ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 510 เพราะมีเจ้าอยู่

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 510 เพราะมีเจ้าอยู่

“จะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้าหรือไม่?”

หลังจบเรื่องแล้ว โฉวซานที่กลับมารายงานเรื่องต่อซีไห่ถังซึ่งนั่งสมาธิอยู่ในตำหนักหลักเอ่ยถามประโยคหนึ่ง

การตายของเฉินถิงซิ่วเกี่ยวข้องกับหงเหนียง เลี่ยงไม่ได้ที่คนจะสงสัยหนิวโหย่วเต้าผู้อยู่เบื้องหลังหงเหนียง

โดยเฉพาะพวกเขาสองคน เฉินถิงซิ่วเคยมาขอความช่วยเหลือจากโฉวซาน ทั้งสองทราบดีว่าครั้งนี้เฉินถิงซิ่วอาจมาเพราะหนิวโหย่วเต้า ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องที่เฉินถิงซิ่ววิ่งโร่ไปหาทางสำนักชะตาสวรรค์เพื่อเอ่ยเรื่องหงเหนียงได้ไม่ยาก วิเคราะห์ดูเล็กน้อยก็เดาออกแล้วว่าเฉินถิงซิ่วอยากหลอกใช้สำนักชะตาสวรรค์เพื่อจัดการหนิวโหย่วเต้า

ถึงแม้เรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ไม่ว่าจะตัดสินกันอย่างไร สำนักหมื่นสรรพสัตว์ย่อมต้องตรวจสอบด้วยตัวเอง เฉินถิงซิ่วทราบเรื่องที่เหวินซินจ้าวตบหงเหนียงได้อย่างไร เรื่องนี้ถูกสั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด ผู้ใดกันที่ปล่อยข่าวหลุดออกไป?

เรื่องราวบางอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้ หลังตรวจสอบแล้วก็พบว่าเฉินถิงซิ่วและลุงเฉินไปเยือนเรือนพำนักของสำนักชะตาสวรรค์แทบจะไล่ๆ กัน

โฉวซานเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าไปสอบถามหนิวโหย่วเต้ามา เขาบอกว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ทราบเลยว่าเฉินถิงซิ่วก็มาแล้วเช่นกัน เป็นลูกน้องของหงเหนียงเองที่ทนไม่ได้ที่นายของตนถูกตบตี เนื่องจากในอดีตเคยรู้จักกับตู้อวิ๋นซาง ยามที่มุ่งหน้าไปเพื่อไต่ถามเอาความกับตู้อวิ๋นซางก็ได้เห็นเฉินถิงซิ่วเข้าพอดี และเมื่อลูกน้องคนนั้นกลับมา เขาถึงทราบว่าเฉินถิงซิ่วก็มาแล้วเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไม่ทราบเรื่องจริงๆ หรือว่าแสร้งทำเป็นไม่ทราบเรื่องเพื่อกลบเกลื่อนให้ตนไร้มลทิน เรื่องนี้ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ยืนยันได้ว่าเกี่ยวข้องกับเขา”

ซีไห่ถังใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ถามออกไปอีกครั้ง “ผู้ใดแพร่งพรายข่าวแก่เฉินถิงซิ่ว?”

โฉวซานลังเลเล็กน้อยเอ่ยไปว่า “มีความเป็นไปได้สองกรณี กรณีแรกศิษย์สำนักหยกสวรรค์เข้ามาตีสนิทกับศิษย์หลายคนทางฝั่งเรา แล้วก็ตอนที่เฉาเซิ่งไหวที่เป็นหลานชายของศิษย์พี่เฉาผ่านไปทางเรือนรับรองของเฉินถิงซิ่ว ก็ได้ถูกเฉินถิงซิ่วรั้งตัวไว้ ศิษย์บางคนเห็นพวกเขาสนทนากันอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าคุยเรื่องใดกันบ้าง”

เรื่องราวเกี่ยวพันไปถึงเฉาจิ้ง ซีไห่ถังเลิกคิ้วเล็กน้อย หลุบตาเอ่ยถามไป “สอบถามศิษย์เหล่านั้นดูหรือยัง”

โฉวซานตอบว่า “ถามแล้วขอรับ ล้วนไม่ยอมรับว่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เพียงแต่เอ่ยเหมือนกันหมดว่า ทางฝั่งสำนักหยกสวรรค์ล้วนมาสอบถามยืนยันกับพวกเขาว่ามีเรื่องที่เหวินซินจ้าวตบหงเหนียงจริงหรือไม่ พวกเขาก็แปลกใจมากว่าสำนักหยกสวรรค์ทราบเรื่องได้อย่างไร คำนวณจากระยะเวลาแล้ว หลังจากเฉินถิงซิ่วได้พบเฉาเซิ่งไหว สำนักหยกสวรรค์ถึงได้มาสอบถามยืนยัน”

ซีไห่ถังเอ่ยถาม “เจ้าสงสัยว่าเฉาเซิ่งไหวเป็นคนแพร่งพรายข่าวออกไปหรือ?”

เรื่องราวพัวพันไปถึงเฉาจิ้ง โฉวซานเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง “มันก็มีความเป็นไปได้เช่นนี้จริง หากว่าเป็นความจริง ก็น่าจะไม่ใช่การจงใจ จากปากคำของศิษย์ที่เป็นพยานในเหตุการณ์ เฉาเซิ่งไหวเพียงบังเอิญผ่านทางนั้นไป ไม่ได้เห็นเฉินถิงซิ่วอยู่ในสายตาเลย ถึงขั้นที่พูดจาไม่ค่อยให้เกียรติเท่าไรด้วย เป็นเฉินถิงซิ่วที่ทำหน้าหนา เข้ามารั้งเฉาเซิ่งไหวให้อยู่ดื่มชา ต่อมาทั้งสองดูเหมือนจะพูดคุยกันถูกคอ ข้าเคยคลุกคลีกับเฉินถิงซิ่วมาเล็กน้อย รู้จักคนผู้นี้พอสมควร ก่อนหน้านี้เคยมาเอาใจข้า หากมาเอาใจเฉาเซิ่งไหวเพื่อล้วงถามข้อมูลก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจกันได้ คนหนุ่มเยาว์วัยไหนเลยจะตามเล่ห์กลของตาเฒ่าเฉินถิงซิ่วทัน โดนเยินยอไม่กี่ประโยคก็อาจจะหลุดพูดทั้งหมดออกไปได้”

ซีไห่ถังเงียบไปครู่หนึ่ง “สอบถามเฉาเซิ่งไหวดูหรือยัง?”

โฉวซานตอบว่า “ยังขอรับ ถึงอย่างไรก็เกี่ยวพันไปถึงศิษย์พี่เฉา เกรงว่าจะกระตุ้นความสนใจคนอื่น จึงมาถามความเห็นของเจ้าสำนักดูก่อน”

ซีไห่ถังเอ่ยว่า “พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเด็กคนนี้มีจำกัด ไม่มีอนาคตอันใดอีกเช่นกัน หากว่าศิษย์น้องเฉาไม่อยู่แล้ว เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น เรื่องราวมิได้ใหญ่โตอันใด อีกทั้งสะสางไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดผลกระทบขยายเป็นวงกว้างในสำนักอีก ให้จบลงเพียงเท่านี้แล้วกัน ศิษย์น้อง สำนักหมื่นสรรพสัตว์ใหญ่โต คนมาก ความคิดก็มากไปด้วย จัดการไม่ง่ายเลย!” ว่าแล้วก็ทอดถอนใจ

โฉวซานเข้าใจความหมายของเขา ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใด หากสืบสาวเอาความเฉาเซิ่งไหวขึ้นมาจริงๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไร? มีแต่จะทำให้ศิษย์พี่เฉาต้องขายหน้า ล้วนเป็นศิษย์ร่วมสายกัน ไม่จำเป็นต้องตบหน้าคนกันเองเพื่อให้ผู้อื่นฉวยโอกาสเลย เขาตอบรับไปว่า “ขอรับ!”

แต่ระหว่างขากลับ โฉวซานยังคงนำเรื่องราวไปบอกต่อเฉาจิ้ง ให้เฉาจิ้งไปสอบถามเอาเอง เพียงเพื่อทำให้เฉาจิ้งทราบว่าเป็นเขาและเจ้าสำนักที่ระงับเรื่องไว้

เฉาจิ้งย่อมรับน้ำใจนี้ไว้ พอกลับมาก็เรียกตัวเฉาเซิ่งไหวมาสอบถาม

เฉาเซิ่งไหวร้องห่มร้องไห้ คุกเข่าลงกับพื้น แต่ถึงตายก็ไม่ยอมรับ บอกเพียงว่าถูกปรักปรำ รู้สึกคับข้องอยุติธรรม ทั้งยังต้องการจะไปซักถามคนของสำนักหยกสวรรค์ด้วย หลานชายคนนี้ก็รู้ทางท่านปู่ของตนเป็นอย่างดี

เฉาจิ้งไหนเลยจะปล่อยให้เขาไปสอบถามซึ่งๆ หน้าได้ เขาย่อมไม่มีทางเป็นฝ่ายทำให้เรื่องราวมันบานปลายใหญ่โตขึ้นมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ดุด่าไปยกหนึ่ง ลงโทษตัดเบี้ยหวัดรายเดือนของหลานชายไปสองสามเดือน นับว่าจัดการเรื่องนี้อย่างลับๆ

….

ส่วนทางฝั่งหนิวโหย่วเต้าก็นั่งอยู่ในศาลา ถือตัวหมากอยู่หน้ากระดานหมาก ใช้ความคิดเดินหมากคนเดียวอยู่

เรื่องราวค่อนข้างเหนือไปจากความคาดหมายของเขา เมื่อลุงเฉินรอดกลับมาได้ เขาก็ทราบแล้วว่าการวิเคราะห์ของตนถูกต้อง ทราบแล้วว่าเรื่องที่ตู้อวิ๋นซางทิ้งหงเหนียงไปในอดีตหาได้ธรรมดาไม่ ทันทีที่ลุงเฉินกลับมาเขาก็รู้แล้วว่าเฉินถิงซิ่วต้องตายแน่

เพียงแต่อย่างไรก็ไม่คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักชะตาสวรรค์จะสังหารเฉินถิงซิ่วอย่างเปิดเผย เช่นนี้มิใช่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตนหรอกหรือ?

แต่เรื่องที่ทำให้เขาแปลกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เหวินซินจ้าวออกหน้าจัดการด้วยตัวเอง เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกันเล่า? ทำเขาเกือบจะสับสนไปเสียแล้ว

เดิมทีตามที่เขาคาดการณ์ไว้ สำนักชะตาสวรรค์น่าจะจัดการเฉินถิงซิ่วโดยไม่ให้เดือดร้อนมาถึงตัวเอง ทางเขาเองก็จะลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้เช่นกัน ตอนนี้กลับลงมืออย่างอึกกระทึกครึกโครม เมื่อสำนักหมื่นสรรพสัตว์สืบสาวเรื่องราวขึ้นมา ย่อมต้องโยงใยมาถึงตัวเขาด้วย เลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกสงสัยเขา ดังนั้นโฉวซานจึงมาสอบถามดู

เขาค่อยๆ วิเคราะห์แยกแยะต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด ถอนหายใจแล้วเอ่ยไปว่า “ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างตู้อวิ๋นซางและเหวินซินจ้าวจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น”

หยวนกังที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “กลัวก็แต่พอสาวไปถึงตัวเฉาเซิ่งไหวแล้วจะพัวพันมาถึงตัวคุณด้วย”

หนิวโหย่วเต้าวางหมากลงบนกระดานเบาๆ “กังวลมากไปแล้ว ถึงแม้เฉาเซิ่งไหวจะไม่ได้เรื่อง แต่เขานับเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขาทราบแก่ใจดีว่าต่อให้สืบพบว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเขา อย่างมากก็มีโทษเล็กน้อยฐานปากโป้งแพร่ข่าว หากให้การสาวถึงฉันขึ้นมา เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลก็จะถูกสาวออกมาด้วย เช่นนั้นเขาก็เดือดร้อนหนักแล้ว เขาสามารถแยกแยะหนักเบาได้ ไม่มีทางพูดถึงฉันแน่นอน กลับกัน…” เขาส่ายหน้า ถอนหายใจอีกครั้ง

ถึงแม้ตอนนี้ตัวปัญหาอย่างเฉินถิงซิ่วจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่แผนการที่คิดจะใช้ประโยชน์จากความบาดหมางระหว่างตู้อวิ๋นซางและเหวินซินจ้าวสองสามีภรรยามาทำให้ตู้อวิ๋นซางจัดการเหวินซินจ้าวกลับต้องล้มเลิกไป เมื่อเหวินซินจ้าวลงมือ เขาก็รู้แล้วว่าแผนการนี้ดำเนินต่อไม่ได้แล้ว เกรงว่าคงหมดโอกาสจะช่วยระบายแค้นให้หงเหนียงในตอนนี้ได้

แผนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ยืมดาบสังหารคนสำเร็จ แต่อีกครึ่งกลับต้องล้มเลิกไป

ในเวลานี้เอง ก่วนฟางอี๋ที่ไม่ปรากฏตัวมาระยะหนึ่งก็โผล่หน้าออกมา เดินบิดเอวนวยนาดเข้ามา สองมือยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย นั่งลงตรงข้ามกับหนิวโหย่วเต้า จ้องมองกระดานหมากพลางเอ่ยยิ้มๆ “ดูเหมือนเจ้าจะว่างนะ ซ้ำยังมีอารมณ์สุนทรีอีก”

หลังจากหนิวโหย่วเต้าวางหมากแล้วก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เลิกเก็บตัวแล้วหรือ?”

ก่วนฟางอี๋หยิบหมากขาวออกมาจากในชามหมากแล้ววางลงไป “เดินหมากกับเจ้าค่อนข้างน่ากลัวนัก สังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย! ผู้อาวุโสเฉินถูกเจ้าเล่นงานจนตาย หากไม่ออกมาอีกก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”

เรื่องราวดูเหมือนจะใหญ่โตเกินไปหน่อยแล้ว ลุงเฉินคิดว่าไม่สมควรปิดบังนางอีกต่อไป จึงเล่าเรื่องราวให้นางฟัง

หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าลุงเฉินพูดออกไปแล้ว เขาวางหมากอีกครั้ง “ก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ได้รับความคับข้องหมองใจจากคนอื่นก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองต้องคับข้องหมองใจเพิ่มเลยอีก รวมถึงทำให้ข้าคับข้องหมองใจด้วย”

ก่วนฟางอี๋เงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างแปลกใจ “เจ้าคับข้องหมองใจอันใดกัน?”

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยไปว่า “โฉมงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา อยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า ข้าไม่ได้ยลโฉมเลย ไม่พบหน้าหนึ่งวันยาวนานดั่งสามปี แรมวันนานดั่งแรมปี”

“คิกๆ!” ก่วนฟางอี๋หัวเราะปานบุปผาไหวกิ่ง “หากเจ้าอยากพบก็ง่ายมากมิใช่หรือ? แม้แต่ตอนข้าอาบน้ำก็ยังกล้าบุกเข้าไป ประตูบานนั้นไหนเลยจะขวางเจ้าได้?” 艾琳小說

เมื่อสองคนนี้หยอกเย้าต่อกระซิกกัน หยวนกังทนฟังไม่ได้จริงๆ จึงหันหลังเดินหนีไป

พอเหลือบเห็นว่าหยวนกังจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋ก็หยุดหัวเราะ เอ่ยอย่างจริงจัง “ขอบคุณ น้ำใจของเจ้าข้าได้รับแล้ว แต่ไม่จำเป็นเลยจริงๆ เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้ามายุ่ง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ดูเหมือนข้าจะยุ่งมากเกินไปเสียแล้ว”

ก่วนฟางอี๋จ้องมองกระดานหมากพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่ยุ่งมากเกินไป แต่ข้าไม่ต้องการล้างแค้นเช่นนี้ การล้างแค้นเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ข้าดีใจเลย เพราะมันไม่ส่งผลกระทบต่อการที่นางวางตัวสูงส่งเหนือกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับข้าเลย สิ่งที่ข้าหวังคือสักวันข้าจะสามารถยืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างสง่าผ่าและเผยมีเกียรติได้ ดูแคลนนางเช่นเดียวกับที่นางดูแคลนข้า ทำให้นางไม่กล้าล่วงเกินข้าเหมือนที่ข้าไม่กล้าล่วงเกินนาง ทำให้นางไม่กล้าเอ่ยวาจาใดเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ไม่กล้าล่วงเกินข้า ในอดีต นี่คือสิ่งที่ข้าไม่กล้าคิดฝันถึง แต่ตอนนี้ข้ามีความมั่นใจแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “ได้ความมั่นใจมาจากที่ใด?”

“มาจากเจ้าอย่างไรเล่า!” ก่วนฟางอี๋วางหมากตัวหนึ่งลงไป “เพราะมีเจ้าอยู่ ข้าถึงมีความมั่นใจ ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าพลาดท่าที่นี่เพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้ ข้ายังคงต้องหวังพึ่งเจ้าอยู่!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อนเยาะหยันตัวเอง “แต่นั่นคือสำนักชะตาสวรรค์ อุดมการณ์ของเจ้าสูงเกินไปแล้ว ทำให้ข้ากดดันเหลือเกิน”

ทั้งสองยิ้มหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็มีทีท่าจริงจังขึ้นมา เอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง “ตามความเห็นข้า ที่ปีนั้นตู้อวิ๋นซางทิ้งเจ้าไป เป็นไปได้สูงว่าเป็นเพราะได้รับแรงกดดัน มีความเป็นไปได้ว่าจะทำไปเพื่อปกป้องเจ้าไว้ ในใจน่าจะยังคงมีเจ้าอยู่”

ก่วนฟางอี๋เงียบไปพักใหญ่ “ข้าเดาออกตั้งนานแล้ว รวมถึงเฝ้ารอเขามานานหลายปีด้วย หวังว่าสักวันเขาจะกลับมาอธิบายต่อข้า แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ความมานะพากเพียรในช่วงหลายปีมานี้ของเขาไม่ได้เอนเอียงมาหาข้าเลย เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางของเขาเองแล้ว ดังนั้นทุกอย่างล้วนเป็นอดีตไปหมดแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าเข้าใจ เจ้าคิดตกก็ดีแล้ว”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “พบเห็นความเป็นไปในโลก แย้มยิ้มรับผู้คน ยังจะมีเรื่องใดให้คิดไม่ตกอีก เจ้าต่างหาก ดูเหมือนจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรักใคร่ชายหญิงมาก่อน แต่มีความเป็นผู้ใหญ่มากจนน่ากลัว ว่ากันตามหลักแล้ว วัยอย่างเจ้าเป็นช่วงอายุที่โหยหาความรักชายหญิงอยู่พอดี ด้วยคุณสมบัติของเจ้าแล้ว ไม่มีทางขาดแคลนสาวงามแน่ ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยเข้าใจเลย”

“เฮ้อ ความรักมักทำร้ายคน มีเจ้าให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว ข้าไม่มีทางหาเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้ใส่ตัว”

“เลิกพูดเรื่องข้าสักที เจ้าคงไม่ได้ประสาทใช่ไหม?”

“เจ้าน่ะสิประสาท” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ทางนี้กำลังคุยกันอยู่ หยวนกังก็เดินกลับมา โน้มตัวไปกระซิบข้างหูหนิวโหย่วเต้า “เต้าเหยี่ย แขวนธงแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าคว้าหมากกำหนึ่งโยนลงบนกระดานประกาศยอมแพ้ “ไม่เล่นแล้ว” จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไป

ก่วนฟางอี๋บ่นอุบอิบ “เอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ทั้งวัน เจ้าคนเลว!”

ริมธารหุบเขา หนิวโหย่วเต้าวนไปวนมา เฉาเซิ่งไหวนัดพบเขาอีกแล้ว ก่นด่าหนิวโหย่วเต้าไปยกหนึ่ง ไม่พ้นถ้อยคำจำพวกว่าเกือบทำเขาซวยแล้ว ถามหนิวโหย่วเต้าว่าเหตุใดไม่บอกตนไว้ล่วงหน้า ทำเขาเกือบพลาดท่าเผยพิรุธแล้ว

หนิวโหย่วเต้าตอบส่งๆ ไป

“ทางข้าเตรียมการได้พอสมควรแล้ว ใกล้จะลงมือได้แล้ว เจ้าเตรียมตัวรับให้ดี”

นี่คือเป้าหมายสำคัญที่เฉาเซิ่งไหวมาหาเขาในวันนี้ และเป็นเพราะเรื่องในครั้งนี้ที่ทำให้เขาตัดสินใจจะลงมือโดยเร็ว หวังจะส่งหนิวโหย่วเต้าจากไปให้พ้นโดยเร็ว มิเช่นนั้นหากมีเรื่องตามมาเรื่อยๆ เขากังวลว่าหัวใจน้อยๆ ของตนจะทนรับความตื่นตระหนกไม่ไหว ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกวัน สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายอยู่เสมอ รู้สึกว่าแต่ละวันนาวนานนับปี

………………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท