนาคตไม่หยุด บรรยายถึงอดีตเกี่ยวกับการฟันฝ่าเรื่องนี้

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเหล่านี้ทยอยกันกลับไปแล้ว มีเพียงฉินเสี้ยวยวนกับหลี่เจี้ยนเหว่ยรวมทั้งหลี่เป่าซานที่ยังอยู่

พรุ่งนี้วันเสาร์ ทุกคนไม่ทำงาน

อารมณ์สนุกสนานมาเยือนเหมือนกระแสน้ำ ฉินเสี้ยวยวนพลันพูดขึ้นว่า “ศาสตราจารย์ทังมาไกล พวกเราไปหาอะไรกินที่ตลาดกลางคืนกันหน่อยไหมครับ ตลาดกลางคืนเมืองอันหยางมีเอกลักษณ์มาก เป็นแหล่งรวมอาหารทั้งเหนือใต้ออกตก ผสมอยู่บนพื้นที่เมืองอันหยางของพวกเรา รสชาติอร่อยไปอีกแบบครับ!”

“งั้นก็รบกวนผู้อำนวยการฉินด้วยครับ” ทังจินโปยิ้ม

พวกเขามาถึงตลาดกลางคืน แต่ละคนใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนัง แต่นั่งบนม้านั่งตัวเล็กๆ

ผ่านไปไม่นาน บนโต๊ะก็วางอาหารไว้เต็ม!

หลี่เจี้ยนเหว่ยมองหลี่เป่าซานพลางยิ้มตาหยี “เป่าซาน…”

หลี่เป่าซานรู้ตัวเองว่าควรทำอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “พวกคุณรอก่อนครับ ผมจะไปสั่งเหล้า”

พูดจบก็เดินเข้าไปในร้าน

ทุกคนเริ่มพากันยิ้ม

ขอเพียงพวกฉินเสี้ยวยวนออกมากินข้าวกับหลี่เป่าซาน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพกเหล้ามาเลย และไม่จำเป็นต้องซื้อเหล้าด้วย ถึงยังไง…ในบ้านหัวหน้าแผนกหลี่ก็มีแต่เหล้า

ตามหลักแล้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอย่างพวกเขาขาดเหล้าได้หรือ

ขาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ละคนชอบดื่มมาก!

แต่พวกเขารู้ว่าหัวหน้าแผนกหลี่เป็นคนไม่ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว

ผ่านไปไม่นาน หลี่เป่าซานก็เดินอุ้มกล่องออกมา เป็นเหล้าเฝินจิ่ว[1]ที่หมักยาวนานสามสิบปี บรรจุอยู่ในขวดแก้ว แค่ดูเวลาก็รู้แล้วว่าหมักนานมาก

มองออกเลยว่าเขายอมควักเนื้อตัวเองเพื่อต้อนรับศาสตราจารย์ทัง

ฉินเสี้ยวยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มร่าเริง “ศาสตราจารย์ทัง นี่เป็นลูกรักของเหล่าหลี่เลยนะครับ ผมอยากดื่มมาหลายปียังไม่มีโอกาสเลย ดูท่าวันนี้คงมีวาสนาแล้ว!”

วันนี้ทังจินโปมีความสุขมาก หรือจะบอกว่าตื่นเต้นมากก็ได้!

ราวกับเขาได้ย้อนกลับไปในวันวานอันมีความหมายตอนนั้น

พวกเขาเริ่มสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกันอย่างช้าๆ พอดื่มมากขึ้น ตอนหลังก็พูดมากขึ้น

ทังจินโปมองเฉินชาง พร้อมกล่าวเนิบๆ ว่า “ผม หวังอวี้ซาน ฉางหงเหล่ยและกู้หงเหมยในตอนนั้น เพื่อที่จะทำคู่มือออกมาใหม่ พวกเราอดนอนทำงานล่วงเวลากันทุกวัน วันวันหนึ่งพวกเราผ่าตัดสิบกว่าเคส ทดลองไม่หยุด ก็เพื่อคิดค้นวิธีการเย็บเส้นเอ็นที่มีประสิทธิภาพเป็นเอกฉันท์ออกมา…

…พวกเราจะเจอกันเดือนละครั้ง ตอนนั้นนั่งรถไฟสีเขียวแบบดั้งเดิม นั่งครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหนึ่งวัน ผมกับเหล่าหวังเป็นผู้ชาย ฉางหงเหล่ยกับกู้หงเหมยเป็นผู้หญิง ก็ช่วยไม่ได้ เพื่อดูแลเพื่อนร่วมงานผู้หญิงอย่างพวกเธอ พวกราเลยไปเมืองหลวงทุกวัน พอไปถึงพวกเราก็เริ่มถกเถียงกัน เพราะถกเถียงกันเรื่องนี้แหละ ผมกับเหล่าหวังยังเคยชกกันด้วย ฮ่าๆ…แต่ตอนนี้แก่กันหมดแล้ว!”

พูดไปพูดมา ในแววตาของทังจินโปก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหวนระลึก นั่นเป็นยุคที่พวกเขารุ่งโรจน์ที่สุด และเป็นยุคสมัยที่มีความหมายของพวกเขาเช่นกัน

“พวกเราสี่คน มีแนวคิดสี่แบบ แต่มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น! พวกเราอยากทำคู่มือศัลยกรรมมือที่ก้าวนำโลกสักเล่ม…

พอพูดถึงตรงนี้ ทังจินโปก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วจ้องเฉินชาง “แนวคิดแบบนี้ของคุณ คิดว่าพวกเราไม่เคยคิดมาก่อนเหรอ…

…ผมทุ่มเทให้แนวคิดนี้มาห้าปีแล้ว! ห้าปีเต็มๆ เลยครับ พวกเราอยากขยี้วิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบต่างๆ ออกมาทำใหม่ สร้างวิธีการเย็บแบบใหม่ขึ้นมา แต่เป็นงานที่ใหญ่เกินไป!…

…ตอนนั้นพวกเรายังใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็น ฉบับร่างที่เขียนด้วยมือกองอยู่เต็มห้อง แค่เพราะหวังว่าจะหาวิธีการเย็บที่ดีกว่านี้ได้…

…ตอนหลัง…พวกเราก็ไม่ได้ยืนหยัดทำต่อไป เพราะยิ่งเวลาล่วงเลยไป แนวคิดในใจของพวกเราก็ยิ่งุรนแรง ตอนนั้นผมร่างแผนขั้นต้นของวิธีการเย็บเส้นเอ็นแบบทังแล้ว เหล่าหวังยังยืนหยัดในแนวคิดของตัวเอง มีแค่ฉางหงเหล่ยกับกู้หงเหมยที่วิจัยค้นคว้าแบบเดิมมาตลอด…

…ตอนนั้นทีมเล็กก็เลยแยกย้ายกันเพราะไม่สบอารมณ์ แผนก็เลยถูกดองไว้อย่างนั้น…

…ตอนหลังพอวิธีการเย็บแบบทังคลอดออกมา ผมก็อายุสามสิบห้าแล้ว…

…หวังอวี้ซานอายุมากกว่าผมปีหนึ่ง กลายเป็นหัวหน้าแผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่ว นำทีมแผนกศัลยกรรมมือเดินไปสู่ความรุ่งเรืองสูงสุด กลายเป็นโรงพยาบาลด้านกระดูกและศัลยกรรมมือในประเทศที่มีน้อยจนนับนิ้วได้!…

…ฉางหงเหล่ยอายุเท่าผม กู้หงเหมยอายุน้อยกว่าผมสองปี เธอกับฉางหงเหล่ยย้ายจากวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งยูเนี่ยนไปโรงพยาบาลจีสุ่ยถาน ทำให้แผนกศัลยกรรมมือของโรงพยาบาลจีสุ่ยถานกลายเป็นเสาหลักของภาคเหนือ”

พอพูดถึงตรงนี้ ทังจินโปก็น้ำตาไหลจนตาพร่าแล้ว

หลี่อวี่ไม่เคยได้ยินอาจารย์พูดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน และไม่เคยรู้ด้วยว่ายังมีเรื่องในอดีตพวกนี้อยู่

ทังจินโปมองเฉินชางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พอได้เห็นงานของคุณ บอกตามตรงครับว่าทำให้ผมนึกถึงพวกเราตอนนั้น เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าฟันเรื่องนี้ แต่…คุณมีก้าวแรกที่ไกลกว่าพวกเรา เสี่ยวเฉิน ผมหวังจริงๆ ว่าคุณจะทำเรื่องนี้ได้ดี คิดค้นวิธีการเย็บเส้นเอ็นออกมาได้ดี…

…นี่…เป็นเส้นทางที่พวกเรายังไม่เคยเดินจนสุดทาง!”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ประโยคนี้ทำให้เฉินชาง เจียงเทาและหลี่อวี่คัดจมูกแล้ว

เฉินชางยกแก้วเหล้าขึ้นมา แล้วบอกทังจินโปว่า “ศาสตราจารย์ทัง พวกเราคารวะคุณหนึ่งจอก!”

เจียงเทากับหลี่อวี่รีบยกแก้วขึ้นมา “ศาสตราจารย์ทัง พวกเราคารวะคุณ!”

ทังจินโปยิ้มบางๆ “เป็นผมต่างหากที่ควรคารวะพวกคุณ!”

ดื่มเหล้าไปเยอะมาก ทังจินโปเมาแล้ว

ระหว่างทางที่กลับโรงแรม พูดไปพูดมาก็เริ่มร้องไห้ “หวังอวี้ซาน ไอ้เวรเอ๊ย ถึงขั้นไม่รับโทรศัพท์ฉันหลายปีเลยเหรอ แม่งเอ๊ย…นายคิดว่านายไม่โทรหาฉัน แล้วฉันจะโทรหานายเหรอ”

“ฉางหงเหล่ย! เธอบอกแล้วไงว่าตอนนั้นจะ…”

“หงเหมย พวกเรายืนหยักทำงานของพวกเรา ตอนนี้มีคนหนุ่มสาวมารับช่วงต่อแล้ว!”

ขณะประคองศาสตราจารย์ทังกลับโรงแรม เฉินชางหนักใจอยู่นานมาก

เจียงเทาเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าที่แท้ตอนแรกอาจารย์ก็มีช่วงเวลาที่มีความหมายแบบนี้เหมือนกัน

เฉินชางมองศาสตราจารย์ทังที่ยังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง จู่ๆ ในใจเกิดบางสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบและภารกิจ

คนรุ่นศาสตราจารย์ทังปูพื้นฐานที่เหนียวแน่นไว้ให้พวกเรา

หรือว่าธงใหญ่ผืนต่อไป ควรจะเป็นพวกเราที่แบกขึ้นมา

พอนึกถึงตรงนี้ เฉินชางก็มองเจียงเทาแวบหนึ่ง ตอนนี้เจียงเทาตาแดงก่ำ เขาเองก็ดื่มไปเยอะเหมือนกัน

ตอนที่ออกจากโรงแรม หลี่อวี่เรียกเฉินชางไว้แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ศาสตราจารย์เฉิน ปีหน้าผมจะเรียนจบแล้ว ผม…ผมอยากไปทำงานกับคุณครับ!”

เฉินชางอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกว่า “ผมจะรอคุณครับ!”

หลี่อวี่พยักหน้า กลับมาที่ห้องในโรงแรม ตอนเห็นอาจารย์ตัวเองที่จนเมามายร้องไห้ฟูมฟาย เขาก็ปวดใจทันที

เขาแอบสาบานว่า “อาจารย์ครับ เส้นทางที่เหลือ ผมจะเดินให้สุดทางแทนอาจารย์เอง!”

ระหว่างทางกลับ จู่ๆ เจียงเทาก็พูดขึ้นว่า “ศาสตราจารย์…เฉิน!”

“คุณเรียกผมเหรอ” เฉินชางงุนงง

เจียงเทาพยักหน้า “ครับ!”

“แปลกๆ นะ” เฉินชางยิ้มเก้อเขิน

แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ จะเรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“ผมผิดไปแล้ว” เจียงเทาบอก

เฉินชางได้แต่ยิ้ม บางที…เขาอาจจะรู้ว่าสิ่งที่เจียงเทาพูดหมายความว่าอะไร

[1] เหล้าเฝินจิ่ว 汾酒 เหล้าขาวจีนที่มีชื่อเสียงของมณฑลส่านซี กลิ่นหอมละมุน สีใส รสสัมผัสอ่อนโยน

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

Status: Ongoing

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท