ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 483 จ้าวสยงเกอมาแล้ว

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 483 จ้าวสยงเกอมาแล้ว

ทั้งสามคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มองแล้วไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นัก ซูพั่วขอคำอธิบาย “คนผู้นี้คือ?”

หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา “นางเป็นใครไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสองวันมานี้ลำบากท่านทั้งสามแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

ซูพั่วอ้าปากทว่าพูดไม่ออก ประเด็นสำคัญคือการขอร้องคนอื่นมิใช่เรื่องง่าย จะพูดจาหนักไปก็ไม่ได้ จะพูดจาระคายหูก็ไม่ได้อีก

ถังอี๋เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะเข้าใจผิดข้าอย่างไรก็ได้ แต่จะไม่ยอมทำอะไรเพื่ออาจารย์อาตงกัวจริงๆ หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าย้อนถาม “ข้าเข้าใจผิดเจ้าอย่างไร? ปีนั้นตอนที่สำนักสวรรค์พิสุทธ์ต้องการสังหารข้า เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่รู้เรื่องด้วยเลย? เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่ได้ยอมรับอย่างเงียบๆ?”

ถังอี๋กัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออก เรื่องไร้จิตสำนึกที่ทำลงไปในอดีตครานั้นสุดท้ายก็เป็นเส้นขีดคั่นอยู่ระหว่างคนทั้งสอง

ซูพั่วกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต้า เรื่องราวในปีนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้าสำนัก เป็นพวกเรา…”

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามไม่ให้เขาพูดต่อ เอ่ยต่อไปว่า “เอะอะอะไรก็เอ่ยถึงอาจารย์อาตงกัว แล้วครั้งนั้นพวกเจ้ายอมเห็นแก่หน้าตงกัวเฮ่าหราน ปล่อยให้ข้าเหลือทางรอดบ้างหรือไม่? เจ้าสำนักถัง เจ้าพิจารณาตัวเองให้ดีเถิด ตอนอยู่ในแดนจิตสำนึก ข้าห้ามไม่ให้พวกเจ้าตามมา ให้พวกเจ้ารีบพาคนออกไป เจ้าฟังหรือเปล่า? ข้าบอกเจ้าไปชัดเจนแล้วว่าจะเกิดปัญหาขึ้น ให้เจ้ารีบออกไปเสีย แต่เจ้าก็ยังพาคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้ามาติดร่างแหด้วยตัวเอง พบพานคนอย่างพวกเจ้า ต่อให้ฟ้าถล่มก็รั้งกลับมาไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่ยอมฟัง แล้วจะให้ข้ากลับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปทำไม? หรือจะให้ไปเป็นเจ้าสำนักที่ไม่มีผู้ใดเชื่อฟัง แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร?”

ถังอี๋เอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าจะมีเรื่อง พวกเราก็นึกห่วงความปลอดภัยของเจ้า ก็เลย…”

หนิวโหย่วเต้าตัดบท “เลิกหาเหตุผลได้แล้ว แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้ คิดจะมาห่วงความปลอดภัยข้าอีกหรือ เจ้าล้อเล่นอันใดอยู่ มีความสามารถพอจะช่วยเหลือข้าได้หรือไร?”

ถังอี๋กล่าวว่า “ได้ ครั้งนี้นับว่าข้าผิดไปแล้ว ขอเพียงเจ้ายอมกลับมา วันหน้าพวกเราจะเชื่อฟังแต่โดยดี”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ผิดแค่ครั้งนี้ พวกเจ้าทำผิดมาหลายครั้งแล้ว อย่ามาพูดอะไรจำพวกวันหน้าจะเชื่อฟังเลย ขนาดนี้ตอนนี้ก็ยังมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ยอมเชื่อฟัง ข้าเคยพูดไปชัดเจนแล้ว ให้พวกเจ้าไปจัดการผู้อาวุโสถังคนนั้นให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

พูดประโยคเดียวก็อุดปากทั้งสามไว้ได้แล้ว ความรู้สึกที่ต้องมาอ้อนวอนคนอื่นนั้นช่างไม่น่าอภิรมย์เลย ต้องทนรับการถูกฉีกหน้า

ก่วนฟางอี๋ที่อยู่ด้านข้างได้แต่ทอดถอนใจ มองหนิวโหย่วเต้าด้วยสีหน้ายิ้มคล้ายมิยิ้ม สังเกตเห็นว่าคนผู้นี้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็รับมือได้ มีเพียงตอนอยู่ต่อหน้าถังอี๋ที่จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัญหา

“ส่งแขก!” หนิวโหย่วเต้าหันหลังให้อย่างไม่ไว้หน้า มองออกไปนอกหน้าต่าง

“เชิญ!” หยวนกังผายมือเชิญคนทั้งสามให้ออกไป

กระทั่งทั้งสามออกไปแล้ว ก่วนฟางอี๋หัวเราะเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ย เจ้าออกจะเสียกริยาไปหน่อยนะ”

หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียง “พวกโง่เง่า”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “จะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่เขลา พวกเขาไม่มีสิทธิ์พอจะวางอำนาจได้ ดังนั้นจึงต้องปล่อยให้คนมองว่าโง่เขลา เรื่องที่คนรุ่นก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ทำไว้ ผลลัพธ์และผลกระทบล้วนตกมาอยู่ที่พวกเขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ไม่มีที่ไหนยอมรับพวกเขาไว้ เจ้าจะให้พวกเขาทำอย่างไรเล่า? พวกเขาแบกรับภาระมาตลอด ลำบากลำบนนัก เจ้าก็ต้องการเลี่ยงผลลัพธ์และผลกระทบอยู่มิใช่หรือ? มิเช่นนั้นตัวเจ้าไหนเลยจะต้องกลัวว่าจะเลี่ยงไม่พ้นขนาดนั้น? เจ้าหนีได้ แต่พวกเขาทำได้เพียงต้องทนแบกรับไว้ เพราะว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป…

ช่วงพลบค่ำวันนั้น คนที่ประกาศไว้ว่าจะไม่ยอมก้มหัว คนที่คอยคัดค้านเรื่องหนิวโหย่วเต้ากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เได้มาปรากฏตัว ถังซู่ซู่มาแล้ว

ซูพั่วและหลัวหยวนกงก็ตามมาด้วย เดิมทีถังอี๋ก็อยากมาด้วย แต่ถูกสองผู้อาวุโสห้ามไว้ เนื่องจากทั้งสองก็มองออกเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าคุยกับถังอี๋ไม่ได้จริงๆ

แม้แต่ซูพั่วและหลัวหยวนกงก็ไม่คิดไม่ถึงเลยเช่นกันว่าพอเข้ามาในห้องพักของหนิวโหย่วเต้า ทันทีที่เห็นหนิวโหย่วเต้า ถังซู่ซู่จะค่อยๆ คุกเข่าลงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ คุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า

เดิมทีซูพั่วและหลัวหยวนกงคิดจะยื่นมือไปรั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ชักมือที่ยื่นออกไปกลับมา

การคุกเข่าครั้งนี้ทำให้ภายในห้องเงียบสงัดลง รวมถึงหนิวโหย่วเต้าด้วย ล้วนแต่คิดไม่ถึงเลยว่าถังซู่ซู่ที่ไม่เคยยอมก้มหัวมาโดยตลอด พอยอมก้มหัวแล้วจะทำได้อย่างหมดจดเช่นนี้

แค่ดูก็รู้ว่าอายุของถังซู่ซู่นั้นมากแล้ว อายุราวเจ็ดสิบแปดสิบปี มาคุกเข่าให้คนรุ่นเยาว์เช่นนี้ ซ้ำยังเป็นผู้อ่อนอาวุโสด้วย ผู้ใดเห็นก็รู้สึกหนักใจทั้งสิ้น

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว หนิวโหย่วเต้ารับการคุกเข่านี้ไม่ไหว ตงกัวเฮ่าหรานเองก็รับไม่ไหวเช่นกัน ลำดับอาวุโสของถังซู่ซู่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แล้วก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ จึงทำให้ที่ผ่านมาถังซู่ซู่ไหนเลยจะทนก้มหน้าเชื่อฟังชนรุ่นหลังที่อ่อนวัยเช่นนี้ได้

แต่เหตุการณ์ที่เผชิญอยู่ด้านนอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทำให้นางรู้ซึ้งแล้ว เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่สูงส่งได้รับความอัปยศอดสูถึงเพียงนั้น แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับหมดปัญญาจะทำอันใดได้ ทำให้ทั่วทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตลอดจนถึงบรรพจารย์รุ่นก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ล้วนได้รับความอัปยศกันถ้วนหน้า

นางเป็นสตรีที่ต้องทำตัวเข้มแข็งคนหนึ่ง ไร้หนทางจะระบายความคับข้องเศร้าหมองในใจออกมา

ครั้งนี้นางได้รับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าเกียรติยศและทิฐิส่วนตัวของนาง หากเทียบกับความอยู่รอดของทั้งสำนักแล้วไม่นับเป็นอันใดเลยจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้นางจึงยอมมาคุกเข่าให้

หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงการคุกเข่านี้ หากแต่เอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อนาทรร้อนใจว่า “ไยผู้อาวุโสถังจึงให้เกียรติกันถึงเพียงนี้เล่า?”

ถังซู่ซู่มีสีหน้าโศกหมอง ปีนั้นที่ลงมือกับหนิวโหย่วเต้า ไหนเลยจะเคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ นางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าผิดไปแล้ว ข้ามายอมรับผิดกับท่านแล้ว! ความผิดทั้งปวงล้วนเป็นความผิดของตัวข้าผู้เดียว ท่านเป็นผู้มีเกียรติ อย่าได้ถือสาผู้น้อยเลย อย่าได้ถือสาคนเขลานางเฒ่าอย่างข้าเลย! ขอเพียงท่านยอมช่วยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้พ้นภัย ชีวิตของข้าก็มอบให้ท่านได้ เชิญจัดการได้ตามใจชอบ แม้นตายก็ไม่เสียดาย!”

ซูพั่วและหลัวหยวนกงมีสีหน้าเคร่งเครียด ต่างจ้องมองปฏิกิริยาของหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็เปล่งเสียงขึงขังว่า “ได้! นับจากวันนี้ไป ความบาดหมางระหว่างข้ากับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะถูกลบเลือนหายไป ล้วนเป็นอดีตไปแล้ว ลุกขึ้นเถอะ!”

ถังซู่ซู่ส่ายหน้า “หากท่านไม่รับปากว่าจะช่วยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าจะไม่ลุก!”

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองนาง “อย่าได้บีบคั้นข้าจะดีกว่า ให้เวลาข้าทบทวนสักสองสามวันก่อน!”

“ข้า…” ถังซู่ซู่ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่หลัวหยวนกงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ศิษย์น้องหญิง ลุกขึ้นเถอะ!”

เขาและซูพั่วเข้าไปพยุงตัวนางขึ้นมาพร้อมกัน ปรามไม่ให้นางพูดต่อ ด้วยเกรงว่าจะทำให้หนิวโหย่วเต้ามีโทสะ

หลังทั้งสามคนจากไป หนิวโหย่วเต้านั่งลงริมเตียง เงียบงันไม่พูดจา หัวใจหนักอึ้งเพราะการคุกเข่านั้น ฉากเหตุการณ์ในวัดผุพังผุดขึ้นมาในหัว ตงกัวเฮ่าหรานที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้าใช้วิชาลับของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เปลี่ยนพลังสภาวะชั่วชีวิตให้กลายเป็นยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสามสิบหกจุดเพื่อปกป้องเจ้าจากสิ่งชั่วร้าย…”

ซึ่งความจริงมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายของตงกัวเฮ่าหรานเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นกันการต่อสู้กลางทะเลทรายที่หอไร้ขอบเขต จนถึงตอนนี้ในร่างเขาก็ยังเหลือยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายจากตงกัวเฮ่าหรานอยู่สามจุด เหลือไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน พลังสภาวะเกินครึ่งภายในร่างเขาอันที่จริงก็มาจากสภาวะของตงกัวเฮ่าหราน

ก่วนฟางอี๋สังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ใช้สองมือยกชายประโปรงนั่งลงข้างๆ ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ปวดหัวนัก เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงไม่มอบคำตอบให้พวกเขาไปตรงๆ เล่า?”

หนิวโหย้วเต้าเอ่ยเนิบช้า “คำตอบข้ายังไม่ชัดเจนพอหรือ?”

ก่วนฟางอี๋ถาม “เจ้าบอกจะทบทวนอีกสองสามวันไม่ใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ข้ากำลังรอให้คนเบื้องหลังปรากฏตัว เรื่องบางอย่างสมควรมาคุยกันให้ชัดเจน สรุปแล้วมีแผนการอันใดอยู่กันแน่ ข้าไม่อาจให้ความช่วยเหลือโดยไม่รู้เรื่องราวได้”

….

ม่านรัตติกาลคลี่กาง จันทราสาดแสง บนเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางยอดเขาทอดตัวดั่งระลอกคลื่น วิหคยักษ์สีดำตัวหนึ่งกาะอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง

บุรุษมอซอคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างภายใต้เงาร่างของมัน มีน้ำเต้าสุราห้อยอยู่ที่เอวของเขา บุรุษคนนั้นยกมือไพล่หลัง ทอดมองจันทรา เป็นจ้าวสยงเกอ

เงาร่างหนึ่งโฉบเข้ามาท่ามกลางขุนเขา ร่อนลงบนเนินเขา เป็นลุงเฉินนั่นเอง

ลุงเฉินเดินเนิบๆ เข้ามา มองสำรวจจ้าวสยงเกอหัวจรดเท้า เอ่ยถามหยั่งเชิง “ท่านคือท่านจ้าวกระมัง?”

จ้าวสยงเกอหันหน้ามา ยิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าคงเป็นเฉินกงกระมัง? ทูตซ้ายให้ข้ามาพบเจ้า เล่าสถานการณ์มาเถิด”

ลุงเฉินเล่าว่า “เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย เกิดปัญหานิดหน่อยขึ้นกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เพียงแต่คลี่คลายลงแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตามเข้าไปในแดนความฝันแล้วถูกจับกุมไป จากนั่นก็เล่าเรื่องที่รอดตัวจากสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาได้

หลังจ้าวสยงเกอได้ฟัง สายตาพลันหันเหไปยังทิศทางของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เฉาจิ้ง! ใจกล้าไม่เบาเลย! คิดว่ามีสำนักหมื่นสรรพสัตว์หนุนหลังแล้วข้าจะไม่กล้าแตะต้องเขาอย่างนั้นหรือ? หากมีโอกาสข้าจะจัดการเขาแน่นอน ดูสิว่าเขาจะรอดไปได้สักกี่น้ำ! ”

ลุงเฉินเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้ามาครั้งนี้ หงเหนียงเป็นกังวลมาตลอด กังวลมาหนิวโหย่วเต้าจะมาหาเรื่องเฉาจิ้ง เพียงแต่หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับ”

“เรื่องนี้ข้าได้ฟังจากท่านทูตซ้ายของพวกเจ้าแล้ว” จ้าวสยงเกอพยักหน้ารับนิดๆ เอ่ยถามไปว่า “คนที่หนิวโหย่วเต้าเรียกระดมกำลังมามาถึงหรือยัง? เตรียมจะลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างไร?”

เนื่องจากเขาได้รับข่าวว่าหนิวโหย่วเต้าจะลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถึงได้เร่งเดินทางมา พอได้รับข่าวก็เดินทางมาทันที ขี่โห่วขนทองมาคงไม่ทันการ จึงโดยสารวิหคยักษ์ตัวหนึ่งมา

ลุงเฉินตอบว่า “หนิวโหย่วเต้าคนนี้ทำอะไรไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ จะจัดการอย่างไรก็ไม่ทราบแน่ชัด หากคำนวณจากระยะทางแล้ว กำลังคนน่าจะอยู่ระหว่างเดินทางขอรับ”

จ้าวสยงเกอถาม “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”

ลุงเฉินตอบว่า “ตอนนี้มีเท่านี้ขอรับ”

จ้าวสยงเกอพยักหน้ารับ “ดี เจ้าเองก็ไม่ควรออกมานานเกินไป กลับไปก่อนเถอะ”

ลุงเฉินประสานมือคำนับแล้วจากไป

จ้าวสยงเกอไม่ได้จากไปไหน แต่เฝ้ารออยู่ที่นี่ต่อไป

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม มีเงาร่างมนุษย์โฉบเข้ามาอีกครั้ง ร่อนลงบนเนินเขาแล้วเดินกะเผลกๆ เข้ามาหา เป็นถูฮั่นตาเดียวขาเป๋ เดินเข้ามาประสานมือคำนับ “อาจารย์! ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เกือบจะประสบปัญหาเพราะสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว”

จ้าวสยงเกอถาม “ข้าพอจะรู้เรื่องมาแล้ว เล่ามาให้ละเอียดสิว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ารอดจากคลื่นอสูรมาได้อย่างนั้นหรือ?”

ถูฮานผงะไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินข่าวมาจากไหน หรือว่ายังมีสายสืบคนอื่นอยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อีก?

หลังจากเขาบอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียดจบแล้ว จ้าวสยงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความฉงน “เจ้าจะบอกว่าก่อนเกิดเรื่อง หนิวโหย่วเต้าได้สั่งให้ถังอี๋ล่าถอยออกไปแล้ว เตือนก่อนแล้วว่าจะเกิดเรื่องอย่างนั้นหรือ?”

ถูฮั่นตอบว่า “ขอรับ เขาน่าจะหวังดี แต่เจ้าสำนักไม่ทำตามที่เขาบอก ถึงได้เผชิญปัญหาเข้า”

“หวังดีหรือ?” จ้าวสยงเกอหัวเราะฮ่าๆ เผยรอยยิ้มขมขื่น สายตามองออกไปในความมืด “คนผู้นี้รับมือยากนัก อุบายของข้าตบตาเขาไม่ได้เลย มีความเคลื่อนไหวผิดแผกไปเล็กน้อยก็กระตุ้นความระแวงของเขาแล้ว จัดการยากจริงๆ เขาไม่ได้คิดจะลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เลย เป้าหมายคือกดดันให้ข้าเผยตัว เฉินกงตกหลุมพรางของเขาเสียแล้ว ถูกจับได้แล้ว”

เฉินกงอันใดอีก? ถูฮั่นฉงน “ลงมือกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือขอรับ? ท่านอาจารย์พูดถึงหนิวโหย่วเต้าหรือขอรับ?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามมากแล้ว” จ้าวสยงเกอโบกมือพลางถามเอ่ย “หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้น สถานการณ์ของทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เหมือนเดิมขอรับ ล้วนฝากความหวังเอาไว้กับหนิวโหย่วเต้า แต่หนิวโหย่วเต้าก็ปฏิเสธมาโดยตลอด ได้ยินผู้อาวุโสซูเล่าว่าครั้งนี้ถังซู่ซู่ยอมไปรับผิดแล้ว ถึงขนาดที่คุกเข่าให้หนิวโหย่วเต้าด้วย แต่หนิวโหย่วเต้าก็ยังไม่ยอมรับปาก…” ถูฮั่นเล่าเรื่องที่ได้ฟังมาจากซูพั่วให้เขาฟัง

จ้าวสยงเกอถอนหายใจ “ในที่สุดผู้อาวุโสถังคนนั้นก็ยอมอ่อนข้อแล้ว ข้ายังรับการคุกเข่าของถังซู่ซู่ไม่ได้เลย แต่เจ้าเด็กหนิวโหย่วเต้ากลับกล้ารับเอาไว้ ไม่กลัวอายุสั้นบ้างหรือ? ถูฮั่น เจ้าไปเถอะ ไปหาหนิวโหย่วเต้า ให้เขามาพบข้า หากข้าไม่เผยตัวและมอบคำอธิบายสักอย่างให้แก่เขา เขาไม่มีทางยอมรับปากแน่ หากยังไม่เผยตัวอีก เกรงว่าเจ้านั่นคงจะไม่ทรมานเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เท่านั้น แต่จะทำให้เฉินกงเดือดร้อนไปด้วย”

…………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท