ตอนที่ 488 ข้าช่วยเจ้าคิดวิธีเอาไว้แล้ว
ลุงเฉินไม่ได้อยู่รอคำตอบจากนางว่าจะให้อยู่หรือไป ก่อนจะเดินออกประตูไป เขาได้เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “คนผู้นั้นให้ข้าหาโอกาสเอ่ยเตือนท่านสักประโยค ที่ผ่านมาข้าหาโอกาสที่เหมาะจะเอ่ยปากไม่ได้เลย ยามนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าท่านจะสงสัยอีกต่อไป พูดกันตามตรงได้แล้ว”
ก่วนฟางอี๋เดินไปนั่งลงข้างโต๊ะ ดึงชุดถ้วยน้ำชาบนถาดเข้ามาไว้ตรงหน้า ไม่ได้รินชาออกมา นิ้วเรียวงามไล้ถ้วยชาเล่น “ล้างหูรอฟังแล้ว”
ลุงเฉินเอ่ยว่า “เขาบอกว่า เดิมทีท่านก่อตั้งสวนไม้เลื้อยอยู่เป็นอิสระก็ดีมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้ามาพัวพันเสี่ยงอันตรายในเรื่องราวบางอย่างเลย หนิวโหย่วเต้าอยู่ท่ามกลางมรสุมแปรปรวน ท่านติดตามเขาอันตรายเกินไป หากถลำลึกเข้าไปพัวพันในเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้บางอย่างเข้า เกรงว่าแม้แต่เขาก็คงยากจะช่วยเหลือท่านได้ ความหมายของเขาคือ หากว่าท่านยินยอม ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเข้าไปพัวพันกับหนิวโหย่วเต้าลึกเกินแล้วจะถอนตัวออกมาได้ เขาจะคิดหาทางช่วยจัดการให้ท่านหลุดพ้นจากปัญหากวนใจเหล่านี้ได้ ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี หากถลำตัวลึกเกินไป เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็ช่วยไม่ได้แล้ว” 艾琳小說
ก่วนฟางอี๋จ้องมองถ้วยชา ปลายนิ้วไล้ไปตามขอบถ้วย “เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยถ่ายทอดข้อความของข้าต่อเขาด้วย ก่อนอื่นข้าต้องขอขอบคุณความปรารถนาดีของเขา แต่จงบอกเขาว่าข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ข้าไม่เคยมีความทะเยอทะยานอันใดทั้งสิ้น ข้าเองก็รู้ดีว่าติดตามหนิวโหย่วเต้าแล้วเสี่ยงอันตราย แต่มีคำพูดหนึ่งที่หนิวโหย่วเต้าเคยพูดได้ดี อยู่ที่ใดแล้วสงบใจ ที่นั่นย่อมเป็นบ้าน!”
“หลายปีมานี้ข้าพานพบบุรุษมามากมาย เคยมีทุกข์เคยมีสุข ช่วงแรกเริ่มทุกคนล้วนดีมาก แต่พอผ่านไปนานเข้าก็ยิ่งทำให้ข้าอึดอัด ต่อให้ข้างดงามปานใด ต่อให้พยายามระมัดระวังเพียงได้ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนหาเหตุผลต่างๆ มาตีตัวออกห่างจากข้า เช่นนั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าการเสี่ยงอันตรายมากนัก เป็นความรู้สึกสิ้นหวังอย่างหนึ่ง ข้าโรยราไปโดยจมอยู่ในความสิ้นหวังเช่นนี้”
“แต่หนิวโหย่วเต้ากลับตรงกันข้าม ติดตามเขาแล้วข้าสบายใจขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดก่อนเฮยหมู่ตานจะตาย นางถึงเชื่อมั่นว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ทอดทิ้งนาง ตอนนี้ข้าเองก็เชื่อมั่นแล้วเช่นกัน ข้าไม่จำเป้นต้องโรยราไปโดยจมอยู่กับความสิ้นหวังแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างดีจริงๆ ข้ารู้สึกโชคดีที่ติดตามเขาออกมาจากสวนไม้เลื้อย!”
ภาพเฮยหมู่ตานสิ้นใจลงในอ้อมแขนของหนิวโหย่วเต้าอย่างสบายใจไร้โศกผุดขึ้นมาในหัวนาง จากนั้นก็ตามมาด้วยภาพที่หนิวโหย่วเต้ายอมเสียสละตัวเองในแดนความฝัน รอยยิ้มซึ้งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
ลุงเฉินเงียบไป “ข้าจะถ่ายทอดข้อความให้ แต่เขาก็หวังดีเช่นกัน”
ก่วนฟางอี๋หันกลับมาจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา “เช่นนั้นก็ขอฝากเจ้าไปบอกอีกประโยค เขาเป็นผู้ใดข้ายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ จะให้เชื่อใจได้อย่างไร? ข้าไม่สนใจว่าเขาจะเป็นใคร หากอยากให้ข้าเชื่อเขา ก็ให้เขามาพูดต่อหน้าข้าเอง คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะเผยหน้าตนออกมา ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ กลัวอันใดเล่า? กลัวตัวเองเดือดร้อนแล้วยังมาพูดจาทำนองว่าหวังดีกับข้าอีกหรือ? บุรุษประเภทนี้ข้าเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว น้ำใจเช่นนี้ข้าไม่ต้องการ ข้าต้องการบุรุษที่กล้ามายืนอยู่ตรงหน้าข้า!”
ลุงเฉินพูดไม่ออก
……
ในที่สุดอิ๋นเอ๋อร์ก็ยอมปล่อยมือแล้ว ด้วยการข่มขู่ของหนิวโหย่วเต้า ท้ายที่สุดนางก็ไม่เอาแต่จับเสื้อหนิวโหย่วเต้าไว้อีก แต่ยังคงชอบเกาะติดหนิวโหย่วเต้าอยู่
ติดตามมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วย
บนโต๊ะมีอาหารจัดเตรียมไว้เต็มโต๊ะ หนิวโหย่วเต้าลองชิมเองก่อน จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้อิ๋นเอ๋อร์ชิมด้วย เขาอยากเห็นว่าราชินีปีศาจตนนี้จะกินอาหารของโลกภายนอกได้หรือไม่
อิ๋นเอ๋อร์สนใจใคร่รู้ ยื่นมือไปหยิบตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก
หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่านางจับตะเกียบได้คล่องมือ ก็เงยหน้าขึ้นสบตากับหยวนกังอย่างมีนัยยะแฝง
พอเคี้ยวไปเล็กน้อย อิ๋นเอ๋อร์ก็ผงกหัวรัวๆ ยื่นตะเกียบไปคีบของในจานอย่างต่อเนื่อง
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางสบตากันแล้วยิ้ม หยิบตะเกียบเริ่มลงมือเช่นกัน
ผู้ใดจะทราบว่าอิ๋นเอ๋อร์กลับช้อนตามอง เอ่ยขู่ทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า “ไปให้พ้น ของข้า!”
ท่าทางนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพื้นที่ของนาง ราวกับมีคนต้องการรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของนาง จึงประกาศขับไล่ออกไปทันที
ก่วนฟางอี๋และหยวนฟางพลันยิ้มไม่ออกแล้ว สีหน้าดูไม่จืดเลย ดวงตาฉายแววกริ่งเกรงเล็กน้อย ทั้งสองคนพากันชักตะเกียบกลับไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
หยวนฟางยิ้มแห้งๆ ลุกขึ้นยืน ค้อมตัวพยักหน้านิดๆ “ใช่แล้วๆ เป็นของท่าน ล้วนเป็นของท่าน”
ก่วนฟางอี๋ก็นั่งไม่ติดแล้วเช่นกัน ลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินลิ่วๆ จากไปพร้อมกับหยวนฟาง ไปหาอย่างอื่นกินแทน
“…..” หนิวโหย่วเต้าหลับตาลง รู้สึกคล้ายยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
อิ๋นเอ๋อร์จ้องมองหยวนกัง หยวนกังไม่แยแสนาง ถือตะเกียบคีบกินในส่วนของตัวเองไป
สองคนนั้นไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของอิ๋นเอ๋อร์ แต่เขาทราบชัดเจนดี ไม่จำเป็นต้องกลัวนางอีก
อิ๋นเอ๋อร์ไม่พอใจอย่างมาก หนิวโหย่วเต้าใช้ข้อนิ้วเคาะลงบนโต๊ะ ส่งคำเตือนให้นางเล็กน้อย นางถึงได้ยู่ปากอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ไม่นานนักหนิวโหย่วเต้าก็สังเกตเห็นว่าปีศาจตนนี้กินเก่งจริงๆ เป็นตัวกินจุขนานแท้…
หลังกินอาหารเสร็จก็มีแขกมาเยือน เฉาเซิ่งไหวมาแล้ว
หนิวโหย่วเต้ารั้งอยู่ที่นี่มาหลายวันก็เพื่อรอเขา
ภายในห้องไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เฉาเซิ่งไหวเองก็ไม่อยากให้มีคนอื่นอยู่เช่นกัน เขาอยากสนทนากับหนิวโหย่วเต้าแบบส่วนตัว
อิ๋นเอ๋อร์ก็ถูกไล่ออกไปเช่นกัน แน่นอนว่าเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้ามีความมั่นในใจการควบคุมแล้ว
ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน หนิวโหย่วเต้ารินน้ำชาใส่ถ้วย
เห็นได้ชัดว่าเฉาเซิ่งไหวหลบมาเงียบๆ ไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบสำนักหมื่นสรรพสัตว์ เขายกมือขึ้นดึงหน้ากากออกจากใบหน้า
แอ๊ด! ประตูพลันเปิดออก จู่ๆ อิ๋นเอ๋อร์ก็ยื่นหัวมองเข้ามาในห้อง คล้ายอยากดูว่าหนิวโหย่วเต้าแอบหนีไปหรือไม่
เฉาเซิ่งไหวสะดุ้งโหยง เบือนหน้าหลบอย่างรวดเร็ว ใส่หน้ากากในมือกลับเข้าไป
หนิวโหย่วเต้าที่ถือกาน้ำชาอยู่ถลึงตาใส่ เอ็ดไปว่า “ออกไป!”
อิ๋นเอ๋อร์แลบลิ้นนิดๆ รีบหดศีรษะกลับไปทันทีพร้อมปิดประตูให้
“ไม่เป็นไรแล้ว” หนิวโหย่วเต้าวางกาน้ำชาลง เอ่ยปลอบอีกฝ่ายที่เสียขวัญ ดันถ้วยน้ำชากลับไป
เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเฉาเซิ่งไหวได้ ไม่อยากให้คนพบเห็นว่าตนมาติดต่อกับเขา
เฉาเซิ่งไหวยังคงสวมหน้ากากเอาไว้ ไม่มีทีท่าจะถอดออกมาอีก ถึงอย่างไรก็ถอดออกมาเพื่อยืนยันตัวตนกับหนิวโหย่วเต้าไปแล้ว ยิ่งมีคนเห็นใบหน้าจริงของเขามากเท่าไรเขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา “ข้ารอเจ้ามาหลายวันแล้ว”
เฉาเซิ่งไหวถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมาข้าก็ต้องทำตัวดีๆ บ้าง หากไม่ใช่เพราะทางเข้าแดนความฝันยังไม่ปิดตัวลง ทุกคนจึงไม่ว่างมาสนใจข้า เกรงว่าข้าคงต้องรอให้ผ่านไปอีกสักระยะถึงจะมาได้”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “เรื่องคลื่นอสูรคงไม่มีการไล่เบี้ยเอาความกับเจ้ากระมัง?”
เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “จะไม่มีได้อย่างไร ท่านปู่ข้าดุด่าข้าเสียยกใหญ่ หากไม่ใช่เพราะกลัวจะดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เข้า เกรงว่าข้าคงโดนลงโทษหนักๆ ไปแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “แบบนี้ก็แสดงว่าผู้อาวุโสเฉากลบเกลื่อนเรื่องนี้ให้แล้วสินะ”
เฉาเซิ่งไหวไม่ได้ตอบกลับ นับว่ายอมรับโดยปริยาย
หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ ไม่เหนือไปจากที่คาดการณ์ไว้เลย พอเกี่ยวพันถึงหลานชายตนก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร เฉาจิ้งน่าจะไม่อยากรับผิดชอบเช่นกัน จึงกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไป เขาไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ถามออกไปว่า “เรื่องยกเลิกงานชุมนุมสัตว์วิเศษเกี่ยวข้องกับการปิดตัวของทางเข้าแดนความฝันหรือไม่?”
เฉาเซิ่งไหวตอบว่า “ย่อมต้องเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ปกปิดไม่อยู่แล้ว ยอดคนทั้งเก้าย่อมมุ่งหน้ามาตรวจสอบสถานการณ์แน่นอน เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ล้วนต้องรับมือและแก้ไขให้ครบทุกด้าน จะมีคนใหญ่คนโตทยอยเดินทางมา ไหนเลยจะยังมีสมาธิไปจัดงานชุมนุมสัตว์วิเศษได้อีก”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกจับกุมไป จากนั้นก็ถูกปล่อยตัว เป็นเพราะมีคนออกหน้าช่วยขอร้องให้กระมัง”
เฉาเซิ่งไหวมึนงง “ขอร้องหรือ ขอร้องอะไร? ไม่มีผู้ใดช่วยขอร้องให้เลย!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ในช่วงนั้นไม่ได้ยินข่าวว่ามีคนใหญ่คนโตผู้ใดมาเยือนบ้างหรือ?”
“ข้าจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ถึงมีคนใหญ่คนโตอันใดมาติดต่อกับทางสำนักจริง ถึงคุยอะไรกันก็ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปส่งเดช คนใหญ่คนโต…” เฉาเซิ่งไหวพูดมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างลังเล “พอเจ้าว่ามาเช่นนี้ ข้าก็พอจะได้ยินมาบ้าง หลังจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกจับกุม อูจ้าวสิงยอดฝีมืออันดับหกบนทำเนียบโอสถเคยมาเยือนครั้งหนึ่ง หลังจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ถูกปล่อยตัว อูจ้าวสิงก็จากไป ความหมายของหนิวซยงคืออูจ้าวสิงมาเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีเกียรติมากปานนี้เชียวหรือ?”
“อูจ้าวสิง…” หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาลงนิดๆ จดจำคนผู้นี้เอาไว้ เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่มพลางเอ่ยว่า “ข้าก็รู้สึกว่าน่าประหลาด จึงถามไปเรื่อยเท่านั้น”
เฉาเซิ่งไหวแสดงสีหน้าสงสัย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่เขาให้ความสนใจ เขาถามไปว่า “หนิวซยง เจ้าว่ามาตามตรง เถอะสรุปแล้วจะให้ข้าทำอะไรกันแน่?”
หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยน้ำชาลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้ามีเจตนาดี แต่จนใจที่เจตนาดีถูกหมางเมินไปเสียได้ เอาเถอะ ดูเหมือนหากไม่ให้เฉาซยงช่วยธุระสักหน่อยเฉาซยงคงยากจะสงบใจได้ เช่นนั้นก็ขอถือโอกาสวานพี่ช่วยธุระหน่อยแล้วกัน”
มุมปากเฉาเซิ่งไหวกระตุกนิดๆ เอ่ยอย่างหวาดระแวง “ธุระใด?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หลายปีมานี้เทียวไปเทียวมา ลำบากอย่างยิ่ง อยากจะได้สัตว์ปีกพาหนะสักตัว แต่สิ่งนี้มีราคาสูงเกินไป ถึงมีใจแต่ไร้กำลังทรัพย์ ในเมื่อได้รู้จักเฉาซยงแล้ว ประกอบกับสำนักหมื่นสรรพสัตว์ค้าขายสิ่งนี้อยู่พอดี จึงอยากจะทำหน้าหนาขอร้องว่าพอจะช่วยจัดหาวิหคพาหนะให้ข้าได้หรือไม่?”
เฉาเซิ่งไหวสะดุ้งโหยง ลุกพรวดขึ้นมาราวกับแมวถูกเหยียบหางก็มิปาน เอ่ยเสียงเครียด “เจ้าล้อเล่นอันใดอยู่? นั่นใช่เรื่องที่ขอแล้วจะทำให้กันได้เลยหรือ? ต่อให้ท่านปู่ของข้าจะเป็นผู้อาวุโสของสำนัก แต่ข้าก็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ วิหคพาหนะทุกตัวล้วนถูกขึ้นทะเบียนไว้ ทราบจำนวนชัดเจน ต่อให้เป็นตัวของท่านปู่เองก็ไม่มีส่งมอบให้ผู้ใดแบบส่วนตัวได้ เจ้าสำนักเองก็ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าเลย หนิวซยง เจ้าล้อเล่นแรงเกินไปแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น และนี่ก็มิใช่การหารือกับเจ้าด้วย”
เฉาเซิ่งไหวส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธลูกเดียว “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องหารือกันอีก ข้าไม่มีทางจัดการได้ หากเจ้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาข่มขู่ข้าอีก ข้าจะไปขอรับโทษกับทางสำนักเอง”
“ร้อนใจอะไรกัน นั่งเถอะ เจ้านั่งลงก่อน” หนิวโหย่วเต้ากดมือลง “ดื่มน้ำชาก่อนจะได้ใจเย็นลง”
เฉาเซิ่งไหวนั่งลง แต่เบือนหน้าไปอีกด้าน ไม่คิดจะแตะต้องน้ำชาเลย แม้จะรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้ไม่มากที่อีกฝ่ายจะวางยาพิษ แต่เขาก็ไม่กล้าดื่มส่งเดชอยู่ดี
แต่แน่นอน เขาเองก็ไม่กล้าทำตัวหุนหันพลันแล่น บอกจะไปก็ไปจนทำให้อีกฝ่ายเปิดโปงเรื่องราวออกไป เขาเพียงแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าเรื่องบางอย่างไม่อาจจัดการให้ได้
“เฉาซยง กฎเกณฑ์เป็นสิ่งตายตัว แต่วิธีการดิ้นได้ ขอเพียงมีความตั้งใจ ย่อมต้องหาช่องทางจัดการได้แน่ อันที่จริงข้าได้ช่วยคิดวิธีไว้ให้เจ้าแล้ว” หนิวโหย่วเต้าหยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา วางลงบนโต๊ะแล้วดันไปด้านหน้า
ครั้งนี้ก่อนจะมา เขาพูดไว้แล้วว่ามาเพื่อวิหคพาหนะ ซึ่งนั้ฃ่นมิใช่การพูดเล่นๆ หากแต่เตรียมการมาเรียบร้อย ซุ่มวางแผนมานานแล้ว
เรื่องของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์และเรื่องในแดนความฝันผีเสื้อเป็นเรื่องสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือไปจากแผนการ ตอนนี้เพิ่งจะได้ดำเนินแผนการเข้ารูปเข้ารอยตามที่วางไว้อย่างแท้จริง
เฉาเซิ่งไหวค่อยๆ หันกลับมา สายตามองไปที่ขวดกระเบื้องใบเล็ก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าลดเสียงลง “ข้าได้ยินว่าที่สำนักของเจ้ามีหุบเขาแปรวิญญาณที่เอาไว้ฝึกสัตว์วิเศษโดยเฉพาะ ซ้ำข้ายังได้ยินมาอีกว่าในขั้นตอนฝึกสัตว์ให้เชื่องจะมีกระบวนการที่แตกต่างกันออกไป ถึงเป็นสัตว์ชนิดเดียวก็เกิดสถานการณ์ที่ต่างกันออกไปได้ มักจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้เสมอ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสัตว์ตายไปบ้าง มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่?”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่? มันก็ใช่ที่จะมีโอกาสเสี่ยงตายอยู่ แต่กระบวนการฝึกฝนวิหคยักษ์ค่อนข้างสมบูรณ์แบบแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น”
“เช่นนั้นก็ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันสิ ข้าเตรียมของไว้ให้เฉาซยงเรียบร้อยแล้ว” หนิวโหย่วเต้าชี้ขวดกระเบื้องใบเล็ก เคาะลงบนโต๊ะเบาๆ
เฉาเซิ่งไหวงงงัน ไม่ใช่เพราะลำบากใจว่าจะทำหรือไม่ทำ หากแต่เป็นเพราะไม่เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ ฟังไม่เข้าใจจริงๆ เมื่อไม่เข้าใจย่อมไม่อาจโต้แย้งได้
แอ๊ด! ประตูเปิดออกอีกครั้ง อิ๋นเอ๋อร์ยื่นหน้าเข้ามามองอีกครั้ง
เฉาเซิ่งไหวถูกทำให้ตกใจอีกแล้ว มองหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาที่คล้ายกำลังถามว่า สรุปแล้วมาเจรจาเรื่องนี้กับทางเจ้ามันมีความปลอดภัยแน่หรือ?
คุยเรื่องงานจริงจังอยู่ มาก่อกวนอะไรอยู่ได้? สีหน้าหนิวโหย่วเต้าอึมครึมลง ตวาดออกไป “เจ้าลิง เฝ้านางไว้!”
……………………………………………………………………..