ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 464 คลื่นอสูร

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 464 คลื่นอสูร

แม้ว่าสถานที่ซ่อนตัวจะอยู่ค่อนข้างห่างจากจุดที่ทำการค้นหา แต่สถานที่แห่งนี้เงียบสงัดเป็นอย่างมากจริงๆ ทำให้เสียงคำรามและกรีดร้องจากโพรงไม้ยังคงดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ให้เข้ามาใกล้ทางด้านนี้

“อาจารย์ ทางนั้นมีเสียงความเคลื่อนไหวขอรับ!” ศิษย์คนหนึ่งของหม่าจินทะยานกลับมารายงาน ชี้นิ้วไปทางโพรงไม้ที่อยู่ไกลออกไป

สายตาของทุกคนกวาดมองไป หม่าจินโบกมือส่งสัญญาณ กลุ่มคนจึงมุ่งหน้าไปทางโพรงต้นไม้ทันที

พวกเขายังไม่ทันเข้าใกล้ อสูรโลหิตก็พุ่งออกมาจากโพรงไม้เสียง ร่อนลงบนกิ่งไม้ที่อยู่ตรงปากโพรง สองปีกค่อยๆ กางออก แสงสีแดงเปล่งออกมาจากตามลวดลายปีก

อสูรโลหิต! ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ล้อมวงเข้ามาชะงักไป หม่าจินเผยมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา คอยเฝ้าระวังอย่างจริงจัง

พรึบ! ปีกผีเสื้อที่ค่อยๆ กางออกพลันกางออกอย่างเต็มที่ แสงสีแดงสาดส่องออกมา อสูรโลหิตกระพือปีกทะยานขึ้นสู่ฟ้า กรีดร้องดัง “กี้ดๆ” ออกมาไม่หยุด

ไม่นานนัก เกิดเสียง “กี้ดๆ” แว่วดังระงมต่อกันเป็นทอดๆ ทั้งในละแวกใกล้เคียงและห่างไกลออกไป ขยายขอบเขตออกไปเป็นวงกว้าง

คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่เข้ามาล้วนได้รับการฝึกอบรมรับมือกับสถานการณ์มาก่อน เพียงแค่เห็นก็รู้ทันทีว่าอสูรโลหิตตัวนี้กำลังเรียกระดมเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อยู่

พอได้ยินเสียงที่แว่วดังเข้าเป็นวงกว้าง แม้แต่ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่กำลังปลูกหญ้าขับแสงอยู่ในเขตป่าที่มีควันสีเขียวลอยอบอวลก็ยังเงยหน้ามองไปรอบๆ เช่นกัน แต่ละคนตั้งท่าป้องกันเต็มกำลัง ทุกคนย่นระยะเข้ามาอยู่ใกล้กันอย่างรวดเร็ว

“รวมตัว!” หม่าจินตะโกน

อสูรผีเสื้อหลายสิบตัวที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงบินลัดป่าเข้ามา พุ่งเข้ามาหามนุษย์กลุ่มนี้ ทำการโจมตีทันที

เหล่าศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ดีดเม็ดยาสีเขียวคล้ำหลายต่อหลายเม็ดออกไป ระเบิดใส่อสูรผีเสื้อที่ดาหน้าเข้ามา ควันสีเขียวหม่นที่ระเบิดฟุ้งออกมาทำให้อสูรผีเสื้อกรีดร้องเสียงแหลมกี้ดๆ ขบวนโจมตีปั่นป่วนขึ้นมา บางตัวทนความระคายเคืองไม่ไหวจนบินสะเปะสะปะ บางตัวก็ตื่นตระหนกจนหดกายถอยหลังไป

บนอากาศเหนือผืนป่า สีหน้าของศิษย์ทั้งสี่คนที่ควบคุมวิหคยักษ์บินวนเวียนอยู่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง มองเห็นแสงสว่างจากปีกที่ขยับกระพือปรากฏขึ้นในป่าไม่ขาดสาย พุ่งเข้ามาทางด้านนี้ด้วยความเร็วสูง

ยิ่งไปกว่านั้นคือมีอสูรผีเสื้อพุ่งออกมาจากป่าในละแวกนี้ มุ่งหน้าขึ้นมาหาวิหคยักษ์ทั้งสี่ที่บินอยู่กลางอากาศ วิหคยักษ์ตื่นตระหนกร้องโวยวาย

“อาจารย์ คลื่นอสูรขอรับ!” ศิษย์คนหนึ่งที่ที่อยู่ในป่าด้านล่างใช้พลังขยายเสียงให้ดังก้อง

หลังจากได้รับรายงาน ทั้งสี่ควบคุมวิหคทั้งสี่บินล่าถอยไปทันที

ช่วยไม่ได้จริงๆ วิหคยักษ์มีมูลค่าแพงลิบลิ่ว เรื่องการต่อสู้กลางอากาศไม่มีทางสู้กับอสูรผีเสื้อได้ พวกเขาแบกรับความเสียหายเช่นนี้ไม่ไหว

ยิ่งไปกว่านั้นคือมองจากสถานการณ์นี้ หากไม่รีบถอยก็จะไม่ทันการแล้ว

ระหว่างที่ล่าถอย ทั้งสี่คนต่างดีดเม็ดยาสีเขียวคล้ำออกไปอย่างต่อเนื่อง อาศัยควันที่ระเบิดออกมาสกัดกั้นอสูรผีเสื้อที่ไล่ตามมา บ้างก็ฟันกำจัดอสูรผีเสื้อที่ขวางทางเพื่อเปิดทางให้วิหคพาหนะ วิหคทั้งสี่ตัวร้องโวยวายด้วยความตื่นตระหนก

คลื่นอสูรหรือ? พอหม่าจินได้ยินเสียงแจ้งเตือนก็เงยหน้าขึ้นทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ตะโกนอย่างไม่ลังเลว่า “หนี!”

เฉาเซิ่งไหวก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าจะดึงดูดคลื่นอสูรมา ในฐานะศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์จะไม่ทราบถึงความน่ากลัวของคลื่นอสูรภายในแดนความฝันผีเสื้อได้อย่างไร ความคิดที่จะตามไล่ล่าให้ถึงที่สุดถูกโยนออกไปจากสมองทันที เร่งทะยานขึ้นสู่นภาไปพร้อมกับศิษย์ร่วมสำนักอย่างรวดเร็ว กระโดดไต่ไปตามกิ่งไม้ เหินขึ้นสู่เหนือยอดไม้พร้อมกับทุกคน ต้องการมุดผ่านคาคบไม้หนาทึบเพื่อหนีออกจากป่าแห่งนี้

ทว่าตอนที่อยู่ด้านล่างชักช้าไปหน่อยจึงสายไปเสียแล้ว อสูรผีเสื้อนับร้อยตัวปกคลุมหนาแน่นทั้งด้านบนด้านล่าง พากันมุดเข้ามาในป่าด้านล่างสกัดขวางพวกเขาไว้

ควันที่ระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องบีบให้อสูรผีเสื้อที่ดาหน้าเข้ามาต้องถอยห่างออกไป ทั้งกลุ่มพุ่งออกมาจากป่าทะยานขึ้นสู่อากาศ แต่ก็ถูกอสูรผีเสื้อที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มโผเข้ามาหาอีกครั้ง

อสูรโลหิตตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากป่า กระพือปีกลอยค้างอยู่ในอากาศ ชี้กรงเล็บไปทางเฉาเซิ่งไหวและสองพี่น้องสกุลเหอพลางเปล่งเสียง “กี้ดๆ” ไม่หยุด

อสูรผีเสื้อที่ไล่ตามมาเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ทั้งเก้าชีวิตตกอยู่ในความตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง ยาที่ใช้ระเบิดเปิดทางก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ด้านหน้าถูกบีบเข้ามา ด้านหลังก็มีพวกมันรออยู่ หนีๆ หยุดๆ เป็นระยะ ดูเหมือนจะอยู่ห่างจากแนวป้องกันของหญ้าขับแสงอีกไม่ไกล แต่ความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปใกล้กลับอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง

สุดท้ายแล้ว ‘ยาขับไล่’ ที่พวกเขาพกติดตัวมายังคงมีจำนวนจำกัด หากใช้ไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน หลบหนีไปได้ไม่ถึงครึ่งทางก็หมดลงแล้ว

เสียงต่อสู้ดุเดือดแว่วดังขึ้นมา ทั้งเก้าคนจำเป็นต้องชักอาวุธออกมาต่อสู้เอาชีวิตรอดจากอสูรผีเสื้อ มีอสูรผีเสื้อถูกฟันจนมีหยาดโลหิตโปรยปรายลงมาเหมือนหยาดฝนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับสังหารไม่หมดไม่สิ้นเสียที แสงสว่างจากปีกนับไม่ถ้วนที่ขยับกระพืออยู่รอบข้างโฉบวนกลับเข้ามาโจมตี

“อ๊าก…” เสียงโหยหวนเสียงหนึ่งแว่วดังขึ้นมา ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์คนหนึ่งถูกรัดคอจากด้านหลังแล้วลากออกไป พริบตาเดียวก็ถูกอสูรผีเสื้อหลายตัวรุมฉีกทึ้งกลางอากาศ เลือดเนื้อสาดกระจาย

เฉาเซิ่งไหวที่เหลือบไปเห็นเข้าก็อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ไม่ทันระวังถูกกรงเล็บข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้าไหล่กระชากร่างให้ล้มหงาย ความเจ็บแปลบตรงไหล่นั่นไม่เท่าไร แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือถูกกรงเล็บนับไม่ถ้วนยื่นเข้ามาจับไว้ ชนกระแทกกิ่งก้านไม้ไปตลอดทางจนถึงด้านล่าง เรียกได้ว่าตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างอย่างแท้จริง ไม่ทันให้ได้รู้สึกนึกเสียใจด้วยซ้ำ

ฝูงอสูรผีเสื้อไล่ตามลงมา วิหคสี่ตัวที่อยู่ภายใต้การปกป้องของ ‘ยาขับไล่’ หนีรอดไปถึงฝั่งหน้าผาได้อย่างราบรื่น เข้าสู่แนวป้องกันของหญ้าขับแสงแล้ว

อสูรผีเสื้อที่ไล่ตามมาเข้าไปในแนวป้องกันได้เพียงระยะหนึ่งก็ทนรับกลิ่นฉุนรุนแรงนั้นไม่ไหว จนต้องหักเลี้ยวบินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ล้มเลิกการตามล่า

มนุษย์สี่คนที่อยู่บนหลังวิหคหันกลับไปมอง เห็นจุดแสงที่บินฉวัดเฉวียนเนืองแน่นอยู่เหนือผืนป่าแถบนั้น ในใจนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ทราบดีว่าหากไม่ตัดสินใจล่าถอยในทันที หากรั้งอยู่ต่อแม้แต่ครู่เดียว เกรงว่าพวกเขาก็อย่าหวังจะหนีรอดออกมาได้อย่างราบรื่นเช่นกัน

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ดีๆ พวกหม่าจินเข้าไปทำอะไรกัน ดันไปทำให้เกิดคลื่นอสูรขึ้นมาได้

พวกเขาไม่เชื่อว่าหม่าจินจะไม่ทราบถึงคำสั่งของทางสำนักที่ว่าหากไม่จำเป็นก็ห้ามก่อเรื่องที่จะเป็นการยั่วยุโทสะของอสูรผีเสื้อจนเกินไป มิเช่นนั้นจะไม่ส่งผลดีต่อผู้ใดเลย

“พวกเจ้ารีบไปขอกำลังเสริมเร็ว!” ศิษย์คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

ทำได้เพียงไปขอกำลังเสริมเท่านั้น เพราะพวกเขาไม่กล้าย้อนกลับไปอีก

เขาบังคับวิหคยักษ์รั้งอยู่สังเกตสถานการณ์ที่นี่ ส่วนอีกสามคนที่เหลือบังคับวิหคยักษ์บินออกไปอย่างรวดเร็ว

กลุ่มสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังชะง่อนหินท่ามกลางความมืดมิดก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกันเมื่อได้เห็นฉากเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเหนือผืนป่า ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย

“นี่ก็คือคลื่นอสูรที่เล่ารือกันอย่างนั้นหรือ?” หลัวหยวนกงพึมพำกับตัวเองดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ซูพั่วมีสีหน้าตึงเครียด “น่าจะใช่ ลือกันว่าในอดีตเหล่ายอดคนอยากจะพิชิตครอบครองสถานที่แห่งนี้ แต่หลังจากกระตุ้นให้เกิดคลื่นอสูรขึ้นมาก็จำเป็นต้องอพยพล่าถอยออกไปจากที่นี่”

ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม “แม้แต่ยอดคนก็ยังสู้กับอสูรผีเสื้อของที่นี่ไม่ได้หรือขอรับ?”

ซูพั่วตอบว่า “ก็ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่อดนความฝันคือโลกของอสูรผีเสื้อ จำนวนของอสูรผีเสื้อมีมากมายมหาศาลเกินไป สังหารไม่จบไม่สิ้น เสียเวลานานเข้าก็ไม่เป็นผลดีต่อเหล่ายอดคนเช่นกัน ทำได้เพียงยอมแพ้ล่าถอยไป มิเช่นนั้นที่นี่คงไม่ตกมาถึงมือสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรอก”

ทันใดนั้นหลัวหยวนกงเอ่ยเตือนขึ้นมา “หนิวโหย่วเต้าก็อยู่ด้วยไม่ใช่…”

เขาพูดออกมาได้ครึ่งประโยคก็หยุดไป ทุกคนล้วนมองไปที่ถังอี๋ มองเห็นถังอี๋กัดริมฝีปากแน่นพลางเพ่งมองออกไป

สองมือของเว่ยตัวกำเข้าหากัน แววตาหวาดหวั่นเป็นกังวล ทุกคนล้วนเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในป่ากับศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์ ล้วนสงสัยขึ้นมาแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าอาจจะตกอยู่ในวงล้อมอันน่าสิ้นหวังของคลื่นอสูรด้วย

“พวกเราจะรอเฉยไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือพวกเขา!” เว่ยตัวตกอยู่ในความร้อนรน พูดโพล่งออกมาได้อย่างไหลลื่น

ทุกคนมองเขาด้วยความตะลึง ต่างนึกว่าหูฝาดไป แต่เขาพูดไม่ผิดเลย

ซูพั่วเอ่ยว่า “ช่วยอย่างไรเล่า? พวกเราเข้าไปก็มีแต่จะตายเปล่า”

“แต่ก็ไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้ ข้า…ข้าจะไปตามคนมาช่วย!” เว่ยตัวว่าแล้วก็หันหลังวิ่งออกไป

ซูพั่วตะโกนเรียก “กลับมา!”

เว่ยตัวไม่สนใจ ทะยานร่างจากไปแล้ว…

….

ในเวลานี้พวกหนิวโหย่วเต้ามุดออกมาจากโพรงไม้ ถูกเสียงต่อสู้ดังครึกโครมจากกลางอากาศดึงดูดออกมา ต่างยืนอยู่บนยอดไม้โผล่ตัวออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อสังเกตการณ์

อสูรผีเสื้อที่พุ่งเข้ามาหมายจะโจมตีพวกเขาล้วนอ้อมเลี่ยงออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ทั้งกลุ่มถึงได้สังเกตการณ์อย่างสบายใจ

ภาพเหตุการณ์อันน่าตระการตาที่มีอสูรผีเสื้อบินว่อนอยู่เต็มท้องฟ้าทางเบื้องหน้าชวนให้ตกตะลึงเป็นอย่างมากจริงๆ แต่ก็งดงามน่าอัศจรรย์เช่นกัน แสงสดใสพร่างพราวล่องลอยทั่วฟากฟ้า แต่ละคนมองกันจนตาค้าง แม้แต่หยวนกังเองก็รู้สึกยากจะเชื่อได้ว่านี่เป็นฝีมือของเขาอย่างนั้นหรือ?

หยวนฟางมองหยวนกังด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพยกย่อง

ก่วนฟางอี๋ก็เหลือบมองหยวนกังเป็นระยะๆ ด้วยสายตาราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่ เวลานี้นับว่าโล่งใจอย่างสมบูรณ์แล้ว มีสัตว์ประหลาดตนนี้อยู่ แดนความฝันผีเสื้อแห่งนี้ยังจะมีอะไรน่ากังวลอีกเล่า?

หนิวโหย่วเต้าอดถอนหายใจไม่ได้ “ต้องขอบคุณกฎธรรมชาติ หากว่าอสูรผีเสื้อเหล่านี้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้ เกรงว่าใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดสู้กับพวกมันได้”

ทุกคนเข้าใจความหมายของเขา แปลง่ายๆ ก็คือพลังของอสูรผีเสื้อแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรน่าจะมีคนที่ทรงพลังกว่าอสูรผีเสื้ออยู่มากมายนัก แต่ประเด็นสำคัญคืออานุภาพของการจับกลุ่มต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวเหลือเกิน

มีเสียงดังครืนๆ แว่วมาจากพื้นดินไม่หยุด หม่าจินร่อนลงสู่พื้นเสมือนสัตว์ติดบ่วง ต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ท่ามกลางป่าทึบ ตะลุยฝ่าเพื่อล่าถอยกลับไป โลหิตสีเขียวเหนียวหนืดเปื้อนอยู่ทั่วร่าง

เวลาที่อยู่กลางอากาศไม่สามารถตอบโต้อสูรผีเสื้อที่เหินบินว่องไวปราดเปรียวที่โจมตีเข้ามาจากทั่วทุกทิศได้ แต่หากลงมาบนพื้นก็พอจะครองความได้เปรียบในได้บ้าง

เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนสังหารอสูรผีเสื้อไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ทว่ายังคงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมโจมตีอันหนาแน่น จำนวนอสูรที่เข้ามาโจมตีไม่ลดน้อยลง สังหารไม่หมดไม่สิ้น

เขาตะลุยสู้ไปคนเดียว ไม่มีเวลามานั่งสนใจคนอื่น เขารู้ดีว่าคนอื่นน่าจะจบเห่ไปแล้ว

ฟุบๆๆ อสูรโลหิตห้าตัวที่เปล่งแสงสีแดงฉานพลันพุ่งเข้าไปกลางวงล้อมโจมตีพร้อมกัน อสูรปีกขาวและอสูรปีกน้ำเงินกลุ่มหนึ่งพอสบโอกาสก็เข้าโจมตีประสานกัน

“อ๊าก!”

หม่าจินที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมโจมตีจนแทบจะมองไม่เห็นตัวพลันส่งเสียงคำรามโหยหวนออกมา ตวัดกระบี่ฟันคออสูรโลหิตตัวหนึ่ง แต่อสูรโลหิตตัวนั้นยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งกะซวกเข้าสู่ลำคอของเขาได้ก่อน โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ

ในชั่วพริบตานั้น กรงเล็บหลายข้างยื่นเข้ามา รุมฉีกทึ้งร่างหม่าจินอยู่ตรงนั้นจนเลือดเนื้อสาดกระจาย

ศิษย์สำนักหมื่นสรรพสัตว์นับร้อยชีวิตที่เข้ามาปลูกหญ้าขับแสงก็พลอยโชคร้ายไปด้วย ไม่มีใครหนีรอดจากคลื่นอสูรไปได้แม้แต่คนเดียว…

เสียงร้อง “กี้ดๆๆ” แว่วสะท้อนกังวานอยู่ภายในป่าอีกครั้ง

อสูรผีเสื้อที่บินโฉบอยู่ทั่วนภาเริ่มแยกย้ายกันไป ไม่นานนักก็หายไปจนหมด

ด้วยปีกที่มีอยู่ทำให้พวกบุกเข้ามาอย่างรวดเร็วและจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน โลกหวนกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

ใต้พุ่มพฤกษา อสูรโลหิตตัวหนึ่งพาอสูรปีกน้ำเงินสามตัวบินมุดเข้ามา กรงเล็บของอสูรปีกน้ำเงินทั้งสามตัวต่างหิ้วร่างมนุษย์เอาไว้ตัวละคน พอร่อนลงถึงพื้นก็เหยียบร่างทั้งสามคนเอาไว้ใต้เท้า เป็นเฉาเซิ่งไหวและสองพี่น้องสกุลเหอ เสื้อผ้าทั้งสามขาดวิ่น มีบาดแผลทั่วร่าง แต่ยังคงมีชีวิตอยู่

พวกหนิวโหย่วเต้าร่อนลงมาจากยอดไม้ หยวนกังคำรามฮึดฮัดสื่อสารกับอสูรโลหิตที่ร้องกี้ดๆ

พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นฉากนี้ พวกเฉาเซิ่งไหวพลันตื่นตะลึง เรียกได้ว่าไม่อยากจะเชื่อเลยทีเดียว คนพวกนี้ร่วมมือกับอสูรโลหิตได้อย่างนั้นหรือ?

“เฉาเซิ่งไหว เหอโหย่วเจี้ยน เหอโหย่วฉาง” หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่พลางยิ้มละไม ไล่ชื่อของคนทั้งสามออกมาโดยไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย

ช่วงที่อยู่ด้านนอกแดนแห่งความฝัน ตอนหยวนกังแยกตัวจากกลุ่มไปเดินเล่นก็ไม่ใช่แค่ไปเดินเล่นเปล่าๆ เท่านั้น เขาจดจำลักษณ์ของคนทั้งสามไว้ไปแล้วสอบถามข้อมูลจากผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ มาเล็กน้อย รู้แม้แต่เรื่องที่เฉาเซิ่งไหวเป็นหลานชายของเฉาจิ้ง หลังจากนั้นก็กลับมารายงานให้หนิวโหย่วเต้าทราบ

แต่เฉาเซิ่งไหวก็ยังดันรนหาเรื่อง ยังคงใช้แซ่หลี่ซึ่งเป็นชื่อปลอมมาหลอกลวงหนิวโหย่วเต้า

ก่วนฟางอี๋มองไปที่หนิวโหย่วเต้า ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นมา ตระหนักบางอย่างได้แล้ว ไอ้สารเลวผู้นี้รู้แต่แรกแล้วว่าสามคนนี้มีปัญหา!

…………………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท